เจาะลึกประวัติ โบโลญญ่า อดีตแชมเปี้ยนผู้ถูกลืม

เจาะลึกประวัติ โบโลญญ่า อดีตแชมเปี้ยนผู้ถูกลืม

สโมสรฟุตบอลโบโลญญ่า1909 หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม โบโลญญ่า เป็นทีมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองโบโลญญ่า นครหลวงของแคว้นเอมิเลีย-โรมัญญ่า ประเทศอิตาลี พวกเขามีฉายาในหมู่แฟนบอลว่า รอสโซ่บลู (Rossoblu) ที่มีความหมายว่า สีแดงและน้ำเงิน อันเป็นลวดลายที่ปรากฏอยู่บนชุดแข่งของทีมและยังเป็นสีประจำสโมสรอย่างเป็นทางการอีกด้วย

โบโลญญ่า ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1909 ก่อนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกในการก่อตั้ง เซเรียอา ในอีก 20 ปีต่อมา พวกเขาเคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาแล้วทั้งหมด 7 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จในเกมลีกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 พวกเขามีโอกาสลงเตะในเกม เซเรีย อา ทั้งหมด 72 จาก 87 ฤดูกาล และถือเป็นทีมที่ส่วนร่วมในเกมลีกสูงสุดของ อิตาลี มากที่สุดเป็นอันดับที่ 9 นับตั้งแต่ปี 1927 เป็นต้นมา รอสโซ่บลู ลงเตะอยู่ในรังเหย้า สตาดิโอ เรนาโต ดัลลาร่า ที่ปัจจุบันรองรับความจุได้ 38,279 ที่นั่ง

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

1909 – สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม โดย เอมิลิโอ อาร์นสตีน ชาวออสเตรียผู้ที่ฝักใฝ่ในเกมลูกหนังตั้งแต่สมัยที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ เวียนนา และ ปราก นอกจากนี้ทั้งเจ้าตัวและพี่น้องของเขายังเคยเป็นผู้ก่อตั้ง สโมสรฟุตบอลแบล็คสตาร์ ในประเทศบ้านเกิดอีกด้วย
1910 – ในวันที่ 20 มีนาคม โบโลญญ่า ที่นำโดย กีโด้ เดลลา วัลเล่ ที่ยังดำรงตำแหน่งรองประธานสโมสรลงเตะเกมแรกอย่างเป็นทางการกับ วีร์ทัส โดยที่พวกเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างเหนือชั้นก่อนจะถล่มคู่แข่งไปแบบขาดลอย 9-1
1914 – ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทีมลงแข่งขันในลีกระดับแคว้นภายใต้การนำทัพของ อาร์ริโก้ กราดิ ที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมและไม่เคยทำผลงานได้ต่ำกว่าอันดับที่ 5 ก่อนที่เกมลูกหนังภายในประเทศทั้งหมดจะหยุดชะงักลงเนื่องจากผลพวงของ สงครามโลกครั้งที่ 1
1920 – หลังสงครามสิ้นสุดลง รอสโซ่บลู เริ่มฉายแววเปล่งประกายเพิ่มมากขึ้น เมื่อสามารถผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศในลีกระดับภูมิภาคทางตอนเหนือ
1921 – พวกเขาทำได้ดีขึ้นอีกในซีซั่นถัดมาเมื่อสามารถทะลุเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ นอร์ทเทิร์น ลีก ก่อนจะพ่ายให้กับ โปร เวอร์เซลลี่ ไปแบบฉิวเฉียด 2-1
1924 – ทีมผ่านเข้าไปชิงดำในรายการนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 ปี แต่ก็ยังคงได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์หลังจากพ่ายให้กับ เจนัว ทีมที่ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ลีกระดับประเทศในภายหลัง
1925 – ในที่สุด โบโลญญ่า ก็กลายเป็นแชมป์ของทั้งระดับภูมิภาคและประเทศได้สำเร็จ เมื่อสามารถพิชิต เจนัว จากการลงเตะในนัดชิงชนะเลิศที่วุ่นวายอีรุงตุงนังด้วยปัญหาฝูงชนถึง 5 รอบ
1929 – ในซีซั่นสุดท้ายก่อนจะมีการเปิดตัว เซเรียอา พวกเขาก็ได้ถูกจารึกว่าเป็นทีมแชมป์ลีกระดับประเทศในรูปแบบดั้งเดิมรายสุดท้ายหลังเป็นฝ่ายเอาชนะ โตริโน่ 1-0 ในนัดชิงรอบไท-เบรก
1932 – หลังจบในอันดับที่ 7 และ 3 ภายใน 2 ปีแรกที่ย่างเข้าสู่ยุคของ เซเรียอา พวกเขาทำได้ใกล้เคียงขึ้นไปอีกจากการเข้าป้ายเป็นอันดับสองรองจาก ยูเวนตุส ในฤดูกาล 1931-32
1936 – ในที่สุดทีมก็คว้าแชมป์ เซเรียอา เป็นสมัยแรกได้สำเร็จเมื่อทำแต้มเฉือนเอาชนะ โรม่า ทีมอันดับสองไปเพียงแค่คะแนนเดียวหลังจบ 30 นัดในฤดูกาล 1935-36
1937 – รอสโซ่บลู ยังครองความยิ่งใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องเมื่อสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นปีที่สองติดต่อกันจาก 3 คะแนนที่นำหน้า ลาซิโอ
1939 – ทีมสามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ภายในรอบ 4 ปีได้ หลังทำแต้มอยู่เหนือ โตริโน่ 4 คะแนน
1940 – ซีซั่นถัดมาพวกเขาเกือบจะป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเมื่อเข้าป้ายเป็นที่สองรองจาก อัมโบรเซียน่า-อินเตอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม อินเตอร์ มิลาน ในปัจจุบัน
1941 – อย่างไรก็ตาม โบโลญญ่า ก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1940-41 โดย อินเตอร์ เป็นฝ่ายสลับลงไปอยู่ที่สองแทน และยังกลายเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 4 ภายในรอบ 6 ปีของพวกเขาอีกด้วย

bologna

1964 – หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลงานของทีมก็เริ่มดร็อปลงเล็กน้อยโดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักจะประคองตัวอยู่ระหว่างอันดับที่ 4 ถึง 6 จนกระทั่งฤดูกาล 1963-64 ที่พวกเขารั้งในตำแหน่งจ่าฝูงเคียงข้างกับ อินเตอร์ มิลาน ก่อนจะจบ 34 นัดด้วยคะแนนเท่ากันจนต้องไปตัดสินแชมป์ด้วยเกมเพลย์ออฟ และในที่สุดทีมก็เป็นฝ่ายชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 พร้อมกับกลายเป็นแชมป์ลีกสูงสุดหนสุดท้ายของสโมสรจวบจนปัจจุบันนี้
1965 – จากการได้ชูถ้วยสคูเด็ตโต้ในซีซั่นที่ผ่านมา ทำให้ทีมได้สิทธิ์ลงเตะในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ ก่อนที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายอับโชคกระเด็นตกรอบไปอย่างรวดเร็วเมื่อพ่ายให้กับ อันเดอร์เลชท์ ในการโยนเหรียญเสี่ยงทายหลังเสมอกัน 0-0 ในเกมเพลย์ออฟเพื่อหาทีมลงเตะกันในรอบแรก
1966 – หนสุดท้ายที่ทีมทำอันดับได้ดีที่สุดคือการคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในซีซั่น 1965-66 ที่ อินเตอร์ เป็นฝ่ายได้ครอบครองถ้วยสคูเด็ตโต้
1970 – รอสโซ่บลู ครองแชมป์ โคปปา อิตาเลีย เป็นครั้งแรกได้ด้วยการสยบ โตริโน่ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ
1974 – ทีมมาคว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพ สมัยที่สองได้ด้วยการเผชิญหน้ากับ ปาแลร์โม่ ในเกมตัดสินที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก โดยหลังจากเสมอกันในเวลา 1-1 พวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ยิงได้แม่นกว่าในการดวลจุดโทษตัดสินที่จบลงด้วยสกอร์ 4-3
1982 – แต่แล้วในฤดูกาล 1981-82 ทีมกลับทำผลงานร่วงหล่นลงอย่างน่าใจหาย จนสุดท้ายก็ตกชั้นลงสู่ เซเรียบี จากการจบด้วยอันดับรองบ๊วย โดยในซีซั่นนั้น 1 ในทีมที่ร่วงลงไปพร้อมกับพวกเขาก็คือ เอซี มิลาน
1983 – ในขณะที่ มิลาน สามารถไต่กลับขึ้นไปยังลีกสูงสุดได้ในทันที แต่พวกเขากลับร่วงตกชั้นลงสู่ เซเรียซี อย่างต่อเนื่อง
1984 – ทีมพยายามกระเสือกกระสนกลับคืนมาและทำได้สำเร็จเมื่อเข้าป้ายด้วยคะแนนสูงสุดเท่ากับ ปาร์ม่า พร้อมควงแขนขยับขึ้นสู่ เซเรียบี สมดังใจ
1988 – หลังใช้ความพยายามอยู่นานหลายปี ในที่สุด โบโลญญ่า ก็สามารถคว้าแชมป์ เซเรียบี 1988-89 และกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้อีกครั้ง
1991 – แม้ซีซั่นก่อนหน้านั้นพวกเขาจะทำได้ดีด้วยการคว้าโควตาไปลงเตะในรายการ ยูฟ่า คัพ แต่แล้วพอหลังจบฤดูกาล 1990-91 ทีมก็ร่วงตกชั้นลงไปจากการจมอยู่ในอันดับบ๊วยของตาราง
1993 – ทีมยังโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังเมื่อพลาดท่าร่วงลงไปสู่ เซเรียซี หลังจบซีซั่น 1992-93
1994 – พวกเขามีลุ้นที่จะเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ในทันที แต่ก็พลาดโอกาสไปเมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คู่แข่งในเกมเพลย์ออฟรอบตัดเชือก
1996 – หลังไต่ขึ้นมาจาก เซเรียซี ได้สำเร็จในซีซั่นก่อน ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียวพวกเขาก็สามารถกลับคืนสู่ เซเรียอา ได้สำเร็จในฐานะแชมป์ เซเรียบี 1995-96
1998 – รอสโซ่บลู มีโอกาสประสบความสำเร็จในเวทียุโรปหลังมีโอกาสลงแข่งขันในรายการ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ และเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครองจากการเอาชนะ รุช ซอร์ซอฟ คู่แข่งจากโปแลนด์ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ
2005 – หลังโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี สุดท้ายแล้วทีมก็ร่วงตกชั้นลงไปหลังพ่ายให้กับ ปาร์ม่า ด้วยสกอร์รวม 2-1 ในเกมเพลย์ออฟหนีตกชั้น
2006 – แม้จะต้องสูญเสียผู้หลักตัวหลักออกไปหลายคน แต่ทีมก็ยังคงเป็นตัวเต็งที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมา แต่ทว่าด้วยการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่ก็ทำให้สโมสรตัดสินใจปลด เรนโซ่ อูลิวิเอรี่ กุนซือที่อยู่กับทีมมานานหลายปีและแต่งตั้ง อันเดรีย มานโดร์ลินี่ เข้ามาแทน โดยในระหว่างนั้นได้มีการผลัดเปลี่ยนเจ้าของทีมจาก จูเซปเป้ กัซโซนี่ ฟราสคาร่า มาเป็น อัลเฟรโด้ คาซโซล่า นักธุรกิจท้องถิ่น จนกระทั่งทีมยังไม่มีวี่แววจะได้กลับคืนสู่ เซเรียอา จึงทำให้ มานโดร์ลินี่ ถูกปลดในเดือนมีนาคม ก่อนที่ อูลิวิเอรี่ จะถูกเรียกตัวกลับมาและทำให้ทีมจบฤดูกาล 2005-06 ด้วยอันดับที่ 8
2007 – มีรายงานว่าตลอดทั้งซีซั่น 2006-07 อูลิวิเอรี่ มีปากเสียงหลายครั้งกับ คาซโซล่า เจ้าของทีม จนกระทั่งเจ้าตัวกระเด็นหลุดออกจากตำแหน่งในช่วงกลางเดือนเมษายน ก่อนที่ ลูก้า เชชโคนี่ อดีตมือขวาของเขาจะขยับขึ้นมารักษาการณ์ไปจนจบฤดูกาลที่ทีมเข้าป้ายในอันดับที่ 7
2008 – จากการนำทีมของ ดานิเอเล่ อาร์ริโกนี่ ที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ก็ช่วยให้ โบโลญญ่า คว้าอันดับที่ 2 และหวนคืนกลับสู่ เซเรียอา ได้สำเร็จ โดยระหว่างในช่วงซัมเมอร์ปีนั้นมีการเจรจาขายต่อทีมไปยังกลุ่มกิจการค้าร่วมสัญชาติอเมริกันแต่ก็ล้มเหลว จนกระทั่ง คาซโซล่า บรรลุข้อตกลงในการส่งต่อสโมสรไปยังกลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่นที่นำโดย ฟรานเชสก้า เมนารินี่ ที่ทำให้เธอกลายเป็นประธานสโมสรหญิงคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ เซเรียอา
2009 – ทีมออกตาร์ทฤดูกาล 2008-09 ได้อย่างสวยหรูจากการบุกไปเอาชนะ เอซี มิลาน 2-1 ได้ถึงถิ่น ซาน ซิโร่ แต่หลังจากนั้นผลงานของพวกเขาก็สาละวันเตี้ยลงโดยพ่ายแพ้ไปถึง 8 จาก 9 เกม จนทำให้ อาร์ริโกนี่ ถูกปลดออกไปและได้ ซินิซ่า มิไฮโลวิช เข้ามาเสียบแทนในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2008 แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น จนกระทั่ง จูเซปเป้ ปาปาโดปูโล่ ถูกดึงเข้ามาทำหน้าที่ต่อในช่วงกลางเดือนเมษายนก่อนจะช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
2010 – ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ ภายใต้การคุมทีมของ ฟรังโก้ โคลอมบา ที่เข้ามารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2009 ก็ช่วยให้ทีมอยู่รอดปลอดภัยใน เซเรียอา ไปอีกหนึ่งฤดูกาล จนในช่วงหน้าร้อนปีนั้น เมนารินี่ ตัดสินใจขายทีมต่อให้ แซร์โจ้ ปอร์เชดด้า มหาเศรษฐีจากซาร์ดิเนีย ก่อนที่ประธานคนใหม่จะสั่งปลด โคลอมบา ให้พ้นจากตำแหน่งผจก.ทีมไปแบบดื้อๆ
2011 – ระหว่างฤดูกาล 2010-11 กลุ่มกิจการค้าร่วมในนาม โบโลญญ่า 2010 ที่นำโดย โจวานนี่ คอนซอร์เต้ นายธนาคารใหญ่ และ มัสซิโม่ ซาเน็ตติ เจ้าของธุรกิจกาแฟ ต้องการจะเทคโอเวอร์สโมสรหลังทราบข่าวว่า ปอร์เชดด้า กำลังมีปัญหาในการส่งค่างวดจากการกู้ยืมจนทำให้ทีมตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย นอกจากนั้นทีมยังค้างค่านายหน้าในการยืมตัว อันเดรีย รัจจี้ มาจาก ปาแลร์โม่ อีกด้วย จนสุดท้าย ซาเน็ตติ ก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ของสโมสรก่อนที่เขาจะเชื้อเชิญให้ จานนี่ โมรานดิ นักดนตรีชื่อดังที่เป็นแฟนบอลพันธุ์แท้ของทีมเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ แต่หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 28 วัน ซาเน็ตติ และ ลูก้า บาราลดิ ซีอีโอของทีมก็ตัดสินใจลาออกไปหลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับหุ้นส่วนที่เหลือ จนกระทั่ง สเตฟาโน่ เปเดรลลี่ เข้ามารั้งตำแหน่งผอ.ทั่วไปและมี มาร์โก้ ปาวิญญานี่ เป็นผู้บริหารสูงสุด ทว่าความเปลี่ยนแปลงยังไม่จบอยู่แค่นั้น หลัง ปาวิญญานี่ ที่อยู่ในตำแหน่งได้ 76 วันและทีมจัดการชำระค่าดอกเบี้ยรวม 2.5 ล้านยูโร อัลบาโน่ กัวราลดิ หุ้นส่วนใหญ่อันดับสองของกลุ่ม โบโลญญ่า 2010 ที่รองจาก ซาเน็ตติ ก็ขยับขึ้นมาเป็นประธานคนใหม่
2014 – หลังประคับประคองตัวอยู่นานหลายปี จนกระทั่งทีมจบฤดูกาล 2013-14 ด้วยตำแหน่งรองบ๊วย รอซโซ่บลู ก็ร่วงตกชั้นลงไปอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเงินอันย่ำแย่ภายใต้การบริหารของ กัวราลดิ ที่ถูกโจมตีจากบรรดากองเชียร์ถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้ง เช่น การปล่อยตัวดาวดัง อเลสซานโดร เดียมานติ ไปให้กับ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ สโมสรใน ไชนีส ซูเปอร์ ลีก ก่อนที่ทีมจะแต่งตั้ง ดีเอโก้ โลเปซ อดีตเฮดโค้ชจาก กายารี่ สำหรับการสู้ศึกใน เซเรียบี ในขณะที่ กัวราลดิ ก็แสดงความตั้งใจที่จะปล่อยมือออกจากทีม ก่อนที่กลุ่มนักธุรกิจจากอเมริกาเหนือที่นำโดย โจ ทาโคปิน่า และ โจอี้ ซาปูโต้ จะมีท่าทีที่สนใจ รวมถึง มัสซิโม่ ซาเน็ตติ อดีตประธานสโมสร 21 วันจะกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย จนกระทั่งวันที่ 15 ตุลาคมปีนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนถ่ายตำแหน่งบอร์ดบริหารไปยังกลุ่ม BFC 1909 Lux SPV โดยที่ ทาโคปิน่า ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานคนใหม่ ก่อนจะเปลี่ยนมือให้ ซาปูโต้ ดำรงตำแหน่งแทนในอีกราว 1 เดือนถัดมา
2015 – ทีมทะยานกลับคืนสู่ เซเรียอา ได้สำเร็จ หลังเอาชนะ เปสคาร่า ได้ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้น
2018 – นับตั้งแต่กลับมามีส่วนร่วมในลีกสูงสูดของประเทศอีกครั้งในฤดูกาล 2015-16 โบโลญญ่า พยายามเอาตัวรอดมาได้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยจบในอันดับที่ 14, 15 และ 15 ตามลำดับ
โบโลญญ่า