เจาะลึกประวัติ เลสเตอร์ ซิตี้ (จิ้งจอกสยาม)

เจาะลึกประวัติเลสเตอร์ ซิตี้

จุดเริ่มต้น The Foxes

สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ มีชื่อเดิมว่า สโมสรเลสเตอร์ ฟอสส์ เอฟซี (Leicester Fosse FC) เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1884 อยู่ในเมือง เลสเตอร์ เขต อีสต์ มิดแลนด์ ประเทศอังกฤษ ได้รับแต่งตั้งฉายาว่า The Foxes ในประเทศอังกฤษ และมีฉายาว่า “สนุัขจิ้งจอก” หรือ “จิ้งจอกสยาม” ตามชื่อฉายาที่ได้รับในประเทศไทย

ต้นกำเนิดของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยเริ่มจากนักบวชกลุ่มหนึ่ง ที่หลายๆคนได้เข้าไปศึกษาและเจริญเติบโตมาจากสถานเก่าแก่ที่แห่งหนึ่ง หรือที่เรียกว่าโรงเรียน วิกเกสตัน (Wyggeston School) บนถนนเซาธ์เกต บาทหลวงในนาม เลเวลลีน เอช พาร์สัน และเหล่าบรรดาลูกศิษย์ต่างได้พูดถึงเรื่องอนาคตที่น่าตื่นเต้น เกี่ยวกับการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมา และจากการรวมตัวกันของคนกลุ่มนั้นก็ก่อให้เกิดการตั้งคณะกรรมการประจำสโมสรขึ้น แต่ละคนมีเงินลงทุนก่อตั้งสโมสร คนละ 9 เพนช์ และจำนวนเงินเพิ่มอีกคนละ 9 เพนช์ เพื่อนำไปซื้อลูกฟุตบอล

เดอะ ฟอสส์ เวย์ (The Fosse Way) ชื่อถนนเก่าแก่ในอาณาจักรโรมัน ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของสโมสรใหม่ ส่วนที่มาของชื่อนี้ก็คือ ถนนที่เชื่อมภาคตะวันตกเฉียงใต้และวันออกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ

1 พฤศจิกายน 1884 ชัยชนะนัดแรกของ เลสเตอร์ ฟอสส์ เอฟซี ที่ได้มาในท่ามกลางกองเชียร์แฟนบอลจำนวนไม่มากนัก ใช้สนามส่วนตัวที่ถนนฟอสส์ เซาธ์ โดยเป็นการเอาชนะ สโมสรซิสตัน ฟอสส์ ไปได้ถึง 5-0 โดยเฉลี่ยอายุของกลุ่มผู้เล่นนั้นเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น จากการยิงประตูของ อาร์เธอร์ เวสต์ และ ฮิลตัน จอห์นสัน คนละ 2 ลูก ในขณะที่ แซม ดิงลี่ย์ ยิงอีก 1 ประตูปิดจ๊อบ ในช่วงเวลานั้นกีฬาฟุตบอลยังไม่ป็นที่นิยมในคนหมู่มากเหมือนในปัจจุบัน หลายๆคนมองว่าเป็นการร่วมกิจกรรมและการออกำลังกายเพียงแค่นั้น

ระหว่างปี 1884-1887 สังเวียนแข่งขันที่แรกคือ วิคตอเรีย พาร์ค เวลาต่อมาทางสโมสรทำการวางแผนที่จะย้ายมาปักหลักที่ เบลเกรฟ โร้ด ไซเคิล แต่แผนนี้ต้งล้มลงไป เพราะสโมสรรักบี้เลสเตอร์ ไทเกอร์ส มาชิงตัดหน้าประมูณสนามไปได้ก่อนในปี 1888 ทำให้พวกเขาต้องกลับไปใช้สนามเดิม

ฤดูกาลแรกของ เลสเตอร์ ฟอสส์ ที่มิลล์ เลน พวกได้ครองแชป์แรกกับสโมสร (ฉายาในเวลานั้นคือ ฟอสซิล หรือ วิวัฒนาการขั้นต้นของสิ่งมีชีวิตโบราณ) พวดเขาสามารถเอาชนะ โคลวิลล์ ในรายการแข่งขันเลสเตอร์เชียร์ เคาน์ตี้ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่ โลโบโร่ในปี 1890 ในฤดูกาลต่อมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะพวกเขาได้เข้าร่วมศึกการแข่งขันฟุตบอล เอฟเอคัพ เป็นครั้งแรก

ทีมยังคงมุมงมั่นในการค้นหาสถานที่ในการจัดตั้งสำนักงานของสโมสรให้เป็นทางการ ต่อมามีปัญหาเกดขึ้นอีก เมื่อมีผู้คนที่จะสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณสนามมิลล์ เลน จึงมีอีกทางเลือกนึงนั่นก็คือสนามคริกเก็ตที่ถนน เกรซ โร้ด

เดือนตุลาคม ปี 1819 ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเขาได้ตั้งที่อยู่อย่างเป็นหลักเป็นแหล่งที่ฟิลเบิร์ต สตรีท ถนนสายนั้นมีชื่อว่า วอลนัท สตรีท โร้ด กรเริ่มต้นฤดูกาลแรกของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้ว่าจะสามารถดึงผู้เข้าชมมาได้ถึง 4,000 คน แต่พวกเขาต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีกว่าทุกอย่างจะลงตัว

ก่อนฤดูกาล 1893-1894 จะมาถึง เลสเตอร์ ฟอสส์ สามารถดึงตัวนักเตะอาชีพมาเซ็นสัญญาได้ถึง 19 คน และจบในตำแหน่งที่ 2 ของตาราง ปี 1894 นับว่าเป้นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในประวัติสโมสร เมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันร่วมโหวดให้ เลสเตอร์ ฟอสส์ ลงแข่งขันในดิวิชั่น 2

ช่วงเริ่มก่อตั้ง ชุดที่พวกเขาใช้ในการแข่งขันคือสีดำสลับสีฟ้าอ่อน กางเกงสีเขียว แต่ในภายหลังพวกเขาได้สลับสับเปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำตาลกับสีน้ำเงินแทน จนกระทั่งในปี 1903 จึงเปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำเงินและขาว ตามที่แฟนบอลทุกคนรู้จักกันในปัจจุบันนี้

พวกเขาใช้เวลา 14 ปี ในการที่เลื่อนชั้นมาอยู่ในลีกสูงสุด ในช่วงเวลานั้นสตาร์ดาวรุ่งอย่าง บิลลี่ แบนนิสเตอร์ (อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ) ทำให้เป็นที่ดึงดูดแฟนบอลติดตามเหนียวแน่นมากขึ้น เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 13,000 คน

แต่นั่นก็เป็นห้วงความสุขในเวลาไม่นาน เลสเตอร์ ฟอสส์ ตกชั้นทันทีหลังจากลงเล่นในลีกสูงสุดผ่านไปแค่ 1 ฤดูกาล ซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกเขายังประสบปัญหาด้านการเงินจนทำให้เสี่ยงต่อสภาวะล้มละลาย

ฟุตบอลลีกหยุดพักไปชั่วคราวในเดือนเมษายน ปี 1915

การเกิดสงคราโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดความไม่สงบภายในราชอาณาจักร จึงทำให้ฟุตบอลลีกหยุดพักไปชั่วคราวในเดือนเมษายน ปี 1915 ในขณะนั้น เลสเตอร์ ฟอสส์ จบฤดุกาลด้วยอันดับรองสุดท้ายของดิวิชั่น 2 และต้องการเสียงข้างมากในหมู่คณะกรรมการจัดตั้งลีก เพื่อรักษาสโมสรให้ยังคงแข่งขันต่อไป นักเตะหลายๆคนในสโมสรเลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายอักษะ เพื่อร่วมต่อต้านชาวเยอรมันในประเทศ ที่ทำการแข่งขันในภูมิภาค แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเงินอาจจะส่งผลให้ทีมอยู่ไม่รอดถึงช่วงที่สงครามจบลง ซึ่งกว่าเหตุการณ์นั้นจะมาถึงก็กินเวลาล่วงเข้าไปฤดูหนาวปี 1918

จากเลสเตอร์ ฟอสส์ สู่ เลสเตอร์ ซิตี้

เพื่อรักษาให้สโมสรอยู่รอดจึงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาที่ปัญหาการเงินรุมเร้าท้ายที่สุดเหมือนโชคเข้าข้าง เมื่อมีบริษัทใหม่เข้ามาซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น
“สโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้” ในปี 1919

เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์ลีกระดับ 2 ได้ทั้งหมด 7 ครั้ง (ในปัจจุบันคือฟุตบอลเดอะแชมเปี้ยนชิพ) , เข้าชิงเอฟเอคัพ 4 ครั้ง และคว้าแชมป์ลีก คัพอีก 3 สมัย รวมไปถึงการได้เข้าแข่งขันในฟุตบอลยุโรป 4 ฤดูกาล ซึ่งฤดูกาล 2016-2017 คือซีซั่นแห่งความทรงจำ เมื่อทีมได้ทะลุเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-2016 ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่

ความทรงจำเกิดขึ้น ในฤดูกาล 1928-29 สโมสรเกือบได้แชมป์ลีกสูงสุด โดยมีคะแนนตามหลัง “เดอะ เว้นส์เดย” (หรือ เชฟฟิลด์ เว้นส์ เดย์ในปัจจุบัน) ไปเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ความสำเร็จเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานนัก ในฤดูกาล 1935-36 เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องตกชั้นไปเล่นในระดับดิวิชั่น 2 ปต่ในฤดูกาลถัดมาพวกเขาคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 และได้กลับขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น 1 อีกครั้ง แต่ก็ต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 อีกครั้งในฤดูกาล 1939-40 ก่อนที่จะต้องหยุดการแข่งขันฟุตบอลลีกไป เนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

จากเลสเตอร์ ฟอสส์ สู่ เลสเตอร์ ซิตี้

หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฟุตบอลลีกก็กลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง เลสเตอร์ ซิตี้ ยังคงเล่นอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 1949 ก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง พร้อมกับคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 มาฝากแฟนๆในฤดูกาล 1953-54 และ 1956-57

ในทศวรรษ 1960 เลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับฉายาว่า “ราชันย์แห่งยุคน้ำแข็ง” (Ice Kings) เพราะพวกเขาโชว์ฟอร์มที่ร้อนแรงในช่วงที่ประเทศอังกฤษมีสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ

เลสเตอร์ ซิตี้ เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ในพรีเมียร์ลีก แต่ต้องตกชั้นไปอีกในปี 2002 จนกระทั่งย้ายออกจากสนามเก่า ฟิลเบิร์ต สตรีท มายังสนามใหม่ที่ ฟิลเบิร์ต เวย์ และได้ใช้ชื่อว่า “วอล์คเกอร์ สเตเดี้ยม” ตามชื่อของผู้สนับสนุนในเวลานั้น สโมสรประสบปัญหาทางด้านการเงินอีกครั้ง และถูกคุมกิจการเมื่อเดือนตุลาคมปี 2002 แต่ก็ได้เลื่อนชั้นกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2003 และตกชั้นไปอีกในปี 2004

คิง เพาเวอร์ เข้าซื้อกิจการสโมสร

เดือนสิงหาคม 2010 กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ โดย คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ได้เซ็นสัญาตกลงเข้าซื้อกิจการทั้งหมดของสโมสร ต่อจาก มิลาน แมนดาริช เจ้าของสโมสรคนเก่า ขณะนั้นเลสเตอร์ เล่นอยู่ในระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือดิวิชั่น 2 เดิม โดยนโนบายการบริหารสโมสรจะไม่มุ่งเน้นแค่เพียงความสำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่คุณภาพของนักเตะและวิธีบริหารทีมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มจากการปรับโครงสร้างภายในสโมสรที่จำเป็นทั้งหมด รวมถึงนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้เพื่อพัฒนาสโมสร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้แก่สโมสรในระยะยาว และการวางเป้าหมายที่จะต้องเลื่อนชั้นขึ้นไปโชว์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือว่าเป็นลีกสำคัญและลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษให้ได้ นอกจากนี้ ยังได้ปรับนาดความจุของสนาม “วอล์คเกอร์ สเตเดี้ยม” (ชื่อเดิม) เป็น 32,500 ที่นั่ง พร้อมเปลี่ยนชื่อสนามเป็น “คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม”

ทั้งหมดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมตีแต้มได้สูงมากในแชมเปี้ยนชิพฤดูกาล 2013-14 ภายใต้การคุมทีมของโค้ช ไนเจล เพียร์สัน จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในฐานะแชมป์เปี้ยน หลังจากนั้นพวกเขาได้สร้างปาฏิหารย์โดยการรอดตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-15 ทั้งที่ๆทีมจัมปลักอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2014

ฤดูกาล 2015-16 เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจจะลืมได้ ด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร

ฤดูกาล 2016-17 เคร็ก เช็กสเปียร์ เข้ามารับหน้าที่แทน เคลาดิโอ รานิเอรี่ พาทีม ทะลุเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และเอาชนะ เซบีญ่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่ายแพ้ต่อ แอตเลติโก้ มาดริด มาด้วยสกอร์ 1-2 ก่อนจบอันดับที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก

ฤดูกาล 2017-18 ทีมได้ทำการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมอีกครั้ง โดยแต่งตั้ง โคล้ด ปูแอล กุนซือชาวฝรั่งเศส เข้ามารับหน้าที่แทน เคร็ก เช็กสเปียร์ ที่แยกทางกับสโมสรในเดือน ตุลาคม 2017 โคล้ด ปูแอล พาเลสเตอร์จบอันดับที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ฟุตบอลถ้วยทั้ง 2 รายการต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในที่ต้องเผชิญหน้ากับ เชลซี ในศึกเอฟเอ คัพ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในลีก คัพ

ฤดูกาลล่าสุด 2018-19 สโมสรเสียตัวผู้เล่นสำคัญหลุดมือไปอย่าง ริยาด มาห์เรซ ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ก็ได้นักเตะฝีเท้าดีอย่าง เจมส์ แมดดิสัน (นอริช) และ ริคาร์โด้ เปเรยร่า (ปอร์โต้) มาทดแทน

กุมภาพันธ์ 2019 โคล้ด ปูแอล แยกทางกับสโมสร หลังจากที่ทีมีผลงานที่ตกต่ำย่ำแย่ ทำให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือ เข้ามาทำหน้าที่นี้แทน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมกลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง

คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฯ ถึงแก่กรรม

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2018 ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงและการสูญเสียครั้งใหญ่ของสโมสร คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฯ ถึงแก่กรรมหลังประสบอุบัติเหตุเฮลิค็อปเตอร์ตก พร้อมด้วยผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย ด้านนอกสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม

คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร ผู้เป็นบุตรชายได้ให้คำมั่นว่าจะสืบสานเจตนารมย์ และจะดูแลสโมสรต่อจากบิดาอย่างเต็มที่สุดความสามารถ

ตราสโมสร

ตราสโมสร

สีประจำสโมสร

เลสเตอร์ ซิตี้ ใช้สีน้ำเงิน และ สีขาวเป็นสีประจำสโมสร

สีประจำสโมสร

คำขวัญประจำสโมสร

Foxes Never Quit (จิ้งจอกไม่เคยยอมแพ้) เป็นคำขวัญ ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้

คำขวัญประจำสโมสร