นักเตะกองกลางที่ดีที่สุดในโลก ลูก้า โมดริช (Luka modric)

นักเตะกองกลางที่ดีที่สุดในโลก ลูก้า โมดริช (Luka modric)

ลูก้า โมดริช เกิดวันที่ 9 กันยายน 1985 เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวโครเอเชีย เล่นตำแหน่งกองกลางกับเรอัล มาดริด และเป็นกัปตันทีมชาติโครเอเชียในปัจจุบัน เขาลงเล่นกับสโมสรฟุตบอลของสเปน เรอัล มาดริด โมดริชเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางและสามารถเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือตัวรับก็ได้ ซึ่งเขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งตรงกลางสนาม ถือได้ว่าเขาเป็นมิดฟิลด์ที่ยอดเยี่ยมในฟุตบอลสมัยใหม่ และเป็นนักฟุตบอลโครเอเชียที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล เขารับบทบาทเพลย์เมกเกอร์ด้วย เขาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องแท็กติกเกมฟุตบอลเป็นอย่างมาก

เกิดที่เมืองซาดาร์ ชีวิตในวัยเด็กต้องหลบหนีสงครามในการประกาศเอกราชของโครเอเชีย ในปี 2002 เขาเซ็นสัญญากับดินาโม ซาเกร็บ ด้วยวัย 16 ปี ซึ่งเขาได้ลงสนามในทีมเยาวชนของทีม และก้าวขึ้นชั้นเล่นทีมชุดใหญ่ที่ซาเกร๊บ ก่อนที่จะโดนปล่อยให้ซลินสกี้ โมสตาร์และอินเตอร์ ซาเปรซิชด้วยการยืมตัว เขาลงสนามให้ดินาโม ชุดใหญ่ เมื่อปี 2005 และชนะเลิศฟุตบอลลีก 3 สมัยติดต่อกัน และฟุตบอลถ้วยในประเทศ ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของฟุตบอลลีกโครเอเชีย ปี 2008 เขาย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกกับสเปอร์ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติ 16.5 ล้านปอนด ที่ทำให้สเปอร์ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปี โดยที่เข้าไปถึงรอบควอเตอร์ไฟนัลในฤดูกาล2010/11

ซัมเมอร์ปี 2012 โมดริชเข้าร่วมเรอัล มาดริดด้วยค่าตัวย้ายทีม 30 ล้านปอนด์ และเขาเป็นนักเตะคีย์แมนคนสำคัญของเฮดโค้ช คาร์โล อันเชล็อตติ (กุนซือชาวอิตาลี) โดยพาทีมคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 10 เขาได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาล 2013/14 ซึ่งหลังจากซีเนอดีน ซีดานเข้ามาคุมเรอัล มาดริด เขาก็พาทีมคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก ตั้งแต่ปี 2015/16 ถึงปี 2017/18 สามฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งเขาได้รับการโหวตให้เป็นมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมของลาลีกา เมื่อปี 2016 (เป็นครั้งที่สอง) โมดริชได้รับรางวัลมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมจากยูฟ่า ปี 2017 และ 2018 – ปี 2015 เขากลายเป็นนักเตะคนแรกของโครเอเชียที่ติดทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า และเขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของปี 2016 และ 2018 ด้วย

ปี 2018 ลูก้า โมดริชเป็นนักเตะโครเอเชียคนแรกที่ชนะเลิศได้รับการโหวตจากยูฟ่า (ให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมปี 2018 ), ได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ นับว่าเป็นนักเตะคนแรกที่ได้รับรางวัลหลังจากหมดยุคของลิโอเนล เมสซี่หรือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ทั้งสองคนได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากยูฟ่า (เป็นเวลากว่าสิบปี)

โมดริชติดทีมชาติโครเอเชียเป็นครั้งแรก เกมพบอาร์เจนตินาเดือนมีนาคม 2006 และยิงประตูแรกให้ทีมชาติเกมกระชับมิตรกับอิตาลี โมดริชพาโครเอเชียเข้าสู่ยุคเรืองรองอีกเป็นครั้งที่สองหลังจากที่โครเอเชียเคยได้อันดับ 3 ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสมาแล้ว และปี 2018 โครเอเชียก็ได้รองแชมป์ฟุตบอลโลก ที่รัสเซียด้วย

โครเอเชียเข้าเล่นฟุตบอลยูโรรอบสุดท้ายปี 2008, 2012 และ 2016 ฟุตบอลโลก 2006,2014 และ 2018 ฟุตบอลยูโร 2008 โมดริชมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยม(ของยูโร 2008ด้วย) และหลังจากจบรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 โมดริชได้รับรางวัล โกลเด้นบอล นักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก 2018 เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโครเอเชียระหว่างปี 2007-2018

ชีวิตวัยเด็ก

ลูก้า โมดริช

ลูก้า โมดริชเกิดวันที่ 9 กันยายน 1985 ในตระกูลโมดริช บรรพบุรุษชื่อ ซาตอน โอโบรวัคกี้ ที่หมู่บ้านทางทิศใต้ของภูเขาเวเลบิต (เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของซาดาร์ แคว้นโครเอเชีย) ต่อมากโครเอเชียได้รับการประกาศเป็นประเทศแยกจากยูโกสลาเวียเขาเป็นลูกคนโตของสติเป้ โมดริชและราดอจก้า โดปุด จากครูเซโว ทั้งสองคนทำงานในโรงงานเสื้อผ้า

โมดริชใช้เวลาส่วนมากในวัยเด็กกับปู่-ย่า โดยเขาได้ไปเลี้ยงแกะเมื่ออายุ 5 ขวบ อย่างไรก็ตามชีวิตไม่ได้สุขสบายนัก เขาต้องหลบหนีสงครามกลางเมืองของโครเอเชีย ปี 1991 เมื่อสงครามสิ้นสุดลงครอบครัวของเขาถูกอพยพไปที่พื้นที่อิสระ ปู่ของโมดริชถูกฆ่าโดยกลุ่มกบฏชาวเซิร์บ ซึ่งต่อมากลุ่มกบฏก็ถูกตำรวจจับที่เมือง ครายิน่าเดือนธันวาคม 1991 ที่ใกล้กับบ้านของตระกูลโมดริช

หลังจากนั้นบ้านของเขาก็ถูกเผา โมดริชต้องลี้ภัยและหลบอยู่ที่โรงแรมโคโลวาเร่ กับครอบครัว เป็นเวลา 7 ปี ต่อมาเขาย้ายไปอยู่ที่โรงแรม ลีซ (ทั้งสองโรงแรมอยู่ที่เมืองซาดาร์) พ่อของเขาเข้าร่วมกองทัพอากาศ โครเอเชีย ปีนั้นมีระเบิดกว่าพันลูกถล่มที่เมืองซาดาร์และทำให้เขาต้องย้ายออกจากเมืองซาดาร์อย่างจริงจัง

เขากับครอบครัวอยู่กันอย่างลำบากเขายังต้องระวังภัยจากสงครามตลอดเวลา ซึ่งด้วยสภาพแวดล้อมที่ยุ่งยาก เขามีฟุตบอลเป็นเพื่อน และมักจะไปเตะบอลที่สวนสาธารณะข้างโรงแรมเป็นประจำ ปี 1992 เขาเข้าโรงเรียนประถมและเข้าอคาเดมี่ของฟุตบอลด้วย ซึ่งโมดริชมีนักฟุตบอลอย่างซโวนิเมียร์ โบบันและฟรานเชสโก้ ต๊อตติเป็นแรงบันดาลใจ

สโมสรฟุตบอล

ช่วงแรกที่เล่นบอลอาชีพ

เขาได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เขาเข้าแค้มป์เก็บตัวที่ทีมเอ็นเค ซาดาร์ เขามีโค้ชฟุตบอลคนแรกคือ โดมากอย บาซิชที่เป็นหัวหน้าโค้ชของทีมชุดเยาวชน โทมิสลาฟ บาซิชเหมือนเป็นพ่อของเขาในวงการฟุตบอล กล่าวว่าพ่อของโมดริชมพาเขามาฝากกับเรา ตอนนั้นเขายังเด็กและดูผอมมาก เขาพลาดการเซ็นสัญญากับไฮดุ๊ก สปลิท ที่เป็นทีมดังในแคว้นดัลมาเตีย และหลังจากที่ได้ลงสนามในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลที่อิตาลี โทมิสลาฟ บาซิชพาเขาย้ายไปเล่นกับดินาโม ซาเกร็บด้วยวัย 16 ปี ในช่วงปลายปี 2001

หลังจากนั้นอีกสองปี ปี 2003 เขาได้ถูกปล่อยยืมตัวกับ ซลินสกี้ โมสตาร์ในพรีเมียร์ลีกบอสเนียและเฮอร์เซโกวิน่า ในช่วงการเล่นครั้งแรก เขาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่หวือหวานัก “โมดริชกล่าวว่าบางคนยังอยากจะให้ผมเล่นที่ลีกบอสเนียไปตลอดด้วย ซึ่งผมเล่นที่ไหนก็ได้ แต่ว่าร่างกายของเขาดูเล็กเกินไป ต่อมาเขาย้ายไปเลนที่อินเตอร์ ซาเปรซิชเขาเล่นที่นั่น 1 ฤดูกาลพาทีมจบอันดับที่ 2 ของฟุตบอลดิวิชั่น 1 โครเอเชีย และผ่านเข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า คัพ เขายังได้รับรางวัลดาวรุ่งของฟุตบอลโครเอชีย เมื่อปี 2004 จากนั้นเขาย้ายมาเล่นที่ดินาโม ซาเกร็บปี 2005

ดินาโม ซาเกร็บ

luka modric Dinamo Zagreb

ฤดูกาล 2005/06 โมดริชเซ็นสัญญา 10 ปีกับทีมดินาโม ซาเกร็บ ซึ่งเขาต้องซื้อแฟลตอยู่กับครอบครัว เขาได้ลงสนามกับดินาโมชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาลแรก เขายิงได้ 7 ประตูจาก 31 แมตช์พาทีมคว้าแชมป์ลีกเอิง ในปี 2006/07 ดินาโมชนะเลิศฟุตบอลลีกอีกครั้ง โมดริชด็เล่นได้ดีเหมือนกับฤดูกาลแรก โดยเขาเป็นคนจ่ายบอลให้กองหน้าตัวเป้า เอดูอาร์โด้ ได้อย่างดี ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโครเอเชียในปีนั้น ในฤดูกาลถัดมา

2007/08 โมดริชพาดินาโม เข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า คัพได้ โดยเกมเพลย์ออฟเกมสุดท้าย โมดริชยิงประตูจากลูกโทษ ในเกมที่ 2 ที่ไปเยือนอาแจ๊กซ์ และเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ในช่วงเวลาปกติ รวมแล้วดินาโมชนะด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 หลังจาก
จบช่วงต่อเวลาจาก ได้ประตูจากกองหน้าเพื่อนร่วมทีมเวลานั้น (มาริโอ มานด์ซูคิช) อย่างไรก็ตามดินาโม พลาดการเข้าไปเล่นยูโรป้า ลีก รอบแบ่งกลุ่ม และเกมสุดท้ายในสนามมักซิเมียร์ สเตเดี้ยม โมดริชได้รับการยืนขึ้นปรบมือจากแฟนบอลผู้สนับสนุนทีม เขาสิ้นสุดการเล่นสี่ฤดูกาลที่ดินาโม โดยยิงได้ทั้งหมด 31 ประตู และ 29 แอสซิสต์จากสี่ฤดูกาล

โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาล 2007/08 เขาพาดินาโม ได้ทั้งแชมป์ โครเอเชียน คัพและฟุตบอลลีกสูงสุดของโครเอเชีย โดยมีแต้มห่างจากรองจ่าฝูง 28 แต้ม โมดริชได้รับความสนใจจากบาร์เซโลน่า , อาร์เซน่อล และเชลซี แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะย้ายไปทีมไหน

สเปอร์

luka modric tottenham

ฤดูกาล 2008/09

โมดริชตกลงย้ายไปเล่นให้สเปอร์ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2008 เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ฆวนเด้ รามอสเซ็นเข้าสู่ทีม ประธานสโมสร แดเนียล เลวี่ประธานสโมสรของสเปอร์ามารถชักจูงให้เขาย้ายมาเล่นที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน (ชื่อสนามเดิม) โดยเอาชนะแมนซิตี้และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

โมดริชเซ็นสัญญา 6 ปี สเปอร์ยืนยันว่าได้จ่ายค่าตัว 16.5 ล้านปอนด์ เท่ากับดาร์เรน เบนท์เมื่อปี 2007 เขาได้ใส่เสื้อหมายเลข 14 โดยเบอร์นี้เป็นเบอร์เดียวกับ โยฮัน ครัฟฟ์อดีตนักเตะของอาแจ๊กซ์ด้วย โมดริชได้ลงสนามแข่งพรีเมียร์ลีกนัดแรกวันที่ 16 สิงหาคม และเกมนั้นสเปอร์แพ้ต่อมิดเดิ้ลสโบร์ช 2-1 ที่สนามริเวอร์ไซต์ สเตเดี้ยม ในเกมแรกของฤดูกาล 2008/09

โมดริชออกสตาร์ทกับสเปอร์อย่างช้าๆ เขาเจ็บเข่าในช่วงแรกที่อยู่สเปอร์ และถูกวิจารณ์จากสื่อว่าเขามีน้ำหนักเบา (ผอมเกินไป) จากผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล อาร์แซน เวนเกอร์ จากการที่เขาถูกวิจารณ์ก็ทำให้เขามุ่งมั่นมากขึ้น โมดริชกล่าวว่าการที่คุณเห็นผอมบางแบบนี้ แต่ผมมีความแข็งแกร่งทั้งกายและใจ ซึ่งเรื่องตัวเล็กไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย การที่เขาเล่นได้ดีกับสเปอร์ ทำให้มีชื่อติดทีมชาติโครเอเชีย (ภายใต้ เฮดโค้ช สลาเวน บิลิช) โมดริชในช่วงแรกที่เล่นให้ทีมชาติเขาสวมเสื้อหมายเลข 10 ก่ออนที่จะไปเล่นปีกซ้ายประสานงานกับวิลสัน ปาลาซิออส เพื่อนร่วมทีมสเปอร์ ทอม ฮัดเดิลสตัน กล่าวว่า โมดริชเป็นคนที่น่ายกย่อง เขาเล่นในตำแหน่งที่เขาไม่ถนัดได้ดี

หลังจากการเข้ามาของกุนซือ แฮรื่ เร้ดแน็ปป์ โมดริชได้รับมอบหมายให้เล่นตำแหน่งที่ถนัดคือ มิดฟิลด์ตัวกลาง และมิดฟิลด์ด้านซ้าย ซึ่งเขาโชว์ทักษะการเล่นอย่างยอดเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่นเกมที่เสมอคู่ปรับร่วมเมือง อาร์เซน่อล วันที่ 29 ตุลาคม เร้ดแน็ปป์เคยกล่าวว่าโมดริชเป็นนักเตะที่อยู่ในแผนการทำทีมในอนาคต และจะให้เขาเล่นบทบาทเพลย์เมกเกอร์ด้วย

เขายิงประตูแรกในเกมอย่างเป็นทางการให้สเปอร์เกมที่เสมอสปาร์ตัก มอสโก 2-2 ระหว่างเกมยูฟ่า คัพรอบแบ่งกลุ่ม วันที่ 18 ตุลาคม 2008 เขาทำประตูในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้ประตูแรกจากนัดที่เสมอนิวคาสเซิล แต่ทีมแพ้ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม, ยิงประตูเกมที่สเปอร์ลงสนามเป็นเจ้าบ้านเกมเอฟเอคัพ รอบสาม ที่ชนะวีแกน วันที่ 2 มกราคม 2009 และไปเยือนแพ้ต่อแมนยู, ยิงประตูเกมที่แพ้ต่อแมนยู วันที่ 25 เมษายน 2009 ฟอร์มของโมดริชยังดีต่อเนื่องในเกมที่พบ สโต๊ค ซิตี้,ฮัลล์ ซิตี้ และวันที่ 21 มีนาคม เขาเป็นที่จดจำเมื่อยิงประตูโทนเกมที่ชนะเชลซีได้

ฤดูกาล 2009/10

ฤดูกาล 2009/10 แฮรี่ เร้ดแน็ปป์กล่าวถึง ลูก้า โมดริชว่า “เขาเป็นนักเตะที่น่ายกย่อง เป็นนักเตะในฝันของผู้จัดการทีมหลายคน เขาซ้อมหนักและไม่เคยปริปากบ่น เขาลงสนามทั้งกับมีบอลและไม่มีบอล เขาชนะคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามด้วยทริค และการผ่านบอล ผมคิดว่าเขาสามารถย้ายไปเล่นกับทีมท๊อปโฟร์ได้สบาย

วันที่ 29 สิงหาคม 2009 เกมที่สเปอร์ชนะเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 2-1 โมดริชได้รับบาดเจ็บที่น่อง โดยจากผลการสแกนพบว่าโมดริช บาดเจ็บกระดูกน่องขวาแตก และต้องพัก 6 สัปดาห์ เขาได้กลับมาลงสนามอีกครั้งวันที่ 28 ธันวาคม เกมลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ที่พบเวสต์แฮม เกมนั้นสเปอร์ชนะ 2-0 โมดริชยิงประตูได้นาทีที่ 11 โดยยิงได้จากขาขวาข้างที่กระดูกแตก เขายิงประตูได้อีกครั้งเกมที่ชนะเอฟเวอร์ตัน วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2010 เป็นเกมที่ไปเยือนและแพ้เบิร์นลี่ย์ วันที่ 9 พฤษภาคม

วันที่ 30 พฤษภาคม 2010 โมดริชเซ็นสัญญาใหม่ 6 ปีและจะอยู่กับทีมจนถึงปี 2016 ระหว่างที่เซ็นสัญญา โมดริชกล่าวว่า สเปอร์ให้ผมได้ลงสนามในพรีเมียร์ลีก และผมต้องการพาทีมประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น แต่ก็มีการยื่นข้อเสอนขอซื้อตัวเขาจากบรรดาทีมใหญ่ๆ แต่ผมไม่สนใจจะย้ายไปทีมไหน โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (2009/10) สเปอร์ามารถติดอันดับหนึ่งในสี่ได้สำเร็จ โดยผมคิดว่าผมและทีมก้าวหน้าไปพร้อมๆ กันและเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างผมอยู่ที่สเปอร์

ฤดูกาล 2010/11

วันที่ 11 กันยายน 2010 โมดริชยิงประตูแรกในฤดูกาล 2010/11 เกมไปเยือนเสมอ 1-1 ที่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน วันที่ 28 พฤศจิกายน เขาได้เล่นเกมในบ้านพบลิเวอร์พูล โมดริชยิงประตูแรกแต่ว่าต่อมาทางเอฟเอ ตัดสินว่าเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของนักเตะลิเวอร์พูล และหลังจากนั้นสเปอร์พบแมนยู ที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลนปี 2011 เร้ดแน็ปป์ยกย่องโมดริชว่า “โมดริชเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นนักฟุตบอลที่มหัศจรรย์มาก เขาเป็นนักฟุตบอลตัวเล็ก แต่ว่าเลี้ยงบอลผ่านนักเตะคนแล้วคนเล่า ด้วยความสามารถแบบนี้เขาสามารเล่นที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ โมดริชยิงประตูให้สเปอร์ในชัยชนะ 3-2 เหนือสโต๊ค เมื่อวันที่ 9 เมษายน, และยิงประตูจากจุดโทษที่ แอนฟิลด์วันที่ 15 พฤษภาคม ด้วยชัยชนะ 2-0 เหนือลิเวอร์พูล

โมดริชพาสเปอร์ผ่านเข้าเล่นฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก ในแมตช์แรก สเปอร์พบอินเตอร์ มิลานที่สนามซานซิโร่ วันที่ 20 ตุลาคม เกมนั้นเขาทำผลงานได้ตื่นตาตื่นใจมากเกมนั้นสเปอร์แพ้ 4-3 นอกจากนั้นยังมีจังหวะที่แกเร็ธ เบลกระชากบอลหนีดั๊กลาส ไมคอน จนทำเอานักเตะชาวบราซิลเสียผู้เสียคนมาแล้ว โมดริชเคลื่อนที่กับบอลมากเป็นพิเศษและมีส่วนร่วมกับเกมสูงมาก โดยเกมที่กลับมาเล่นที่ไวท์ ฮาร์ท เลน สเปอร์เปิดบ้านชนะอินเตอร์ได้ 3-1 จากประตูแรกของราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ในนัดต่อมาทีมพบกับแวร์เดอร์ เบรเมน โมดริชยิงประตูที่สอง หลังจากที่เสมอแบบโนสกอร์กับมิลาน สเปอร์ตกรอบควอเตอร์ไฟนัลด้วยฝีมือของเรอัล มาดริด

โมดริชลงสนามในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 32 นัดในช่วงฤดูกาล 2010/11 ยิงได้ 3 ประตูและ 2 แอสซิสต์ เปอร์เซ็นตืการผ่านบอลเฉลี่ยที่ 62.5 เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำอยู่ที่ 87.4 เปอร์เซ็นต์ หลังจบฤดูกาลเขาได้รับโหวตจากสโมสรสเปอร์ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสร และเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยังเลือกเขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของปีในฤดูกาลนั้น

ฤดูกาล 2011/12

กลางปี 2011 โมดริช ถูกทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างเชลซี ซื้อตัวโยยื่นข้อเสนอมาตอนแรกที่ 22 ล้านปอนด์และยื่นมาครั้งที่สอง 27 ล้านปอนด์ ทั้งสองครั้งก็ถูกปฎิเสธโดยท่านประธานสโมสร แดเนียล เลวี่ โดยเลวี่ไม่ต้องการให้เขาย้ายไปทีมคู่แข่งร่วมลีก โมดริชไม่ได้ลงสนามเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกที่ ไก่เดือยทองเปิดบ้านพบแมนยู เกมจบลงโดยเจ้าบ้านแพ้ 0-3 โมดริชเตรียมตัวจะย้ายไปเชลซีแล้ว แต่ว่าสุดท้ายข้อเสนอของเชลซี จำนวน 40 ล้านปอนด์ก็ถูกปฏิเสธ

หลังจากที่ไม่ได้ย้ายทีม กุนซือแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ก็กล่าวให้เขามุ่งมั่นทุ่มเทกับการเล่นที่สเปอร์จะดีกว่า วันที่ 18 กันยายน เขายิงประตูแรกของฤดูกาล จากการยิงไกล 25 หลา เป็นเกมที่ชนะ 4-0 เหนือลิเวอร์พูล, วันที่ 14 มกราคม 2012 โมดริชยิงประตูโทนเกมที่เสมอวูลฟ์ 1-1, วันที่ 31 มกราคมเกมที่ชนะวีแกน 3-1 เขาแอสซิสต์ให้เพื่อนยิงประตูแรก และทำประตูที่สองให้ทีมจากระยะ 20 หลา ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่สามของเขากับทีม เขาได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ โมดริชยิงประตูสุดท้ายในเกมเยือนที่ชนะโบลตัน 1-4 ที่รีบ๊อค สเตเดี้ยม จากการวอลเลย์ระยะไกล 25 หลา

เรอัล มาดริด

luka modric Real Madrid

ฤดูกาล 2012/13

วันที่ 27 สิงหาคม 2012 เรอัล มาดริด ประกาศว่าพวกเขาเซ็นสัญญาคว้าตัว ลูก้า โมดริชจากสเปอร์ด้วยค่าตัวย้ายทีมประมาณ 30 ล้านปอนด์ เขาเซ็นสัญญา 5 ปีกับทีมจากสเปน สองวันต่อมาก็ได้ลงสนามทันทีเกมที่พบบาร์เซโลน่าในนัดชิงชนะเลิศซูเปอร์โคปป้าเอสปันญ่า เกมที่สองที่ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว สเตเดี้ยม โดยลงมาแทน เมซุต โอซิลนักเตะชาวเยอรมัน นาที 83 เกมนั้นมาดริดชนะ และทำให้เขาได้รับโทรฟี่แรกภายใน 36 ชั่วโมงนับจากที่ย้ายทีม นอกจากที่ลงสนามเกมแรกแล้วทีมชนะแล้ว โมดริชยังสร้างความลำบากใจให้กุนซือโชเซ่ มูรินโญ่ในการจัดทีม ซึ่งมูรินโญ่ก็ยังไม่ให้เขาลงสนามมากนักเพราะว่าขาดการซ้อมช่วงปรีซีซั่น

โดยเขาต้องแย่งตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับกับชาบี้ อลอนโซ่และซามี่ เคดิร่า รวมถึงเมซุต โอซิลด้วย ทำให้เขาต้องลงสนามเพียงไม่กี่เกมเท่านั้น เขาได้ลงเล่นสโมสรยุโรปกับมาดริดเป็นนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มที่พบแมนซิตี้ วันที่ 18 กันยายน มาดริดชนะ 2-0 , วันที่ 3 พฤศจิกายน เขายิงประตูแรกให้ทีมในนาทีสุดท้ายเกมที่ชนะซาราโกซ่า 4-0 ในฟุตบอลลาลีกา , วันที่ 17 พฤศจิกายน โมดริชจ่ายบอลให้คาริม เบนเซม่ายิงประตูและต่อมาถูกตัดสินว่าเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ จอน อาร์ตูเนทเซ่ บอร์เด้ โดยเขาผ่านบอลจากระยะ 50 หลา ประตูนั้นเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของมาดริดในชัยชนะที่ทีมมีเหนือ แอตเลติก บิลเบา 5-1

วันที่ 4 ธันวาคม เขาแอสซิสต์สองประตูเป็นครั้งแรกโดยจ่ายบอลให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และโฆเซ่ กาเยฆ่อนเกมที่ชนะ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม 4-1 ในฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม เขาได้เล่นเกมเอล กลาสิโก้ กับมาดริดพบบาร์เซโลน่า ที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาบิววันที่ 2 มีนาคม 2013 จากจังหวะลูกเตะมุม เขาแอสซิสต์บอลให้เซอร์จิโอ รามอสยิงประตูชัยนาที 82 ให้มาดริดชนะเกมนั้น , วันที่ 5 มีนาคมโมดริชลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ระหว่างเกมที่พบแมนยูที่เหลือผู้เล่นสิบคนที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด โมดริชยิงประตูตีเสมอจากระยะไกล 25 หลา เขาได้เล่นตำแหน่งคีย์แมนคนสำคัญของทีม และสุดท้ายมาดริดชนะ 2-1 ผ่านเข้ารอบด้วยประตูรวม 3-2 แมตช์นั้นนับว่าเป็นจุดหักเหของโมดริชกับเรอัล มาดริดจริงๆ

วันที่ 16 มีนาคม เขาเล่นได้ดีเกมที่พบมายอร์ก้ายิงประตูจากระยะ 30 หลา (27 เมตร) มาดริดชนะเกมนั้น 5-2 เขายังได้ลงสนามเป็นสิบเอ็ดตัวจริงเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบรองชนะเลิศที่พบดอร์ทมุนด์ ในเลกแรก ,วันที่ 24 เมษายน เขาลงเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก แต่ว่าก็ไม่คล่องตัวนัก เกมนั้นทีมแพ้ 4-1, วันที่ 30 เมษายน ลงเล่นเกมเลกที่สองชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-0 โมดริชลงเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับมากขึ้น แต่ว่าก็ลงเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกและสร้างโอกาสได้หลายครั้ง เขาเป็นนักเตะที่เล่นได้ดีที่สุดในคืนนั้น เดือนมีนาคม 2013 ฟอร์มของโมดริชในตำแหน่งมิดฟิลด์พัฒนาขึ้นมา ซึ่งเขาเป็นนักเตะที่ผ่านบอลได้สำเร็จมากที่สุดในทีม วันที่ 8 พฤษภาคม เขายิงจ่ายบอลจากจังหวะคอร์เนอร์เป็นประตูแรก และยิงประตูที่สี่ในชัยชนะเหนือมาลาก้า 6-2

และกุนซือผู้มาใหม่อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ เขาได้ลงสนามบ่อยครั้งขึ้น-เขาเล่นร่วมกับชาบี้ อลอนโซ่ ซึ่งทำให้เกมมีความสมดุลทั้งรุกและรับ เขาเป็นนักเตะที่ผ่านบอลได้เยี่ยมมาก เฉลี่ยแล้วเข้าเป้ามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในฟุตบอล ลาลีกา ทำให้เขาเป็นนักเตะตัวจริงของทีม โมดริชยิงประตูแรกในแชมเปี้ยนส์ลีกกับโคเปนเฮเก้น ในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นประตูที่ห้าที่ยิงให้ทีมจากนอกเขตโทษ , เขายิงประตูแรกในเกมเยือนชนะ 3-0 ที่ชนะเกตาเฟ่ และเป็นประตูที่หกที่ยิงได้นอกเขตโทษ เขาพาทีมชนะเลิศฟุตบอลโคป้า เดล เรย์หลังจากที่แพ้บาร์เซโลน่านัดแรก 2-1 ในรองชิงชนะเลิศ

เกมควอเตอร์ไฟนัล เลกแรก โมดริชผ่านบอลโดยจ่ายให้แอสซิสต์ให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นประตูที่ 3 ให้มาดริดเปิดบ้านชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ประตูนี้จัดว่าเพียงสำหรับการผ่านเข้ารอบต่อไปของทีม เพราะว่าเกมนัดที่สองมาดริดไปแพ้ต่อดอร์ทมุนด์ในเกมเยือน 2-0 แต่ก็เข้ารอบรองชนะเลิศต่อไปอยู่ดี

เกมรอบรองชนะเลิศ มาดริดพบบาเยิร์น มิวนิคและชนะได้ 4-0 (เกมนัดที่สอง) ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี เขาได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมของทางยูฟ่า จากผลงานที่เล่นในรอบรองชนะเลิศทั้งสองนัด

วันที่ 24 พฤษภาคม นัดชิงชนะเลิศ โมดริชจ่ายบอลอีกครั้งให้เซอร์จิโอ รามอสจากลูกเตะมุม ให้รามอสยิงประตูเป็นประตูตีเสมอ แอต มาดริด 1-1 ต่อมาราชันชุดขาวก็เอาชนะทีมตราหมีได้ 4-1 ในช่วงต่อเวลา 120 นาที นับว่าเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 10 ของเรอัล มาดริดในเวลานั้น เขาได้รับรางวัลมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมของฟุตบอลลีกสเปน ที่จัดโดย LFP ด้วย

ฤดูกาล 2014/15

เดือนพฤศจิกายน 2014 โมดริชเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมเรอัล มาดริดและจะทำให้เขาอยู่กับทีมถึงปี 2018 ด้วยการจากไปของชาบี้ อลอนโซ่ที่ไปเล่นให้บาเยิร์น ทำให้เขามีคู่หูคนใหม่คือโทนี่ โครส , มาดริดเปิดฤดูกาลได้สวยงามเมื่อชนะ รายการยูฟ่า ซูเปอร์คัพกับ เซบีย่า จากนั้นโมดริชแอสซิสต์ประตูให้เบลสองเกมติดต่อกัน – ครั้งแรกเป็นเกมที่แข่งกับ รีล โซเซียดัดในลาลีกา – ครั้งที่สองเป็นเกมที่พบบาเซิล ในแชมเปี้ยนส์ลีก , ในชัยชนะ 2-0 เกมเยือนเหนือบียาร์รีล โมดริชยิงประตูจากนอกกรอบเขตโทษเป็นประตูที่ 7 ที่เขาทำได้

ปลายเดือนพฤศจิกายน โมดริชเจ็บต้นขาระหว่างเกมทีมชาติที่แข่งกับอิตาลี จากนั้นเขาต้องร้างสนามไปกว่า 3 เดือน กลับมาลงสนามได้อีกครั้งก็เดือนมีนาคม 2015 ลงสนาม 7 นัดติดต่อกัน , วันที่ 21 เมษายน มาดริดเปิดบ้านชนะมาลาก้า 3-1 เขาเจ็บเข่าขวา และก็ต้องพักจนถึงเดือนพฤษภาคม ช่วงที่เขาเจ็บตรงกับช่วงท้ายฤดูกาลที่ราชันชุดขาว มาดริดสามารถชนะรวด 22 นัดติดต่อกันทุกรายการ

การขาดหายไปของเขาส่งผลต่อมาดริดชัดเจน เพราะว่ามีบางเกมที่มาดริดเอาชนะทีมคู่แข่งไม่ได้ ทั้งในฟุตบอลลาลีกาและแชมเปี้ยนส์ลีก อันเชล็อตตกล่าวว่า “โมดริชเจ็บไปเกือบปี ทำให้ทีมเราก็บาดเจ็บเหมือนกัน” ปีนั้นเขาได้รับเลือกจากฟีฟ่าให้ติดทีมยอดเยี่ยม 11 คนแรกด้วย

ฤดูกาล 2015/16

โค้ช คาร์โล อันเชล็อตติย้ายออกจากทีม และการเข้ามาถึงของราฟา เบนิเตซ เขาก็ยังให้นักเตะชาวโครเอเชียลงสนามในบทบาทเพลย์เมกเกอร์ของทีม เขาลงสนามอย่างปกติในเดือนกันยายน , พฤศจิกายนและธันวาคม เขายิงประตูเกมที่มาดริดไปเยือนชนะ ชัคตาร์ โดเน็ตสค์ ในฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม เขาเจ็บขาหนีบจากการไปเล่นทีมชาติ เมื่อเดือนตุลาคม (โดยที่ขาดหายไป 2-3 สัปดาห์) อย่างไรก็ตาม วันที่ 20 ตุลาคม เขาหายกลับมาทันเวลาเกมแชมเปี้ยนส์ลีกที่แข่งกับ เปแอสเช (ปารีส แซงต์แชกแม็งต์)

การมาถึงของกุนซือ ซีเนอดีน ซีดานเมื่อเดือนมกราคม 2016 ทำให้ความสัมพันธ์ของซีดาน และโมดริชเป็นไปได้ด้วยดี เขาลงสนามสามเกมแรกภายใต้กุนซือ ซีเนอดีน ซีดาน (ชนะคอรุนญ่า,ชนะกิฆอนและเสมอเบติส) โมดริชได้รับการยกย่องว่าเป็นมิดฟิลด์เท้าชั่งทองอีกคนหนึ่งของวงการฟุตบอล, การจ่ายบอล, การยืนตำแหน่ง ,ประสิทธิภาพโดยรวม และความคล่องตัว วันที่ 7 กุมภาพันธ์ โมดริชยิงประตูชัยจากนอกเขตเอาชนะกรานาด้า 1-2
โมดริชได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง และพาทีมชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก เกมที่พบแอต มาดริด เขาติดทีมยอดเยี่ยมของทั้งแชมเปี้ยนส์ลีกและฟุตบอล ลาลีกา และเขาได้รับรางวัลนักเตะมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมของ LFP เป็นครั้งที่สอง, มิดฟิลด์ยอดเยี่ยมของฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรก

ฤดูกาล 2016/17

วันที่ 18 ตุลาคม 2016 โมดริชได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับเรอัล มาดริด จะทำให้เขาอยู่กับทีมต่อถึงปี 2020 และเขาบาดเจ็บเข่าซ้ายกลางเดือนกันยายน ทำให้พลาดการลงสนามไปกว่า 8 เกม กลับมาลงเล่นได้เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ,วันที่ 18 ธันวาคม เขาชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งที่สอง และได้รับรางวัล ซิลเวอร์บอล ในทัวร์นาเม้นต์นั้น

วันที่ 12 มีนาคม 2017 มาดริดชนะเบติส 2-1 โมดริชลงสนามให้ต้นสังกัด 200 นัด , เขาเป็นนักเตะตัวจริงที่ได้ลงสนามเกมลาลีกา ฤดูกาล 2016/17 อย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีก เขาจ่ายบอลให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ยิงประตูที่สองให้ทีมชนะยูเวนตุส

ลูก้า โมดริชได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมรายการแชมเปี้ยนส์ลีก และเป็นนักเตะโครเอเชียคนแรกที่ชนะเลิศแขมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัย เขาได้รับรางวัลมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมจากยูฟ่า , ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยูฟ่าด้วย และเขาอยู่อันดับที่ 5 ของการจัดอันดับ รางวัลบัลลงดอร์

ฤดูกาล 2017/18

การย้ายออกไปของฮาเมส โรดริเกซไปบาเยิร์น มิวนิค โมดริชได้รับเสื้อหมายเลข 10 ในฤดูกาลนี้ แทนที่เสื้อหมายเลข 19 ของเขา เดือนธันวาคม เขาชนะเลิศฟุตบอลสโมสรโลกกับ มาดริดและได้รับรางวัล โกลเด้น บอล ในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมของรายการ ประตูแรกของเขาในฤดูกาล 2017/18 คือเกมชนะเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า 7-1 วันที่ 21 มกราคม 2018 โมดริชยังได้ลงสนามเป็นสิบเอ็ดตัวจริง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย

เกมนั้นมาดริดชนะลิเวอร์พูล 3-1 และทำให้ราชันชุดขาว คว้าแชมป์ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกสามสมัยติดต่อกัน และจากผลงานที่ยอดเยี่ยมเขาได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า เป็นครั้งที่สามติดต่อกัน และได้รับรางวัลมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมจากยูฟ่า (เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน) , เดือนกรกฎาคม 2018 มีการประกาศว่าเสื้อของลูก้า โมดริชขายดีที่สุดในทีม เรอัล มาดริดหลังการย้ายออกไปยูเวนตุสของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ สตาร์ชาวโปรตุเกส

ระหว่างนั้น เขาก็ลงสนามในรายการฟุตบอลโลก 2018 ได้ดีและได้รับรางวัลโกลเด้น บอล เดือนสิงหาคมและกันยายน ลูก้า โมดริชได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากยูฟ่า และนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ขณะที่เดือนธันวาคม เขาได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ครั้งแรก ซึ่งเป็นการยุติการครองรางวัล บัลลง ดอร์นับตั้งแต่ ปี 2008-2014 ของทั้งลิโอเนล เมสซี่และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในรอบเกือบ 10 ปี

นอกจากนี้โมดริชยังเป็นนักเตะโครเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์นี้ เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รางวัลโกลเด้น บอลจากฟุตบอลโลกและนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากยูฟ่า เช่นเดียวกับที่ โรนัลโด้ (เหยินใหญ่) เคยได้ และโกลเด้นบอล และนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่ามีนักเตะอีกรายหนึ่งที่ทำได้คือ โรมาริโอในปี 1994

นอกจากนี้เขาเป็นนักเตะคนแรกจากดินแดนยูโกวลาเวีย ที่ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ หรือเป็นนักเตะคนที่สองจากยุโรปตะวันออกต่อจาก อังเดร เชฟเชนโก้ที่เคยได้รางวัลเมื่อปี 2004 , เป็นนักเตะสังกัด เรอัล มาดริด ที่ได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ เขายังได้รับรางวัลจาก IFFHS (หน่วยงานที่เก็บสถิติ) ว่าเขาเป็นนักเตะเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดในโลกด้วย และได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยูฟ่าเป็นสมัยที่สี่ และทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่าเป็นครั้งที่ 3

หลังจากที่รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทางฟีฟ่า โมดริชกล่าวว่า รางวับที่ได้รับเป็นการทำงานหนัก , การอุทิศตนเพื่อฟุตบอล, ความเชื่อ และสุดท้ายความฝันของผมก็เป็นจริงได้ โมดริชได้กล่าวอุทิศรางวัลบัลลง ดอร์ให้นักเตะทุกคนที่ควรจะได้รับรางวัลนี้ แต่ไม่เคยได้รับในอดีต ทั้ง ชาบี้, อันเดรส อิเนียสต้าและเวสลี่ย์ สไนเดอร์ และอื่นๆ

ฤดูกาล 2018/19

การมาถึงของกุนซือคนใหม่ ฆูเลน โลเปเตกี เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 โมดริชได้กลับสู่ทีมอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองไปก่อน เพราะว่าขาดการซ้อมช่วงปรีซีซั่น (เพราะว่าไปแข่งฟุตบอลโลก 2018) ซึ่งเกมแรกของมาดริดทีมของเขาแพ้ช่วงต่อเวลา 120 นาทีต่อ แอตเลติโก มาดริด ในรายการยูฟ่า ซูเปอร์คัพ เขาออกสตาร์ทเกมแรกในฤดูกาลวันที่ 1 กันยายน เรอัล มาดริดเปิดบ้านชนะเลบานเต้ 4-1 เกมนี้เขาแอสซิสต์บอลในลูกที่สามของทีม และจ่ายบอลให้คาริม เบนเซาม่า ยิงประตู , เขาลงสนามในฟุตบอลสโมสรยุโรปครบ 100 นัด เมื่อวันที่ 19 กันยายน มาดริดเปิดบ้านชนะโรม่า 3-0 ที่เขาจ่ายบอลให้แกเร็ธ เบลยิงประตูที่สอง , วันที่ 22 ธันวาคม โมดริชชนะเลิศรายการชิงแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งที่สี่ เขายิงประตูแรกและจ่ายให้เพื่อนยิงประตูที่สาม เกมที่ชนะอัล ไอน์ , วันที่ 13 และ 19 มกราคมท 2019 เขายิงประตูได้สองเกมติดต่อกันเป็นครั้งแรก เกมที่มาดริดไปเยือนชนะเบติส 1-2 และเปิดบ้านชนะเซบีย่า 2-0

รายการระดับชาติ

โมดริชเริ่มต้นทีมชาติตั้งแต่ชุดเยาวชน เขาลงสนามให้โครเอเชีย ยู15,ยู17, ยู18, ยู19 และยู21 ลงสนามเกมระดับชาตินัดแรก เดือนมีนาคม 2001 ให้โครเอเชียยู 15 ภายใต้โค้ช มาร์ติน โนโวเซลัช แต่ว่าช่วงนั้นสภาพร่างกายของเขายังไม่ค่อยแข็งแรงนัก ซึ่งโมดริชก็มีความพยายาม ความมุ่งมั่น จนโค้ช โนโวเซลัชได้เห็นถึงความทุ่มเทของเขา และให้เขาติดทีมชาติเรื่อยมา เขาได้ลงสนามเกมทีมชาติชุดใหญ่เป็นนัดแรก วันที่ 1 มีนาคม 2006 เป็นเกมกระชับมิตรกับอาร์เจนตินา ที่บาเซิล เกมนั้นโครเอเชียชนะ 3-2

ฟุตบอลโลก 2006

โมดริชได้ลงสนามให้โครเอเชียสองนัดในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน ลงมาเป็นตัวสำรองเกมที่พบญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ภายใต้กุนซือใหม่ของทีม สลาเวน บิลิช โมดริชยิงประตูแรกในนามทีมชาติโครเอเชียได้สำเร็จเกมที่พวกเขาอุ่นเครื่องชนะอิตาลี 2-0 ที่เมืองลิวอร์โน่วันที่ 16 สิงหาคม 2006

ยูโร 2008

โมดริชเล่นด้วยฟอร์มที่ดี มาก และเขาประสบความสำเร็จในการพาทีมผ่านเข้ารอบฟุตบอลยูโร 2008 โดยโครเอเชียทำผลงานยอดเยี่ยมชนะอังกฤษได้ทั้งเหย้าและเยือน เขาเคยได้รับฉายาว่าโยฮัน ครัฟฟ์แห่งโครเอเชีย เขาเป็นมิดฟิลด์รุ่นกระทงเวลานั้น โมดริชยิงประตูแรกในฟุตบอลยูโร 2008 โดยการยิงประตูจากลูกโทษตั้งแต่ นาทีที่ 4 ของเกม ชนะออสเตรีย 1-0 วันที่ 8 มิถุนายน 2008 เขายิงประตูจากจุดโทษได้เร็วที่สุดในฟุตบอลยูโร 2008 เขาเริ่มต้นเล่นด้วยความประทับใจ ในทัวร์นาเม้นต์นี้และได้รับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ของยูฟ่า เกมที่พวกเขาพบเยอรมัน ในเกมก่อนการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ด้วย รอบควอเตอร์ไฟนัลของฟุตบอลยูโร 2008 โมดริชฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของรุสตู เร็คเบอร์โกลของตุรกี และครอสบอลไปให้ อีวาน คลาสนิชยิงประตูแรกได้ใน หลังจากที่เหลือเวลาอีก 1 นาทีของช่วงต่อเวลา 120 นาที แต่เซมี่ เซนเติร์กก็มายิงตีเสมอให้ตุรกีได้ สุดท้ายต้องมายิงลูกโทษตัดสินกัน โมดริชยิงบอลออก และสุดท้ายตุรกีชนะด้วยการดวลลูกโทษ 3-1 จบฟุตบอลยูโร โมดริชติดทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า โดยที่เป็นนักเตะโครเอเชียคนที่สองต่อจาก ดาวอร์ ซูเคอร์

ยูโร 2012

ในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก 2010 โมดริชยิงได้ 3 ประตู เกมที่พบคาซัคสถาน, อันดอร์ร่า, และยูเครน เขาเล่นร่วมกับอิวิก้า โอลิช, อิวาน ราคิติช และเอดูอาร์โด้ ทีมตกรอบคัดเลือกโดยมีแต้มตามหลังยูเครน หลังจากที่ลงสนามในหลายๆนัดของฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก เขายิงได้หนึ่งประตูเกมที่แข่งกับอิสราเอล โมดริชออกสตาร์ทสามเกมรอบแบ่งกลุ่มที่พบ ไอร์แลนด์, อิตาลี และสเปน แต่ว่าทีมก็ตกรอบคัดเลือก ฟอร์มของเขาเป็นที่จดจำเกมที่พบสเปน โดยเขาเก็บบอลจากกลางสนามและเลี้ยงบอลผ่านนักเตะสเปน ทรีโอ และเลี้ยงบอลผ่านไปทางขวาเขาถึงเขตโทษและก็ครอสบอลจากระยะ 18 หลา (16 เมตร) ให้อิวาน ราคิติช ยิงประตูแต่ว่าอิเกร์ กาซิยาสก็เซฟบอลได้ เพราะว่าโครเอเชียไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้ เขาจึงยังไม่ได้เป็นที่จดจำของแฟนบอลเท่าไหร่นัก

ฟุตบอลโลก 2014

luka modric World Cup

หลังจากที่เล่นรอบเพลย์ออฟ โมดริชพาโครเอเชียเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกที่ บราซิลได้สำเร็จ และในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม A ร่วมกับ บราซิล, เม็กซิโกและ แคเมอรูน โครเอเชียเปิดสนามพบบราซิล และแพ้ 3-1 โมดริชเจ็บเท้าอีกต่างหาก เกมนัดที่สองโครเอเชียชนะแคเมอรูนได้ 4-0 แต่ว่าก็ไม่ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ต่อ เนื่องจากแพ้ 1-3 ต่อเม็กซิโก แต่ว่าโมดริชและโครเอเชียก็เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก

ยูโร 2016

ในฟุตบอลยูโร 2016 รอบคัดเลือก โมดริชยิงประตูแรก ให้โครเอเชียในรอบ 3 ปี โดยเป็นประตูแรกที่พบมอลตา และฉลองครบรอบวันเกิด 29 ปีของเขาด้วย (จากการยิงไกล) และต่อมายิงประตูจากลูกโทษเกมที่พบอาเซอร์ไบจาน ,วันที่ 3 มีนาคม 2015 โมดริชได้รับบทกัปตันทีมชาติเป็นครั้งแรก เกมที่ไปเยือนอาเซอร์ไบจาน เกมนั้นจบลงด้วยผลเสมอ
ยูโร 2016 โมดริชยิงประตูชนะเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดที่พบตุรกี โดยการวอลเลย์บอลระยะกว่า 25 เมตร (28 หลา) เขาเป็นนักเตะโครเอเชียคนแรกที่ยิงประตูได้เกมรอบสุดท้ายของฟุตบอลยูโร 2016 ก่อนหน้านี้เขาเคยยิงประตูในฟุตบอลยูโร 2008 มาแล้ว ซึ่งหากจะนับแล้ว เขาได้รับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์สองทัวร์นาเม้นต์ด้วย โมดริชลงสนามทุกแมตช์ในฟุตบอล ยูโร 2016 เขาพลาดลงสนามเกมพบสเปน วันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งเจ็บกล้ามเนื้อ ฟุตบอลโลก 2018 โมดริชลงสนามให้ทีมชาติโครเอเชียในฟุตบอลโลก 2018 เริ่มจากรอบคัดเลือก โมดริชยิงประตูจากลูกโทษเกมที่พบกรีซ ในเกมคัดเลือกรอบที่สอง และพาทีมเข้ารอบหลังจากการเพลย์ออฟ โครเอเชียเข้าไปอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับอาร์เจนตินา, ไอซ์แลนด์ และไนจีเรีย ระหว่างทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก 2018 โมดริชลงสนามร่วมกับ อีวาน ราคิติช, มาริโอ มานด์ซูคิช นับว่าเป็นยุคทองของฟุตบอลโครเอเชียอย่างแท้จริง โครเอเชียเปิดสนามพบไนจีเรีย และโมดริชยิงประตูจากลูกโทษ และเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ในเกมแรก เกมต่อมาพวกเขาก็ชนะอาร์เจนตินาได้ 3-0 เขายิงประตูจากระยะไกลที่ระยะ 25 หลา (23 เมตร) เขาได้แมนออฟเดอะ แมตช์ด้วย หลังจากนั้นในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม โครเอเชียพบไอซ์แลนด์ เขามีชื่อจากนิตยสารโฟร์โฟร์ทู ว่าเขาเล่นได้ดีที่สุดในการแข่งขันรอบแรก (รอบแบ่งกลุ่ม) ที่ผ่านมา รอบ 16 ทีมสุดท้าย โครเอเชียพบเดนมาร์กวันที่ 1 กรกฎาคม ผลจบลงที่เสมอ 1-1 โมดริชสร้างโอกาสในหารยิงประตู ให้อันเต้ ราบิช ในครึ่งหลังของช่วงต่อเวลา ต่อมาเขาได้โอกาสยิงลูกโทษในเวลาปกติ 120 นาทีแต่ว่าก็ยิงไปถูกแคสเปิล ชไมเคิลเซฟได้ แต่ว่าช่วงยิงลูกโทษซัดเด้น เดธ-โมดริช ยิงประตูจากลูกโทษได้สำเร็จ และจบลงโดยโครเอเชียผ่านเข้ารอบ 8 ทีมต่อไป ด้วยสกอร์ที่ชนะ 3-2 เกมรอบควอเตอร์ไฟนัล โครเอเชียพบเจ้าบ้านรัสเซีย วันที่ 7กรกฎาคม โมดริช จ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูช่วงต่อเวลา ให้โดมากอย วิด้าจากลูกเตะมุม และอีกครั้งหนึ่งเขายิงประตูจากลูกโทษ ทำให้ผลจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 โมดริชได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์เป็นครั้งที่สามในทัวร์นาเม้นต์นี้ รอบรองชนะเลิศโครเอเชียเข้าไปพบอังกฤษ วันที่ 11 กรกฎาคม โครเอเชียสามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศได้ หลังจากที่ชนะสิงโตคำราม 2-1 ช่วงต่อเวลา 120 นาที ซึ่งก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศสองวัน โมดริชเป็นนักเตะอันดับสามที่สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีม และเป็นนักเตะที่เลี้ยงบอลมากที่สุด อย่างไรก็ตามนัดชิงลงชนะเลิศ โครเอเชียแพ้ต่อฝรั่งเศส 4-2 ในนัดชิงชนะเลิศ วันที่ 15 กรกฎาคม โมดริชได้รับรางวัลโกลเด้น บอลหรือรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ และรวมทั้งมีชื่อติด 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมของทีม หลังจากนั้นเขาก็เดินทางไปเที่ยวบ้านเกิดที่ซาดาร์ พบอดีตเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลกว่าหมื่นคน ในงานเลี้ยงฉลองหลังจากที่ได้รองแชมป์โลก 2018

สไตล์การเล่น

เขาเป็นมิดฟิลด์ตัวเล็กสูงเพียงแค่ 1.70 เมตรเท่านั้น ทำให้เขามีความรวดเร็วว่องไว และจ่ายบอลดีเข้ามาแทนที่ เขาเป็นคนที่อ่านเกมได้ดี และจ่ายบอลแบบคิลเลอร์ พาสได้ , เลี้ยงบอลก็ได้ ยิงบอลไกลก็ดี เขายังเล่นได้ดีทั้งสองเท้า เกมบุกโดยที่ไม่มีบอลก็ได้ เขาได้รับการบันทึกว่าจ่ายบอลระยะสั้นหรือยาวได้แม่นยำที่สุด
โดยทักษะการครองบอล ,การจับบอลจังหวะแรก,การยืนตำแหน่ง เขาทำได้อย่างดีไร้ที่ติ และมีอารมณ์ร่วมกับเกมตลอดเวลา เขาเคยเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกมาก่อน ทำให้เขาสามารถเลี้ยงบอลหลอกล่อคู่แข่งได้ ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นนักเตะจอมแอสซิสต์ให้ทีม เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลสมัยใหม่ที่ยอดเยี่ยม , เข้าใจเกมแท็กติกการเล่น และเล่นได้ตามแผนของตัวกุนซือ หากจะเทียบแล้วเขาก็เหมือนผู้นำของวงออเคสต้ราด้วย หรืออาจะเรียกว่าเขาเป็นมิดฟิลด์ที่มหัศจรรย์มาก เมื่อเขามาถึงที่เรอัล มาดริดเขาได้ฉายาว่า เอล ปาจาโร่ หรือเจ้านก หรือในห้องแต่งตัวเพื่อนๆชอบเรียกเขาว่า ลูกิต้า

ตำแหน่ง

โมดริชเป็นมิดฟิลด์สมัยใหม่ที่จ่ายบอลได้คมกริบ และเขาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกมาตั้งแต่ที่อยู่กับดินาโม ซาเกร็บ และช่วงต้นของอาชีพที่สเปอร์ เมื่อฤดูกาล 2010/11 เขาได้รับบทให้มาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง (เล่นต่ำลงมา) แต่ว่าเขาก็มักจะขึ้นไปข้างหน้าจังหวะเคาน์เตอร์แอทแทค หรือจ่ายบอลสวยๆให้เพื่อนหลายครั้ง นับตั้งแต่นั้นมาแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ก็ให้เขาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางมาตลอด ทักษะของเขาก็คือ “การอ่านเกมได้ดี” และ ”การสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนในเกมรุก” เขาเป็นนักเตะที่วิ่งเยอะที่สุดในทีม และบางครั้งก็ถอยลงมาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ,เพลย์เมกเกอร์ หรือการไปกับบอลก็ได้ เล่นจังหวะเคาน์เตอร์แอทแท็คก็ได้ ซึ่งเขาสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งของมิดฟิลด์ จากการกล่าวของโจนาธาน วิลสัน ในระบบ 4-2-3-1 โมดริชสามารถเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์โฮลด์บอล (ทั้งด้านซ้าย-กลาง-ขวา) เขาจะทำลายเกมฝั่งคู่แข่งและจ่ายบอลให้เพื่อนยิงประตู เรียกว่าบางครั้งเขาเป็นผู้ปิดทองหลังพระที่ไม่มีใครรู้ การย้ายลงมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับมากขึ้น ทำให้จำนวนการแอสซิสต์หรือการยิงประตูของเขาลดลง โดยเฉลี่ยการยิงประตูต่อเกมที่ 1.2 ครั้งเท่านั้น นอกจากนี้เขาจ่ายบอลแบบชี้เป็นชี้ตายมากที่สุดลำดับที่สองในทีม (ที่เฉลี่ย 2.06 ครั้ง), เขาจ่ายบอลอย่างแม่นยำเข้าเป้า 87 เปอร์เซ็นต์ , จ่ายบอลสูงสุดที่ 62.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับทีม และจ่ายบอลยาว 5.6 ครั้งต่อเกม ,เขาจ่ายบอลสำเร็จที่ 2.2 ครั้ง แย่งบอล 2.5 ครั้ง แท็คเกิล 1.9 ครั้งต่อเกม สถิติของเขาเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมของมิดฟิลด์ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011/12 สถิติบ่งบอกว่าเขาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในฟุตบอลห้าลีกหลักของยุโรปเคียงข้าง ชาบี้ อลอนโซ่, อันเดรีย ปิร์โล่, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และชาบี้ ระหว่างที่เขาอยู่ที่มาดริด เขาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์หมายเลข 6 (มิดฟิลด์ตัวรับ), หมายเลข 8 (มิดฟิลด์ตัวกลาง) และหมายเลข 10 (ตัวรุก ) ขึ้นอยู่กับแท็กติกของโค้ช ซึ่งเขายังได้ลงสนามในตำแหน่งมิดฟิลด์ตรงกลางเล่นได้ตั้งแต่กลางรับยันกลางรุก เขาเล่นตำแหน่งเดียวกับชาบี้ อลอนโซ่ก็ได้ ฤดูกาลแรกของเขาเมื่อปี 2013/14 เขาเล่นได้ดีด้วยตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ร่วมกับชาบี้ อลอนโซ่และอังเกล ดิมาเรีย โมดริชยังสกัดบอลได้มากที่สุด โดยเขามีค่าเฉลี่ยการสกัดบอลที่ 2.86 ครั้งต่อนัด ผ่านบอลในแดนคู่แข่งที่ 878 ครั้ง และผ่านบอลแม่นยำได้สูงที่สุดที่ 90 เปอร์เซ็นต์ และเขาแอสซิสต์บอลให้เพื่อนร่วมทีมได้มากที่สุด
ฤดูกาล 2014/15 การมาถึงของโทนี่ โครส ทำให้มาดริดเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โมดริชเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์เพลย์เมกเกอร์ ทำให้เขาจ่ายบอลมากกว่ามิดฟิลด์ทุกรายของทีม ที่ 60.7-64.7 ครั้ง และจ่ายบอลแอสซิสต์ (คิลเลอร์พาส) ที่ 0.8-1.2 ครั้งต่อเกม ทั้งโทนี่ โครสและลูก้า โมดริชเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกเหมือนกัน และเขาเหมาะกับการเล่นบอลสไตล์เคาน์เตอร์แอทแท็คเป็นอย่างมาก มีสถิติการผ่านบอลเฉลี่ย 91.6-92 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนัดที่เขาเล่นได้โดดเด่นที่สุดคือเกมที่พบบาร์เซโลน่าซึ่งจ่ายบอลสำเร็จ 42 ครั้ง ปี 2014 เขาเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งสำเร็จที่ 76 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นนักเตะอันดับสองของฟุตบอลลีกหลัก (5ลีกของยุโรป)

คำชม

โมดริช

โมดิริชเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียง โดยเขาเป็นมิดฟิลด์ที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้ จากการกล่าวของโจนาธาน วิลสัน ซึ่งเปรียบว่าโมดริชเป็นนักเตะหมายเลข 10 ที่คล้ายฮวน โรมัน ริเกลเม่ ที่เพิ่มทักษะด้านการเล่นเกมรับ คุณภาพของโมดริชยังได้รับคำชมจากวาเลรี่ ลาบานอฟสกี้และอาร์ริโก้ ซาคคี่ในการเป็นนักฟุตบอลสมัยใหม่ที่ดีด้วย ทักษะการเล่นฟุตบอลของโมดริช เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของดราแกน สตอยโควิช(พลิกซี่) ซึ่งกล่าวว่าผมได้เห็นนักเตะหนุ่มผมสีบลอนด์ ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแสดงให้เห็นว่าการเล่นฟุตบอลของเขามีคลาสเพียงใด พลิกซี่กล่าวว่าเขาจัดอยู่ในระดับเดียวกับ ชาบี้หรือ อันเดรส อีเนียสต้าเลยนะ หรือการเล่นบทบาทเพลย์เมกเกอร์ที่วิ่งไปรอบสนามเขาก็เทียบได้กับโยฮัน ครัฟฟ์ด้วย จากการให้สัมภาษณ์ของ กับบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับเขาเทียบได้กับพอล สโคลส์ของแมนยูกล่าวว่ากับ แมนเชสเตอร์ อิฟนิ่ง นิวส์ ปี 2011 กล่าวว่า “ผมชื่นชมนักเตะอยู่สามคนเท่านั้นคือ ซาเมียร์ นาสรี่, เวสลี่ย์ สไนเดอร์และลูก้า โมดริช ที่สามคนนี้ผมเห็นทีไรก็ชอบการเล่นของเขาทุกครั้ง ผมติดตามเขาตั้งแต่เล่นที่สเปอร์แล้ว” ปี 2014 ซีดานกล่าวว่าโมดริชเป็นนักเตะสิบเอ็ดตัวจริงในทีมของเขาแน่นอน โดยต่อมาโมดริชได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ เมื่อเดือนมกราคม 2016 ด้วย, ปี 2018 อังเดร เชฟเชนโก้กล่าวว่าโมดริชเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดที่เขาเคยเล่นด้วย, ปี 2018 โรเบิร์ต โปรซิเนชกี้กับ อิวาน ราคิติชต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ลูก้า โมดริชเป็นนักเตะโครเอเชียที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์, ดาวอร์ ซูเคอร์กล่าวว่าโมดริชเป็นนักเตะโครเอเชียที่เก่งที่สุดตลอดกาล, เปแดร็ก มิยาโตวิชกล่าวว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในคาบสมุทร บอลข่าน โชเซ่ มูรินโญ่กล่าวว่าเขาต้องการให้โมดริชอยู่กับ เรอัล มาดริด เพราะว่านักเตะมีความเข้าใจเกมสูง และเรื่องของแท็คติกเขาทำได้ดีมาก, ในปี 2012 คาร์โล อันเชล็อตติกล่าวชมเทคนิคของลูก้า โมดริชว่าเป็นนักเตะที่เทคนิคดีและเล่นได้อย่างคนเส้นคงวาในตำแหน่งมิดฟิลด์ “โมดริชเป็นนักเตะที่น่ายกย่องและตามความเห็นของผมเขาคือมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกในยุคปัจจุบัน ครั้งหนึ่งเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยกล่าวเปรียบเทียบโมดริชกับ พอล สโคลส์ว่าทั้งสองคนเป็นนักเตะที่ฉลาด มีไหวพริบดีเหมือนกัน และเรื่องการผ่านบอลที่ดี ,การคอนโทรลเกม, การเล่นแฟร์เพลย์ เราต้องการเซ็นสัญญาเขามาร่วมทีม สลาเวน บิลิชกุนซือโครเอเชียในช่วงนั้นกล่าวว่า เขาเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างให้ทีมได้ เขาไม่เห็นแก่ตัว และเล่นได้ดีกับทีมมาก เล่นเกมรับก็ได้ เกมรุกก็เด่น เขาเล่นบอลได้ดีทั้งสองเท้า ผู้จัดการทีมคนอื่นๆ ก็กล่าวยกย่องโมดริชทั้งเป็ป กวาร์ดิโอล่าและสเวน โกรัน อีริคส์สัน

ชีวิตส่วนตัว

โมดริชแต่งงานแล้วกับ วานย่า บอสนิช เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 โดยจัดพิธีแต่งงานแบบเงียบๆที่โครเอเชีย หลังจากสี่ปีทีได้ออกเดทกัน โดยมีลูกชาย อีวาโน่เกิดวันที่ 6 มิถุนายน 2010 และลูกสาว เอม่า เกิดวันที่ 25 เมษายน 2013 และลูกสาวคนที่สอง โซเฟียเกิดวันที่ 2 ตุลาคม 2017 นอกสนามฟุตบอลเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตติดดินมากๆ