เจาะลึกประวัติ สปอล ทัพขาว-น้ำเงินแห่งแดนมักกะโรนี

เจาะลึกประวัติ สปาล ทัพขาว-น้ำเงินแห่งแดนมักกะโรนี

เอส.พี.เอ.แอล. หรือที่รู้จักกันในนาม สปอล อันเป็นชื่อย่อที่มาจาก Società Polisportiva Ars et Labor คือสโมสรฟุตบอลที่มีถิ่นฐานอยู่ใน เมืองแฟร์ราร่า แคว้นเอมิเลีย-โรมันญ่า ประเทศอิตาลี ทีมเจ้าของฉายา เบียงคัซซูร์รี่ ที่มีความหมายว่า ขาว-น้ำเงิน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1907 และนับตั้งแต่ปี 1928 เป็นต้นมาพวกเขาลงเตะอยู่ในสนามเหย้า สตาดิโอ เปาโล มัซซ่า ที่ตั้งชื่อตาม เปาโล มัซซ่า ประธานสโมสรในระหว่างช่วงปี 1946 – 1977 โดยปัจจุบันรังเหย้าของทีมสามารถรองรับผู้ชมได้ 16,134 ที่นั่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สปอล เคยมีส่วนร่วมในการแข่งขันลีกสูงสุดของประเทศ 23 ซีซั่น, ดิวิชั่น 2 25 ซีซั่น, ดิวิชั่น 3 41 ซีซั่น, ดิวิชั่น 4 7 ซีซั่น และ ดิวิชั่น 5 อีก 1 ซีซั่น โดยอันดับที่ดีที่สุดของพวกเขาก็คือการได้ที่ 5 ใน เซเรีย อา ฤดูกาล 1959-60 และการผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย 1962

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

1907 – จากจุดเริ่มต้นโดยคณะนักบวชซาเลเซียนที่นำโดย คุณพ่อปิเอโตร อแซร์บิส ได้ก่อตั้งกลุ่ม Circolo Ars et Labor ขึ้นในเดือนมีนาคมปีนั้น จากความตั้งใจแรกเริ่มในการร่วมกันทำกิจกรรมทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม
1913 – รูปแบบองค์กรเริ่มเปลี่ยนแปลงและมุ่งเน้นไปในทางด้านกีฬาอย่างเต็มตัว พร้อมกับชื่อใหม่ Società Polisportiva Ars et Labor (SPAL) ที่ขานรับกับวัตถุประสงค์มากขึ้น
1919 – สปอล เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (FIGC) และลงแข่งขันในระดับอาชีพเป็นครั้งแรกโดยเปิดตัวกับทัวร์นาเมนต์ระดับ ดิวิชั่น 2
1920 – พวกเขาขยับขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ
1921 – ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ พรีม่า ดิวิซิโอเน่ หรือลีกสูงสุดในเวลานั้น ก่อนจะอดเข้าชิงเนื่องจากพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ในเกมเพลย์ออฟหลังทำคะแนนได้เท่ากัน

spal 1921

1925 – แต่แล้วหลังจบฤดูกาล 1924-25 สปอล ก็ร่วงตกชั้นลงสู่ ดิวิชั่น 2
1929 – จากการปรับโครงสร้างลีกภายในประเทศทำให้จู่ๆทีมก็อยู่ในสถานะที่ต้องลงเตะในระดับ ดิวิชั่น 3
1933 – หลังใช้ความพยายามอยู่นานหลายปี ในที่สุด เบียงคัซซูร์รี่ ก็สามารถเลื่อนชั้นกลับคืนสู่ ดิวิชั่น 2 ภายใต้ชื่อ เซเรีย บี
1936 – แต่พอหลังจบฤดูกาล 1935-36 พวกเขาก็ร่วงลงสู่ ดิวิชั่น 3 หรือ เซเรีย ซี ดังเดิม เมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมเพลย์ออฟเพื่อเอาตัวรอด
1938 – มาริโอ โรมานี่ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมตัดสินใจแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 1937-38 ที่เขาสร้างผลงานสั่งลาไว้ด้วย 12 ประตูจากการลงสนาม 20 นัดพร้อมพา สปอล เลื่อนชั้นกลับสู่ เซเรีย บี โดยตลอดชีวิตค้าแข้งที่อยู่กับสโมสร 2 ทั้งช่วงเขายิงประตูให้ทีมไปทั้งหมด 130 ประตูจาก 189 เกม
1939 – แต่หลังจากขยับขึ้นมาได้เพียงแค่ปีเดียว ทีมก็ร่วงตกชั้นลงไปอีกและมีการเปลี่ยนชื่อสโมสรชั่วคราวไปเป็น A.C. Ferrara โดยหันไปใช้ชุดแข่งสีขาว-ดำซึ่งเป็นสีประจำเมือง
1945 – หลังเกมลีกที่หยุดไปชั่วคราวเนื่องจากภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในปีนั้นทีมได้หันกลับมาใช้ชื่อ สปอล (SPAL) และสวมชุดแข่งสีขาว-น้ำเงินดังเดิม พร้อมได้รับโอกาสให้ขยับขึ้นมาเตะอยู่ใน เซเรีย บี โดยอัตโนมัติ
1946 – เปาโล มัซซ่า ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร
1951 – ในที่สุดทีมก็สามารถคว้าแชมป์ เซเรีย บี พร้อมทะยานขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
1954 – แม้ทีมจะจบฤดูกาล 1953-54 ในพื้นที่สีแดง แต่จากเกมเพลย์ออฟที่ต้องลงฟาดแข้งตัดสินชะตากรรมร่วมกับ อูดิเนเซ่ และ ปาแลร์โม่ ผลลัพธ์คือทีมหลังสุดเป็นฝ่ายที่ต้องร่วงลงไปสู่ เซเรีย บี แต่เพียงผู้เดียว
1955 – เป็นอีกครั้งที่ เบียงคัซซูร์รี่ ยังคงดวงแข็ง เพราะแม้พวกเขาจะจบฤดูกาล 1954-55 ด้วยอันดับที่อยู่เหนือ โปร ปาเทรีย ทีมบ๊วยเท่านั้น แต่เนื่องจาก อูดิเนเซ่ และ คาตาเนีย ดันมีปัญหาพัวพันเกี่ยวกับการทุจริตทางบัญชีก็เลยถูกปรับตกชั้นไปแทนทั้งคู่
1960 – ผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเกิดขึ้นในฤดูกาล 1959-60 เมื่อสร้างบทสรุปด้วยการเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 5 ได้
1962 – สปอล สามารถทะลุเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย ก่อนจะพ่ายให้กับ นาโปลี ไปแบบฉิวเฉียด 2-1
1963 – แม้ภายในซีซั่น 1962-63 จะลงเอยด้วยการจบในอันดับที่ 8 แต่ระหว่างทางพวกเขาก็เคยมีโมเมนต์ที่ขึ้นไปรั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง ซึ่งต้องขอบคุณผลงานของนักเตะดาวรุ่งมากมายที่แจ้งเกิดขึ้นมาภายในช่วงเวลานั้น โดยหนึ่งในตัวท็อปจากผู้เล่นกลุ่มนั้นก็คือ ฟาบิโอ คาเปลโล่
1964 – แต่หลังจากยืนหยัดอยู่ใน เซเรีย อา ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี ในที่สุดพวกเขาก็ร่วงตกชั้นลงไปจนได้หลังจบฤดูกาล 1963-64 ด้วยการเป็นทีมรองบ๊วย

SPAL 1964

1965 – เบียงคัซซูร์รี่ ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถหวนคืนสู่ เซเรีย อา ได้อีกครั้ง เมื่อทำแต้มตามหลัง เบรสชา และ นาโปลี และพากันควงแขนกลับขึ้นมาพร้อมกัน
1968 – หลังจากกลับมาอยู่ในลีกสูงสุดได้นาน 3 ปี สุดท้ายแล้วทีมก็ร่วงลงสู่ เซเรีย บี พร้อมกับ เบรสชา และ มานโตว่า
1969 – เท่านั้นยังไม่พอ สปอล ยังหล่นลงไปยัง เซเรีย ซี อย่างต่อเนื่องภายในซีซั่นถัดมา
1973 – ต้องรอจนกระทั่งจบฤดูกาล 1972-73 พวกเขาถึงจะสามารถขยับขึ้นมาเล่นอยู่ใน เซเรีย บี
1976 – หลังอยู่ในตำแหน่งมายาวนานร่วม 30 ปี เปาโล มัซซ่า ก็ตัดสินใจก้าวลงจากบัลลังก์สูงสุด และเปิดโอกาสให้ พรีโม่ มัซซานติ เข้ามาบริหารทีมต่อ
1977 – แต่ทีมลงเตะอยู่ใน เซเรีย บี ได้ไม่กี่ปีก็ร่วงตกชั้นลงมาอีกครั้ง
1978 – และเหมือนคราวก่อนที่ใช้เวลาเพียงแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น ก็สามารถกลับคืนสู่ เซเรีย บี ได้สำเร็จ
1982 – ภายหลังการเสียชีวิตของ เปาโล มัซซ่า อดีตประธานสโมสรอันเป็นที่รักเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีนั้น สตาดิโอ คอมมูนาเล่ ที่เป็นชื่อดั้งเดิมของสนามเหย้าก็ถูกเปลี่ยนไปเป็น สตาดิโอ เปาโล มัซซ่า เพื่อเป็นเกียรติให้กับเขา พร้อมๆกับที่ทีมร่วงตกชั้นลงสู่ เซเรีย ซี 1 หลังจบฤดูกาล 1981-82
1989 – ผลงานของทีมสาละวันเตี้ยลงก่อนจะร่วงลงสู่ ดิวิชั่น 4 หรือ เซเรีย ซี 2 ในเวลานั้น
1991 – หลังดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ 2 ปีทีมก็ไต่กลับขึ้นมายัง เซเรีย ซี 1 ได้ในท้ายที่สุด
1992 – เบียงคัซซูร์รี่ เข้าป้ายเป็นที่ 1 ของกลุ่มและคว้าสิทธิ์กลับคืนสู่ เซเรีย บี ได้สำเร็จ
1993 – แต่กลับขึ้นมาได้เพียงซีซั่นเดียว พวกเขาก็จมอยู่ในพื้นที่สีแดงและตกชั้นลงไปตามความคาดหมาย
1994 – ทีมมีสิทธิ์ลุ้นจะกลับคืนมาได้ในทันที เมื่อได้ลงเตะเกมเพลย์ออฟนัดชิงดำกับ โคโม่ แต่ก็พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย 2-1
1997 – จากที่ซีซั่นก่อนหน้านี้ทีมมีลุ้นที่จะได้เลื่อนชั้นหลังมีโอกาสลงเตะในเกมเพลย์ออฟ แต่ไปๆมาๆพอหลังจบฤดูกาล 1996-97 พวกเขากลับหล่นลงไปยัง เซเรีย ซี 2 แทนซะงั้น
1998 – แต่ทีมก็สามารถกลับคืนสู่ เซเรีย ซี 1 ได้ภายในซีซั่นถัดมา
2005 – หลังอยู่ในสถานะทีมที่คอยขึ้นๆลงๆระหว่าง ดิวิชั่น 2 ถึง 4 ของประเทศมายาวนานหลายสิบปี ในที่สุด สปอล ก็เข้าสู่สภาวะล้มละลาย ก่อนจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในนาม SPAL 1907 S.r.l. ภายใต้กฎหมายควบคุมข้อที่ 52 ของ N.O.I.F.
2012 – หลังประคับประคองตัวมาได้พักใหญ่ๆ จนกระทั่งช่วงหน้าร้อนปีนั้นทีมก็เข้าสู่สภาวะล้มละลายเป็นรอบที่ 2 โดยในคราวนี้พวกเขาพยายามฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อ Società Sportiva Dilettantistica Real SPAL และเริ่มต้นลงเตะอยู่ใน เซเรีย ดี

สปอล

2013 – ในช่วงซัมเมอร์ปีนั้นทีมที่พึ่งผ่านการเกิดใหม่มา 2 รอบวางแผนที่จะควบรวมกับ จาโคเมนเซ่ สโมสรเล็กๆภายในท้องถิ่นที่เปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1967 โดยที่ฝ่ายหลังยินยอมที่จะมอบสิทธิ์ให้อีกฝ่ายใช้ชื่อสโมสรกีฬาได้อย่างเต็มตัว จนกระทั่งหลังการรวมตัวเสร็จสิ้นลง S.P.A.L. 2013 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อดำเนินรอยตามประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของ สปอล
2014 – หลังจบฤดูกาล 2013-14 ทีมสามารถคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ เซเรีย ซี ที่คืนสถานะกลับมาเป็น ดิวิชั่น 3 ของประเทศอีกครั้ง
2016 – เบียงคัซซูร์รี่ สามารถเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม B และได้ขยับขึ้นไปสู่ เซเรีย บี เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี
2017 – ทีมยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างคงเส้นคงวา ก่อนจะเก็บแต้มได้เหนือ เวโรน่า 4 คะแนนและคว้าแชมป์ เซเรีย บี ไปครองได้อย่างน่าประทับใจ
2018 – สปอล สามารถเอาตัวรอดได้แบบฉิวเฉียดในการหวนกลับคืนสู่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในรอบเกือบครึ่งทศวรรษ เมื่อจบฤดูกาล 2017-18 ด้วยอันดับที่ 17