ขุดเจาะประวัติ อาร์ซีดี เอสปันญ่อล [RCD Espanyol]

ขุดเจาะประวัติ อาร์ซีดี เอสปันญ่อ

เรอัล คลับ เดปอร์ติโว่ เอสปันญ่อล เดอ บาร์เซโลน่า นี่คือชื่อเต็มของสโมสรอาร์ซีดี เอสปันญ่อลซึ่งเป็นสโมสรที่ได้รับการลงเล่นอย่างเป็นทางการลาลีกาของสเปน โดยถิ่นฐานของสโมสรอยู่ที่เมืองคอร์เนล่า เดอโลเบรกาส ประเทศสเปน โดยสโมสรถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1900 ในขณะนี้สโมสรได้เล่นอยู่ในลีกลาลีกา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการแข่งขันฟุตบอลของสเปน โดยมีสนามอยู่ที่ อาร์ซีดีอี สเตเดียม ซึ่งสามารถจุผู้คนได้มากถึง 40,500 คน เอสปันญ่อลได้แชมป์โคปาเดอเร 4 สมัย โดยครั้งหลังสุดเมื่อปี 2006 สโมสรได้เข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่าคัพรอบชิงชนะเลิศและในปี 1988 และ 2007 เอสปันญ่อลได้เอาชนะบาร์เซโลน่าในศึกบาร์เซโลน่า ดาร์บี้

การก่อตั้งสโมสรและวัฒนธรรมของทีม

เอสปันญ่อลถือเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย ก่อนที่จะคงอยู่ในศึกลาลีกาได้อย่างสง่าผ่าเผยดังเช่นทุกวันนี้

สโมสรเอสปันญ่อลถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1900 โดย เองเจล โรดริเกซ ลุยซ์ ซึ่งเป็นนักเรียนวิศวกรอยู่ที่มหาวิทยาลัยของบาร์เซโลน่า ซึ่งเดิมนั้นสนามเหย้าของทีมอยู่ที่แค้วนซาร์เรีย และถูกรู้จักอีกชื่อหนึ่งในนามชื่อว่า โซเซียดาด เอสปาโนล่า เดอ ฟุตบอล ใน 1 ปีหลังจากนั้นเข้าสโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น คลับ เอสปันญ่อล เดอ ฟุตบอล เอสปันญ่อลเป็นสโมสรแรกในสเปนที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยแฟนบอลชาวสเปนเองและสามารถเข้าไปสู่การแข่งขันระดับอาชีพได้

ทางสโมสรได้ใส่เสื้อสีเหลืองสดใส

โดยในเดิมทีนั้น ทางสโมสรได้ใส่เสื้อสีเหลืองสดใส ส่วนกางเกงนั้นได้ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการเลือกใส่ ซึ่งการใส่เสื้อสีเหลืองนั้นเกิดมาจากกลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่ใช้วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานซึ่งเป็นสีเหลืองเป็นหลัก จนเมื่อปี 1910 ทางสโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น คลับ เดปอร์ติโว่ เอสปันญ่อล ซึ่งใช้สัญลักษณ์สีฟ้าตัดกับสีขาว ส่วนตรงกลางนั้นปล่อยให้เป็นที่ของตราสโมสร ซึ่งที่มาของสีฟ้าและสีขาวนั้นถูกเลือกมาจากโล่ของนายพลที่ยิ่งใหญ่ในเขตซิซิเลียน อราโกเนส ที่มีชื่อว่า โรเจอร์ เดอ ลูเรีย ผู้ซึ่งล่องเรือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อปกป้องชนชั้นสูงของอาราก้อนในช่วงยุคกลาง สโมสรได้มีผลงานที่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก โดยได้แชมป์ของเขตคาตาลุนญ่าในปี 1903 ก่อนที่จะได้แชมป์โกปาเดลเรย์ในเวลาต่อมา

การพัฒนาชื่อของสโมสร

ในปี 1906 สโมสรมีปัญหาเรื่องสภาพเศรษฐกิจของสโมสร ซึ่งทำให้นักเตะส่วนใหญ่ได้ย้ายไปยังสโมสร เอ็กซ์ สปอร์ติ้งคลับ ซึ่งสโมสรนี้ได้แชมป์ในการแข่งขันในเขตคาตาลุนญ่าในระหว่างปี 1906 ถึง 1908 และในปี 1909 สโมสรได้มีการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชื่อโดยใช้ชื่อเต็มว่าคลับ เดปอร์ติโว่ เอสปันญ่อลและในปี 1910 พวกเขาได้เปลี่ยนสีของทีมและเป็นสีที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ เอสปันญ่อลเป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมของสโมสรฟุตบอลสเปนที่ได้รับการรับรองจากเหล่าราชวงศ์ของสเปนและมีสิทธิ์ ที่สามารถใช้คำว่า เรอัล นำหน้าทีม และนำหน้าสโมสร ที่ใช้คำว่ารอยัล คราวน์ ในตราสัญลักษณ์ของพวกเขา ซึ่งสิทธิ์ในการใช้นี้ได้รับการรับรองในปี 1912 จากอัลฟอนโซที่ 3 ซึ่งชื่อของสโมสรทั้งหมดนั้นถูกรู้จักกันในนามเรอัล คลับ เดปอร์ติโว่ เอสปันญ่อล

หลังจากได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและมีการจัดตั้งสาธารณรัฐสเปนที่ 2 ขึ้นมาได้มีการงดเว้นการใช้สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเชื่อมโยงต่อราชวงศ์สเปน ทางสโมสรและได้มีการปรับเปลี่ยนโดยใช้ชื่อให้เหมาะกับความเป็นชาวคาตาลัน ทำให้ชื่อนั้นถูกเปลี่ยนเป็น คลับ เอสปอร์ติโว่ เอสปันญ่อล ซึ่งเป็นชื่อที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามกลางเมืองของสเปน โดยสโมสรได้ตั้งชื่อในเดือนกุมภาพันธ์ 1995 โดยคำที่เรียกว่าเดปอร์ติโว ถูกนำมาใช้แล้วมันอยู่ในชื่อเต็มของทางสโมสรที่ถูกย่อว่า rcd และในปี 1994 เอสปันญ่อลได้สร้างทีมสำรองนั่นก็คือเอสปันญ่อล B ซึ่งเล่นอยู่ในเซกุนด้าดิวิชั่นบี

ยูฟ่าคัพ ปี 2006-2007

เอสปันญ่อลได้แชมป์โคปา เดลเรย์ ในฤดูกาลก่อน

หลังจากที่เอสปันญ่อลได้แชมป์โคปา เดลเรย์ ในฤดูกาลก่อน ทำให้พวกเขาสามารถเข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่าคัพ โดยเอาชนะทีมจากสโลวาเกียอย่าง อาร์ทมิเดีย บราติสลาฟวา และพวกเขาอยู่ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม f ร่วมกับอาแจ็ค สปาร์ตัก ปราก และออสเตรีย เวียนนา เอสปันญ่อลได้แชมป์ของกลุ่มจากผลการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมหรือเอาชนะทั้ง 4 ทีมได้ทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เอสปันญ่อลเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศที่กลาสโกลว์

แต่อย่างไรก็ดี เอสปันญ่อลได้เข้าเอาชนะต่อเบนฟิก้า ซึ่งเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพถึง 2 สมัย ซึ่งเป็นผลการแข่งขันที่น่าเหลือเชื่อ เนื่องจากพวกเขานำไปก่อนถึง 3 ประตูต่อ 0 ในสเปน อย่างไรก็ดีเบนฟิก้าสามารถกลับมาทำ 2 ประตู ซึ่งทำให้เบนฟิก้าได้แต้มนอกบ้าน เมื่อนัดที่ 2 เกิดขึ้นเอสปันญ่อลต้องไปเยือนเบนฟิก้าที่ลิสบอนผลการแข่งขันเสมอกันไป 0 ประตูต่อ 0 ทำให้เอสปันญ่อลสามารถผ่านเข้าสู่ระดับไปได้ซึ่งเป็นรอบ 4 ทีมสุดท้าย
ในการแข่งขันรอบ 4 ทีมสุดท้าย เอสปันญ่อลต้องไปเจอกับทีมยักษ์ใหญ่แดนเยอรมันอย่างแวร์เดอร์ เบรเมน เอสปันญ่อลทำผลงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อในการแข่งขันในบ้านของพวกเขา โดยพวกเขาเอาชนะไปได้ถึง 3 ประตูต่อ 0 ก่อนที่นัดที่ 2 นั้นจะไปเล่นที่เยอรมันซึ่งทีมได้แพ้ต่อเบรเมนไป 2 ประตูต่อ 1 แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เบรเมนเอาชนะไปได้ เอสปันญ่อลสามารถเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ

แต่ในนัดชิงชนะเลิศนั้นเอสปันญ่อลได้ไปแพ้ต่อเซบีย่า โดยในเวลา ทั้งสองทีมเสมอกันไป 2 ประตูต่อ 2 และเมื่อเกิดการยิงจุดโทษเซบีย่าสามารถเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 1 ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกในศึกยูฟ่าคัพที่ไม่เคยแพ้ใครตลอดทั้งทัวร์นาเม้นต์ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์การแข่งขันของสโมสรที่ทีมสามารถทำผลงานได้ดีขนาดนี้แล้วไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ และทำให้เตะอย่างวอลเตอร์ พาลเดียนี่ ออกจากสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ซึ่งเขาเป็นคนที่ทำประตูมากที่สุดในการแข่งขันยูฟ่าคัพในฤดูกาลนั้น

ส่วนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2007 ราอูล ทามูโด การเป็นนักเตะของเอสปันญ่อลที่ทําประตูมากที่สุด ซึ่งทำประตูไปมากถึง 111 ประตู ซึ่งหนึ่งในประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา นั้นเกิดขึ้นในนาทีที่ 90 เมื่อเอสปันญ่อลต้องเจอกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่าในปี 2006-2007 ประตูนั้นทำให้ทีมเสมอกันไป 2 ประตูต่อ 2 ซึ่งจากผลการแข่งขันทำให้บาร์เซโลน่า กลายเป็นรองแชมป์ลาลีกา เนื่องจากเรอัล มาดริดมีแต้มเท่ากับบาร์เซโลน่าแต่มีผลการแข่งขันเฮดทูเฮดที่ดีกว่า

ในวันที่ 31 เมษายน 2009 เอสปันญ่อลได้เล่นนัดสุดท้ายที่สนามเก่าของพวกเขาอย่าง เอสตาดิโอ โอลิมปิโก เดอ มอนเตอร์ยุค ซึ่งแพ้ต่อมาลาก้าไปได้ 3 ประตูต่อ 0 เอสปันญ่อลได้เล่นที่สนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยม ออฟ มอนเตอร์ยุค หลังจากที่ย้ายสนามไปอยู่ที่ซาเรีย ซึ่งจากการย้ายสนามทำให้ผู้ที่เป็นตำนานของสโมสรอย่าง ราอูล ทามูโด ได้กลายเป็นนักเตะที่มีความสำคัญของทีมและเป็นตำนานทีมเนื่องจากเขาได้เล่นเกมเหย้าทั้ง 3 สนามที่แตกต่างกัน

ในปัจจุบัน

หลังจาก 12 ปีที่เอสปันญ่อลได้ใช้สนาม เอสตาดิโอ โอลิมปิโก เดอ มอนเตอร์ยุคย์ เอสปันญ่อลได้ย้ายสนามไปยังสนามเอสตาดีกูร์ เนยาเอลปรัต ซึ่งสนามใหม่ถูกใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2009 นัดระหว่างเอสปันญ่อลเจอกับลิเวอร์พูลโดยสุดท้ายแล้วเอสปันญ่อลเอาชนะทีมหงส์แดงไปได้ 3 ประตูต่อ 0 จากการทำประตูของหลุยส์ การ์เซีย ซึ่งทำประตูแรกให้กับทีมหงส์แดงก่อนที่จะตามมาด้วยการยิงประตูตามมาอีก 2 ลูกของเบน ซาฮาร์

ในวันที่ 8 สิงหาคม 2009 กัปตันทีมเอสปันญ่อล อย่าง ดานิเอล ฆาร์เก้ ซึ่งตอนนั้นมีอายุ 26 ปีเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายที่บริเวณสวนหย่อมประเทศอิตาลีที่โคเวอร์เซียโน่ เป็นที่ที่ทางสโมสรให้นักเตะได้พักผ่อนก่อนที่จะมีเตะนัดต่อไปที่ประเทศอิตาลี และในนาทีที่ 21 ซึ่งเป็นเบอร์เสื้อของนักเตะคนนี้มีการยืนขึ้นตบมือเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาทั้งสนาม เหล่าแฟนบอลเอสปันญ่อลต่างก็อุทิศความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของทีมให้กับเขาพร้อมกับการตบมืออย่างเกรียงไกร

ในวันที่ 10 สิงหาคม 2009 ได้มีการจัดอันดับทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรปแห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งเอสปันญ่อลนั้นอยู่ในลำดับที่ 98 เนื่องจากผลงานที่สามารถเข้าไปสู่การแข่งขันยุโรปได้บ่อยๆและอดีตนักเตะของทีมอย่างเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ได้มาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงปี 2008-2009 ซึ่งเป็นการคุมทีมเพื่อป้องกันให้ทีมรอดจากการตกชั้นลงไปสู่ดิวิชั่น 2 และเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ เอสปันญ่อลสามารถเล่นอยู่ในลีกสูงสุดอย่างลาลีก้าได้ต่อไป ทางสโมสรมีนโยบายในการนำผู้เล่นระดับท้องถิ่นเข้ามาเล่นในสโมสรเพื่อให้มีเหล่านักเตะที่เกิดจากการปั้นของอเคเดมี่มากขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้การคุมทีมของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ แต่อย่างไรก็ดี หลังจาก 14 นัดในฤดูกาล 2012-13 ผู้บริหารของทีมเอสปันญ่อลก็มีมติในการปลดเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ออกจากการทำทีม และไม่กี่วันหลังจากนั้นทีมก็ได้มีผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งเป็นชาวเม็กซิกันอย่าง ฮาเวียร์ อกูเร่ เข้ามาควบคุมการคุมทีมของสโมสรเพื่อให้ทำผลงานให้ดี

ฮาเวียร์ อกูเร่ เข้ามาคุมทีมได้เพียงหนึ่งฤดูกาลและสามารถทำให้ทีมนั้นอยู่ในการแข่งขันดิวิชั่นหนึ่ง โดยที่ไม่ตกชั้นได้ และหลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงของทีมอีกครั้ง โดยสโมสรตัดสินใจที่จะจ้างเซอร์จิโอ กอนซาเลซเข้ามาคุมทีมในตำแหน่งผู้จัดการทีม ในช่วงฤดูร้อนปี 2014 และในปีแรกของเขานี่เอง เขาทำให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายในบอลถ้วย ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ เขาสามารถทำผลงานได้ดีและทำให้ทีมอยู่รอดโดยไม่ตกชั้นได้ แต่เมื่อเดือนธันวาคมปี 2015 ทางบริหารของสโมสรตัดสินใจที่จะไล่ผู้จัดการทีมคนนี้ออก เนื่องจากผลการแข่งขันในช่วงหลังที่ย่ำแย่และทีมได้แต่งตั้งคอนสแตนติน กัลกา ผู้จัดการทีมซึ่งเคยเป็นอดีตกัปตันทีมของเอสปันญ่อลมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

และในขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในของทีม โดยประธานของสโมสรอย่าง โจเอน คอลเลท และบอร์ดบริหารของสโมสรได้ลาออกเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2016 และทำให้เชน เยนเช็ง นักธุรกิจชาวจีนเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร เมื่อกลุ่มทุนเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร และมีหุ้นส่วนในสโมสรเกินกว่า 50% ซึ่งสามารถทำให้เขามีสิทธิ์ในการควบคุมทีมอย่างเต็มรูปแบบได้ โดยการเซ็นสัญญานั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2016 ซึ่งหน้าที่ของประธานและบอร์ดบริหารแห่งใหม่นั้นก็คือการไล่ใช้หนี้ที่เกิดขึ้นในฤดูกาลก่อนๆ

คู่ปรับของทีม

ในช่วงแรกของศตวรรษที่ 20 สเปนอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการของ เมเกล พริโม่ เดอ วิเลร่า ซึ่งได้หมายมั่นปั้นมือให้ทีมบาร์เซโลน่านั้นเป็นสโมสรที่มีความเชื่อแบบค่านิยมในแนวทางของคาตาลัน ซึ่งต่างกับทีมเอสปันญ่อลที่ส่งเสริมการใช้อำนาจโดยผ่านศูนย์กลาง

ในปี 1918 หน่วยฝ่ายบริหารงานของคาตาลันได้ส่งยื่นเรื่องไปทางรัฐบาลสเปน ในการขออิสระในการปกครองแคว้นคาตาลันด้วยตัวเอง และทีมบาร์เซโลน่านั้นได้ร่วมสนับสนุนข้อเสนอที่จะแยกคาตาลันออกจากสเปน โดยผู้สื่อข่าวชาวคาตาลันได้ออกมาพูดว่า “สโมสรบาร์เซโลน่านั้นเป็นสโมสรที่เป็นตัวแทนของชาวคาตาโลเนีย” ซึ่งเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ ส่วนอาร์ซีดี เอสปันญ่อล ไม่ใช่หนึ่งในนั้น

และในปัจจุบันบาร์เซโลน่านั้น เป็นศูนย์กลางอำนาจของชาวคาตาโลเนียและประธานของสโมสรบาร์เซโลน่าคนล่าสุดได้เป็นหนึ่งในผู้ที่เคลื่อนไหวในการแยกตัวให้แค้นคาตาลันออกมาเป็นอิสระจากการปกครองของสเปน และบาร์เซโลน่านั้นกำลังพยายามอย่างต่อเนื่องในการแยกตัวมาจากลาลีกา แม้ว่าประธานสโมสรของอาร์ซีดี เอสปันญ่อล ก็มีความคิดที่จะแยกตัวออกมาจากสเปนเช่นกัน แต่ว่าเราแฟนบอลส่วนใหญ่นั้นก็สนับสนุนให้ทีมนั้นเล่นอยู่กับสเปนต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องมีแยกตัวไปเล่นในการแข่งขันลีกอื่น

มีการรายงานข่าวออกมาบอกว่าอาร์ซีดี เอสปันญ่อลนั้น ได้มีการบ่นและไม่พอใจในการให้ความสำคัญของนักข่าวหรือสื่อสารมวลชนในการให้ความสนใจกับทีมบาเซโลน่ามากเกินไป และไม่มาทำข่าวทีมของเขา โดยบาร์เซโลน่านั้นมีช่องทางในการแสดงออกในสำนักงานข่าวของแดนคาตาลันเอง นั่นก็คือ Tv3 แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางด้านอุดมการณ์ของทั้งสองทีมจะแตกต่างกัน แต่เมื่อบาร์เซโลน่าต้องเจอกับเอสปันญ่อลนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์มากกว่าการเคียดแค้นกันเนื่องจากความแค้นส่วนตัว

แม้ว่าจะเป็นการแข่งขันกันของทีมที่มีละแวกอยู่ใกล้กัน และเป็นทีมในประวัติศาสตร์ของลาลีกาทั้งสองทีม แต่ว่าผลงานกับไม่ใกล้เคียงกัน โดยที่บาร์เซโลน่าเอาชนะเอสปันญ่อลไปได้แทบทุกครั้งโดยเอสปันญ่อลเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้เพียง 3 ครั้งในรอบเกือบ 70 ปี และเคยเกิดดาร์บี้แมตในนัดชิงชนะเลิศในศึกโกปาเดลเรย์ แต่สุดท้ายแล้วบาร์เซโลน่าก็ชนะเอสปันญ่อลไปได้ในปี 1957 โดยสรุปแล้วนัดที่บาร์เซโลน่าชนะเยอะที่สุดนั่นก็คือการเอาชนะไปได้ถึง 6 ประตูต่อ 0

เอสปันญ่อลเคยเอาชนะต่อบาร์เซโลน่าไปได้ 2 ประตูต่อ 1 ในระหว่างฤดูกาล 2008-2009 และกลายมาเป็นทีมแรกที่เอาชนะบาร์เซโลน่าได้ที่คัมป์นู ในปีที่บาร์เซโลน่านั้นได้ 3 แชมป์

สนามของทีม

อาร์ ซีดี สเตเดี้ยม รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือสนาม เอสตาดีกูร์ เนยาเอลปรัต

อาร์ ซีดี สเตเดี้ยม รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือสนาม เอสตาดีกูร์ เนยาเอลปรัต เป็นสถานที่อยู่ในแถบบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ซึ่งใช้เวลาสร้างมากกว่า 3 ปี โดยสร้างเสร็จแล้วใช้งบประมาณไปมากถึง 60 ล้านยูโร โดยสร้างเสร็จพร้อมใช้ในฤดูร้อนปี 2009 และได้รับรางวัลการเป็นสนามที่ดีที่สุดวันที่ 18 มิถุนายนปี 2010 ที่กรุงดับลินประเทศไอร์แลนด์ สนามแห่งนี้จุคนได้มากถึง 40,500 คนซึ่งเป็นสนามใหม่ของสโมสรเอสปันญ่อล ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนสนามเดินอย่าง เอสตาดิโอ โอลิมปิโก เดอ มอนเตอร์ยุคย์

ลีคที่เล่น

เล่นใน ลีกลาลีกา 80 ฤดูกาล
เล่นในเซกุนด้า ดิวิชั่น 4 ฤดูกาล
เข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่า คัพ 7 ครั้ง
เข้าไปสู่การแข่งขันอินเตอร์ ซิตี้ แฟร์ คัพ 2 ครั้ง
เข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ 1 ครั้ง

ความประทับใจ

1.ในปี 1928 เอสปันญ่อลเป็นหนึ่งในกลุ่มซึ่งก่อตั้งลาลีกาและในปี 1929 เอสปันญ่อลได้แชมป์แรกของทีมแล้วก็คือแชมป์โคปาเดอเร และเอสปันญ่อลเป็นทีมที่ทำแต้มมากที่สุดในลาลีกาซึ่งไม่ได้แชมป์ซึ่งเป็นสถิติจนถึงทุกวันนี้

2.ทางสโมสรได้เข้าไปสู่การแข่งขันยูฟ่าคัพ 7 สมัยรวมถึงในปี 2006-2007 เนื่องจากปี 2006 พวกเขาได้แชมป์สเปนิชคัพและสามารถเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในปี 1988 ก่อนที่จะไปแพ้ต่อเบเยอร์ เลเวอร์คูเซ่น ในการยิงลูกจุดโทษโดยแพ้ไป 3 ประตูต่อ 2 แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาชนะไปได้ 3 ประตูต่อ 0 ทำให้พวกเขาสามารถผ่านเข้ารอบไป ก่อนที่ทีมจะไปแพ้ในนัดชิงชนะเลิศต่อเซบีย่า

ความสำเร็จของสโมสร

โคปาเดอเรย์ 4 สมัย ปี 1929, 1940, 2000, 2006

เซกุนด้า ดิวิชั่น 1 สมัย ปี 1993–94

ชิงแชมป์คาตาลุนญ่า 11 สมัย ปี 1903–04, 1905–06, 1906–07, 1907–08, 1911–12, 1914–15, 1917–18, 1928–29, 1932–33, 1936–37, 1939–40

ซูเปอร์ โคปา เดอ คาตาลุนญ่า 1 สมัย ปี 1993–94