สโมสรฟุตบอลนอริชซิตี้ (Norwich City Football Club) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม นอริช ซิตี้ คือทีมฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองนอริช มณฑลนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันลงเตะอยู่ใน อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ หรือลีกลำดับที่ 2 ของวงการลูกหนังอังกฤษ หลังตกชั้นมาจาก พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2016 ทีมเจ้าของฉายา “เดอะ คานารี่ส์” (The Canaries) หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1902 และได้ย้ายเข้ามาปักหลักอยู่ในสนาม แคร์โรว์ โร้ด ตั้งแต่ปี 1935 ที่ล่าสุดสามารถรองรับผู้ชมได้ 27,244 ที่นั่ง พวกเขามีโอกาสลงเล่นในลีกสูงครั้งแรกเมื่อปี 1972 และเคยคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้ 2 สมัยในปี 1962 และ 1985 สถิติที่ดีที่สุดของทีมคือการคว้าอันดับที่ 3 ใน พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 1992-93
นอริช ลงเตะด้วยชุดแข่งสีเหลืองและเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ตามสมญานาม “เดอะ คานารี่ส์” อันมีที่มาจากการเพาะเลี้ยงนกชนิดนี้เป็นจำนวนมากภายในพื้นที่ โดยเชื่อกันว่ามีจุดเริ่มมาต้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 จากกลุ่มผู้อพยพชาวยุโรปที่มีชื่อเรียกกันในท้องถิ่นว่า “เดอะ สเตรนเจอร์ส” (The Strangers)
ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร
1902 – จากการรวมตัวกันของเหล่าสมาชิกผู้ให้กำเนิดที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในตัวเมืองนอริชเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Norwich City F.C. โดยประเดิมแมตช์แรกกับ Harwich & Parkeston F.C. เมื่อวันที่ 6 กันยายน ก่อนจะตัดสินใจลงแข่งขันในลีกระดับภูมิภาคภายในฤดูกาล 1902-03
1905 – แต่ด้วยข้อกำหนดบางอย่างจากทาง เอฟเอ ก็ทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ลงแข่งแม้แต่ในลีกสมัครเล่น จนทำให้พวกเขาเริ่มมองหาหนทางปรับเปลี่ยนตนเองให้เป็นสโมสรระดับอาชีพ
1906 – ทีมได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันใน เซาท์เทิร์น ลีก ที่เป็นลีกกึ่งอาชีพ พร้อมๆกับยอดของผู้ติดตามที่ค่อยๆมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
1908 – พวกเขาตัดสินใจย้ายออกจาก นิวมาร์เก็ต โร้ด บ้านหลังแรก เพื่อไปอยู่ที่ เดอะ เนสท์ บนพื้นที่ที่เคยเป็นเหมืองหินปูนร้าง และเริ่มกลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างภายใต้ฉายา เดอะ คานารี่ส์ หลังประธานสโมสรผู้เชี่ยวชาญในการเพาะเลิ้ยงนกชนิดนี้ตัดสินใจเปลี่ยนชุดแข่งเป็นสีเหลือง-เขียว
1917 – ทีมตกอยู่ในสภาพแพแตกระหว่างช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 จากปัญหาหนี้สินพะรุงพะรังจนต้องยอมยกเลิกกิจการเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ในช่วงปลายปีนั้น
1919 – สโมสรเปิดตัวขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จากแรงผลักดันที่นำโดย ชาร์ลส์ เฟเดอริก วัตลิ่ง ผู้ที่ก้าวขึ้นไปเป็นนายกเทศมนตรีเมืองนอริชในเวลาต่อมา และยังเป็นพ่อของ เจฟฟรี่ย์ วัตลิ่ง ผู้บริหารใหญ่ของทีมในอนาคต
1920 – นอริช เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกอย่างเป็นทางการโดยเปิดตัวใน ดิวิชั่น 3 ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกภายในซีซั่นนั้น โดยเกมฟาดแข้งอย่างเป็นทางการนัดแรกคือการเผชิญหน้ากับ พลีมัธ อาร์ไกล์ ที่จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม
1934 – ตลอดช่วงเวลาหลังจากนั้นพวกเขาทำผลงานป้วนเปี้ยนอยู่ระหว่างอันดับที่ 8 ถึง 18 จนกระทั่งมาประสบความสำเร็จในฤดูกาล 1933-34 ภายใต้การคุมทีมของ ทอม ปาร์คเกอร์ จากการสร้างสถิติเอาชนะคู่แข่งในบ้านได้มากที่สุดด้วยการบดขยี้ โคเวนทรี ซิตี้ 10-2 ก่อนจะคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 3 ทางตอนใต้และได้สิทธิ์ขยับขึ้นไปเล่นใน ดิวิชั่น 2 ซีซั่นหน้า
1935 – หลังประคองตัวเองจนจบฤดูกาลเปิดตัวใน ดิวิชั่น 2 ด้วยอันดับที่ 14 ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สโมสรและ เอฟเอ หันมาพิจารณาถึงความเหมาะสมเกี่ยวกับสภาพภายใน เดอะ เนสท์ ที่เริ่มไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้ชมที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โดยในทีแรกพวกเขาตั้งใจจะปรับปรุงสนามใหม่แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายเข้าสู่รัง แคร์โรว์ โร้ด โดยเปิดใช้ในแมตช์แรกอย่างเป็นทางการด้วยการพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่จบลงด้วยชัยชนะของเจ้าถิ่น 4-3 ในช่วงต้นฤดูกาล 1935-36
1938 – มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จมาเยี่ยมชมเกมที่รังเหย้าของพวกเขาในวันที่ 29 ตุลาคม 1938
1939 – แต่หลังจากทำดีที่สุดด้วยการได้อันดับที่ 11 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สุดท้ายพวกเขาก็ต้องร่วงตกชั้นลงไปจากการทำแต้มได้เท่ากับ น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ ทีมที่เอาตัวรอดได้แต่มีประตูได้เสียที่น้อยกว่า ซึ่งหลังจากลงไปตั้งต้นใหม่ใน ดิวิชั่น 3 และเริ่มออกสตาร์ทฤดูกาล 1939-40 ด้วยการชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 1 จาก 3 นัดแรก เกมลูกหนังภายในประเทศก็ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากการเปิดฉากขึ้นมาของ สงครามโลกครั้งที่ 2
1947 – ภายในซีซั่นแรกที่ฟุตบอลลีกกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง เดอะ คานารี่ส์ ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่จากการรั้งอยู่ในตำแหน่งรองบ๊วยหลังจบฤดูกาล 1946-47 จนทำให้พวกเขาต้องสมัครเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกอีกครั้งซึ่งก็ยังโชคดีที่ได้รับการรับรองให้ไปต่อ
1948 – พวกเขาต้องวนเวียนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเมื่อซีซั่นก่อน เมื่อร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่ 21 จนต้องขอการรับรองให้ยังได้ร่วมแข่งขันใน ดิวิชั่น 3 ต่อไป
1951 – แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีทีมก็สามารถพลิกสถานการณ์ขึ้นมา จากผลงานอันน่าประทับใจของ นอร์แมน โลว์ ที่ย้ายเข้ามาคุมทีมในช่วงปลายซีซั่นก่อน จนทำให้ทีมคว้าอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 1950-51 แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ดิวิชั่น 2
1955 – หลังจากทำได้แค่เฉียดและวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในกลุ่มหัวตารางจนกระทั่งร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 11 หลังจบฤดูกาล 1954-55 ก็ทำให้ ทอม ปาร์คเกอร์ อดีตกุนซือที่เคยพาพวกเขาเลื่อนชั้นถูกทาบทามให้กลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้ง
1957 – แต่แล้วผลงานของทีมกลับยิ่งดิ่งลงเหว เมื่อจบฤดูกาล 1956-57 ด้วยอันดับท้ายตารางจนต้องทำเรื่องขออนุมัติเพื่อลงแข่งขันต่อไปในซีซั่นหน้าอีกครั้ง
1959 – หลังเปลี่ยนผจก.ทีมผลงานของพวกเขาก็เริ่มกลับมาดีขึ้นจนรั้งอยู่ในอันดับที่ 4 ภายในซีซั่น 1958-59 นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ จากเส้นทางที่สามารถสยบได้ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก่อนจะพลาดโอกาสเข้าชิงด้วยการพ่ายให้กับ ลูตัน ทาวน์ 1-0 ในนัดรีเพลย์
1960 – ในที่สุด นอริช ก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ดิวิชั่น 2 ได้อีกครั้ง จากการคว้าอันดับที่ 2 โดยมีคะแนนตามหลัง เซาแธมป์ตัน ทีมแชมป์เพียงแค่ 2 แต้ม
1961 – กลับขึ้นมาคราวนี้พวกเขาสามารถโชว์ฟอร์มในซีซั่นเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจจากการจอดป้ายในอันดับที่ 4 หลังจบ 42 เกมในฤดูกาล 1960-61
1962 – แม้จะทำผลงานในลีกตกลงไปอย่างน่าใจหายจากการได้อันดับที่ 17 แต่ในที่สุดภายใต้การคุมทีมของ รอน แอชแมน ก็ช่วยให้ เดอะ คานารี่ส์ คว้าโทรฟี่ระดับเมเจอร์ใบแรกได้สำเร็จจากการเอาชนะ โรชเดล คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ด้วยสกอร์รวม 4-0 จากที่เวลานั้นยังคงใช้วิธีตัดสินในรายการนี้ด้วยการลงเตะกันแบบเหย้าเยือน
1965 – ถัดจากปีแรกที่ได้กลับมาลงเล่นใน ดิวิชั่น 2 ด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ก็มีฤดูกาล 1965-66 ที่พวกเขาทำผลงานได้ใกล้เคียงกับการเลื่อนชั้นมากที่สุดจากการจอดป้ายในอันดับที่ 6
1972 – หลังจากทำได้เพียงป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่กลางตารางตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุด รอน ซอนเดอร์ส ที่เข้ามาคุมทีมเป็นปีที่ 3 ก็สามารถพาทีมผงาดขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรก จากการคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 หลังเบียดเอาชนะ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้, มิลล์วอลล์ และ ควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส ที่ทำแต้มไล่หลังกันมาแบบหายใจรดต้นคอภายในฤดูกาล 1971-72
1973 – พวกเขาเปิดตัวใน ดิวิชั่น 1 ซีซั่นแรกด้วยการรอดพ้นจากการตกชั้นไปแบบหวุดหวิด โดยเก็บคะแนนได้มากกว่า คริสตัล พาเลซ ทีมที่ร่วงลงไป 2 แต้ม อย่างไรก็ตามทีมมีโอกาสก้าวเท้าลงสู่สนาม เวมบลีย์ เป็นครั้งแรกจากการผ่านเข้าไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ แต่ก็ต้องพ่ายให้กับ สเปอร์ส ไปแบบหวุดหวิด 1-0
1974 – หลังการออกสตาร์ทฤดูกาล 1973-74 ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ ก็ทำให้ ซอนเดอร์ส ตัดสินใจลาออกไป โดยมี จอห์น บอนด์ เข้ามาทำหน้าที่แทน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นไปได้เมื่อจมลงไปอยู่ในอันดับบ๊วยหลังปิดฉากซีซั่นนั้น
1975 – อย่างไรก็ตาม บอนด์ ก็สามารถตอบแทนความไว้วางใจของฝ่ายบริหารที่ยอมให้เขาทำหน้าที่ต่อ ด้วยการพา นอริช กลับคืนสู่ ดิวิชั่น 1 ได้ในปีต่อมาจากการคว้าอันดับที่ 3 รองจาก แอสตัน วิลล่า และ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถเดินทางเข้าสู่ เวมบลีย์ เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปีจากการเผชิญหน้ากับ แอสตัน วิลล่า ในนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นฝ่ายอกหักซ้ำสองหลังจากพ่ายไปด้วยสกอร์ 1-0
1981 – หลังพาทีมเอาตัวรอดในลีกสูงสุดได้ยาวนานหลายปีด้วยผลงานที่ดีที่สุดในการคว้าอันดับที่ 10 จอห์น บอนด์ ก็ตัดสินใจแยกทางออกไปอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 1980 โดยที่ เคน บราวน์ ผู้ที่เข้ามาใหม่ก็ไม่สามารถพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นไปได้ หลังจากจบฤดูกาล 1980-81 ด้วยการมีแต้มน้อยกว่า ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ทีมที่ยังอยู่รอดปลอดภัยแบบฉิวเฉียด 2 คะแนน
1982 – แม้จะเริ่มต้นซีซั่นใหม่ด้วยการยอมปล่อยตัว จอห์น ฟาชานู หัวหอกตัวเก่งไปให้กับ ฟอเรสต์ ที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะผิวสีคนแรกของประเทศที่มีค่าตัวแตะ 1 ล้านปอนด์ แต่ บราวน์ ก็ยังสามารถพาลูกทีมที่เหลืองัดฟอร์มเก่งด้วยการทำคะแนนไล่หลัง วัตฟอร์ด และ ลูตัน ทาวน์ ทีมแชมป์ดิวิชั่น 2 จนพากันเกาะกลุ่มกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ
1985 – จนมาถึงฤดูกาล 1984-85 ที่แฟนบอลของ เดอะ คานารี่ส์ ต่างตกอยู่ใน 2 อารมณ์ที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว เมื่อทีมอุตส่าห์ผ่านเข้าสู่ เวมบลีย์ ด้วยการปราบ อิปสวิช ทาวน์ มาในรอบตัดเชือก ลีก คัพ และยังสามารถเฉือนเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 ได้ในนัดชิงจนกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ของพวกเขาในรายการนี้ อย่างไรก็ตาม 2 ทีมคู่แข่งในนัดชิง ลีก คัพ ต่างพากันกอดคอกันตกชั้นจาก ดิวิชั่น 1 ไปพร้อมๆกับ สโต๊ค ซิตี้ จนทำให้ นอริช กลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าโทรฟี่ระดับเมเจอร์ไปพร้อมๆกับการตกชั้น ก่อนที่ เบอร์มิ่งแฮม จะกลายเป็นทีมถัดไปที่มาซ้ำรอยจากการเป็นแชมป์ ลีก คัพ ในอีก 26 ปีให้หลัง
1986 – บราวน์ สามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ในซีซั่นถัดมา จากการคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 ได้เป็นหนที่สองของสโมสร โดยในซีซั่นนั้นพวกเขายังหมดสิทธิ์ลงเตะในเกมยุโรปจากการที่ทีมจากอังกฤษถูกแบนเนื่องจาก โศกนาฏกรรมเฮย์เซล
1989 – แม้ทีมจะสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการจอดป้ายในอันดับที่ 4 หลังจบฤดูกาล 1988-89 ซึ่งโดยปกติแล้วมันเพียงพอต่อการได้สิทธิ์ไปลงเตะในรายการ ยูฟ่า คัพ แต่โชคร้ายที่โทษแบนจาก ยูฟ่า ยังคงอยู่ ในขณะที่ทีมยังผ่านเข้าไปจนถึงรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ ก่อนจะพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน 1-0
1992 – ฟอร์มในลีกที่ย่ำแย่ภายในฤดูกาล 1991-92 ที่จบลงด้วยการรั้งอันดับที่ 18 และมีอยู่ 3 คะแนนเหนือทีมตกชั้น กลับสวนทางกับผลงานในบอลถ้วยเมื่อพวกเขาสามารถผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก่อนจะอดเข้าชิงด้วยน้ำมือของ ซันเดอร์แลนด์ และนอกจากนี้ก็ยังไปได้ไกลจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในถ้วย ลีก คัพ อีกด้วย
1993 – แต่แล้วภายในปีปฐมฤกษ์ของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1992-93 เดอะ คานารี่ส์ กลับสร้างผลงานในลีกได้ดีขึ้นผิดหูผิดตาจากการคว้าอันดับที่ 3 รองจาก แอสตัน วิลล่า และ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์ และกลายเป็นสถิติที่ดีที่สุดของพวกเขาจวบจนทุกวันนี้ พร้อมๆกับการปล่อยตัว มาร์ค โรบินส์ ดาวซัลโวประจำทีมไปให้กับ ปีศาจแดง หลังจบฤดูกาลนั้น
1994 – พวกเขาสร้างผลงานในเกมยุโรปซีซั่นแรกด้วยการไปได้ไกลถึงรอบ 3 ในรายการ ยูฟ่า คัพ ก่อนจะถูก อินเตอร์ มิลาน เขี่ยตกรอบ โดยในรอบก่อนหน้านั้นจากการคว้าชัยชนะนอกบ้านได้ 2-1 ก็ทำให้พวกเขาสร้างสถิติการเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่บุกไปสยบ บาเยิร์น มิวนิค ได้ถึงถิ่น โอลิมปิก สเตเดี้ยม ในขณะที่ ไมค์ วอล์คเกอร์ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผจก.ทีมในช่วงต้นเดือนธันวาคม 1993 เพื่อย้ายไปนั่งเก้าอี้แทน โฮเวิร์ด เคนดัลล์ ที่ เอฟเวอร์ตัน ก่อนที่ จอห์น ดีฮาน จะขยับเข้ามาเสียบแทนและพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 12
1995 – นอริช ออกสตาร์ทฤดูกาล 1994-95 ได้ค่อนข้างดีแม้จะพึ่งสูญเสีย คริส ซัตตัน ดาวยิงตัวเก่ง ที่ย้ายไปอยู่กับ แบล็กเบิร์น โรเวอรส์ ด้วยสถิติระดับประเทศ 5 ล้านปอนด์ แต่จากสถานการณ์ที่ดูไม่น่าเป็นห่างจากการรั้งอยู่ในอันดับที่ 7 ตอนช่วงวันคริสมาสต์ จู่ๆพวกเขากลับเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ครั้งเดียงจาก 20 เกมที่เหลือจนร่วงลงมาอยู่ในอันดับที่ 20 และปิดฉากการโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดได้ติดต่อกันนานถึง 9 ปีด้วยการตกชั้นลงไปแบบงงๆ
1996 – สโมสรประกาศแต่งตั้ง มาร์ติน โอนีล เข้ามารับตำแหน่งเทรนเนอร์ แต่เจ้าตัวก็อยู่กับทีมได้เพียงแค่ 6 เดือนก็ประกาศแยกทางไปหลังขัดแย้งกับ โรเบิร์ต เชส ประธานสโมสรเรื่องงบประมาณเสริมทัพ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เชส ก็ต้องก้าวลงจากตำแหน่งตามไปด้วยหลังถูกกลุ่มแฟนบอลประท้วงอย่างหนักด้วยข้อกล่าวหาที่มักจะทยอยปล่อยตัวผู้เล่นที่ดีที่สุดออกไปจนกลายเป็นสาเหตุที่ทีมต้องตกชั้น ก่อนที่ เจฟฟรีย์ วัตลิ่ง จะกว้านซื้อหุ้นส่วนใหญ่ต่อจาก เชส และกลายเป็นเจ้าของทีมแทน ในขณะที่ แกรี่ เม็กสัน กุนซือคนใหม่ก็ช่วยประคองทีมจนจอดป้ายในอันดับที่ 16
1997 – ไมเคิ่ล วีน-โจนส์ นักเขียนชาวเวลส์และภรรยา เดเลีย สมิธ เจ้ารายการทำอาการชื่อดังชาวอังกฤษ ตกลงซื้อหุ้นส่วนใหญ่ต่อจาก วัตลิ่ง ในขณะที่ ไมค์ วอล์คเกอร์ ก็ถูกทาบทามให้กลับมาคุมทีมอีกครั้งก่อนที่พวกเขาจะจบซีซั่น 1996-97 ด้วยอันดับที่ 13
2001 – หลังการหวนกลับมาที่ไม่ประสบความสำเร็จของ วอล์คเกอร์ ก่อนจะเปลี่ยนมือมาเป็น บรู๊ซ ริอ็อค และ ไบรอัน แฮมิลตัน แต่ทีมก็ยังคงวนเวียนไม่ไกลไปจากพื้นที่กลางตาราง จนกระทั่งสโมสรตัดสินใจดึงตัว ไนเจล เวิร์ทธิงตัน เข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนธันวาคม 2000 ที่เขาช่วยให้ทีมรอดพ้นจากสถานการณ์อันล่อแหลมต่อการตกชั้นก่อนจะจบฤดูกาล 2000-01 ได้อย่างปลอดภัยด้วยอันดับที่ 15
2002 – พวกเขากลับมามีลุ้นกับการเลื่อนชั้นในปีต่อมา เมื่อสามารถเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 6 แต่ก็ดันไปพ่ายให้กับ เบอร์มิ่งแฮม 4-2 ในเกมเพลย์ออฟรอบชิงชนะเลิศ
2004 – ในที่สุด เวิร์ทธิงตัน ก็สามารถพา เดอะ คานารี่ส์ กลับคืนสู่ พรีเมียร์ลีก ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1995 จากการคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ด้วยการทำแต้มทิ้งห่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมอันดับ 2 ถึง 8 คะแนน
2005 – ทีมออกสตาร์ทซีซั่นใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้งด้วยผลงานที่ย่ำแย่ จากการเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ครั้งเดียวจาก 15 นัดแรก และแม้จะพยายามเร่งเครื่องในช่วงเดือนเมษายนด้วยการสยบ แมนฯ ยูไนเต็ด ในถิ่น แคร์โรว์ โร้ด ไปแบบสุดเซอร์ไพรส์ 2-0 ที่ต่อด้วยการเก็บชัยชนะได้ 3 จาก 5 เกมต่อมา แต่หลังจากพลาดท่าบุกไปโดน ฟูแล่ม ถล่มยับเยิน 6-0 ในนัดส่งท้ายฤดูกาล 2004-05 ก็ทำให้ทีมร่วงตกชั้นลงไปจากการมีคะแนนน้อยกว่า เวสต์บรอมวิช ทีมที่เอาตัวรอดได้เพียงแค่แต้มเดียว
2009 – ภายหลังจากลงมาอยู่ใน ลีกแชมเปี้ยนชิพ แม้จะมีการสับเปลี่ยนกุนซือจาก เวิร์ทธิงตัน มาเป็น ปีเตอร์ แกรนท์, เกล็นน์ โรเดอร์ จนมาถึง ไบรอัน กันน์ แต่สุดท้ายหลังจากจบฤดูกาล 2008-09 สถานการณ์ของทีมก็เลวร้ายลงไปอีกด้วยการร่วงลงสู่ ลีก วัน
2010 – สโมสรประกาศแต่งตั้ง พอล แลมเบิร์ต เข้ามาเป็นผจก.ทีมคนใหม่ในช่วงต้นซีซั่น 2009-10 ก่อนที่เขาจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ลีก วัน และเลื่อนชั้นขึ้นไปได้สำเร็จ โดยทำแต้มทิ้งห่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ขยับตามขึ้นมาด้วยถึง 9 คะแนน
2011 – แลมเบิร์ต ยังพาลูกทีมระเบิดฟอร์มได้อย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าอันดับที่ 2 โดยทำคะแนนเกาะติด QPR ทีมแชมป์อยู่ไม่ไกลหลังจบฤดูกาล 2010-11 จนกลายเป็นสถิติการทะยานจากลีกลำดับที่ 3 ขึ้นสู่ลีกสูงสุดภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีเหมือนดั่งที่ แมนฯ ซิตี้ เคยทำเอาไว้เมื่อปี 2000
2012 – นอริช กลับมาเปิดตัวใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้งด้วยการจอดป้ายในอันดับที่ 12 ก่อนที่ แลมเบิร์ต จะอำลาทีมไปหลังจบซีซั่นนั้นด้วยการย้ายไปคุมทีม แอสตัน วิลล่า โดยได้ตัว คริส ฮิวจ์ตัน เข้ามาแทนที่
2013 – ทีมออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่จากการบุกไปพ่าย ฟูแล่ม 5-0 และต่อเนื่องด้วยการไม่ชนะใครเลยใน 7 เกมแรก ก่อนจะมาสร้างสถิติไร้พ่ายใน พรีเมียร์ลีก ได้ยาวนานที่สุด 10 นัด จนกระทั่งการพ่ายคาบ้านให้กับ ลูตัน ทาวน์ 1-0 ในเกม เอฟเอ คัพ รอบที่ 4 ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกจากลีกสูงสุดที่เสียท่าให้กับคู่ต่อสู้จากนอกลีกภายในรอบ 24 ปี และแล้วทีมก็ลอยตัวได้อย่างปลอดภัยหลังเก็บชัยชนะรวดได้ใน 2 นัดสุดท้ายจนจบด้วยอันดับที่ 11
2014 – แม้พวกเขาจะพยายามเสริมทัพในช่วงปรีซีซั่นด้วยการยอมทุบกระปุกคว้าตัว ริคกี้ ฟาน โวล์ฟสวิงเคล เข้ามาในราคาที่เป็นสถิติสโมสร 8.5 ล้านปอนด์ แต่จากปัญหาในการปรับตัวก็ทำให้หัวหอกดีกรีทีมชาติฮอลแลนด์ทำได้ดีที่สุดจากโอกาสลงสนามทั้งหมด 25 นัดตลอดทั้งฤดูกาล 2013-14 ด้วยการยิงประตูแรกและประตูเดียวได้ในนัดเปิดตัวจากผลเสมอ 2-2 กับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค ก่อนที่ นอริช จะร่วงตกชั้นลงไปด้วยการปิดฉากในอันดับที่ 18
2015 – อเล็กซ์ นีล ที่เข้ามาแทนที่ นีล อดัมส์ ในช่วงต้นปี 2015 สามารถพาทีมเร่งเครื่องในช่วงครึ่งซีซั่นหลังจนคว้าอันดับที่ 3 และได้ไปลุ้นต่อในเกมเพลย์ออฟ ซึ่งหลังจากผ่าน อิปสวิช ทาวน์ มาได้ในรอบตัดเชือก พวกเขาก็ได้โอกาสเข้าไปชิงตั๋วเลื่อนชั้นที่ เวมบลีย์ กับ มิดเดิ้ลสโบรช์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอาชนะได้ด้วยสกอร์ 2-0
2016 – อย่างไรก็ตาม เดอะ คานารี่ส์ ก็กลับขึ้นมาอยู่ใน พรีเมียร์ลีก ได้ไม่นาน โดยหลังจากบุกไปพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน 3-0 ในนัดปิดท้ายฤดูกาล 2015-16 ก็ทำให้พวกเขาจอดป้ายด้วยอันดับรองบ๊วยและต้องย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่ใน อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ ซีซั่นหน้า
2017 – ในขณะที่ทีมเริ่มต้นซีซั่นใหม่ได้อย่างมีความหวังจากการขยับขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งจ่าฝูงในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2016 แต่แล้วก็กลับฟอร์มช็อตไปแบบดื้อๆจนถึงขึ้นไม่ชนะใครเลย 9 จาก 11 เกมถัดมาและร่วงลงไปอยู่ในพื้นที่กลางตาราง จึงทำให้ อเล็กซ์ นีล ถูกปลดออกไปและก็เป็น อลัน เออร์วิน ที่เข้ามาแทนที่ก่อนจะช่วยพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8
2018 – สโมสรประกาศแต่งตั้ง ดาเนี่ยล ฟาร์เค่ โค้ชชาวเยอรมัน เข้ามารับตำแหน่งถาวรแทนที่ เออร์วิน และทำให้เขากลายเป็นกุนซือต่างชาติคนแรกของสโมสร ก่อนจะทำผลงานในซีซั่นเปิดตัวด้วยการพาทีมจบในอันดับที่ 14 พร้อมกับการปล่อยตัว เจมส์ แมดดิสัน มิดฟิลด์ดาวเด่นของทีมไปให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในราคาที่คาดกันว่าประมาณ 20 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์
ผู้สนับสนุนและศัตรูคู่อริ
ในขณะที่กองเชียร์ส่วนใหญ่ของ นอริช ก็คือผู้คนที่อยู่อาศัยในละแวกท้องถิ่น แต่ก็ยังมีบรรดาแฟนคลับอีกส่วนหนึ่งที่กระจายกันอยู่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป ทั้งที่รู้จักกันดีในย่าน กรุงลอนดอน และประเทศในแถบ สแกนดิเนเวีย รวมถึงพวกที่อยู่ใน สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์, หมู่เกาะเบอร์มิวดา, ฮ่องกง, ไทย, ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา On the Ball, City เพลงประจำสโมสรของพวกเขายังถือเป็นเพลงเชียร์ของเกมลูกหนังที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังถูกนำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ อันที่จริงประวัติของเพลงนี้มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่าอายุของสโมสรจากที่คาดกันว่าจุดเริ่มต้นเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อคณะครูภายในเมืองนอริชหรือสำหรับ Caley’s FC สโมสรเก่าแก่ในช่วงปี 1890 ก่อนจะถูกดัดแปลงเพื่อนำมาใช้กับ เดอะ คานารี่ส์ ในปี 1902
คู่ปรับที่สำคัญของพวกเขาก็คือ อิปสวิช ทาวน์ โดยในการพบกันของทั้งคู่จะถูกเรียกว่า “อีสต์ แองเกลีย ดาร์บี้” (East Anglian derby) หรือที่มีชื่อเรียกติดปากกันว่า “โอลด์ ฟาร์ม ดาร์บี้” (Old Farm Derby) อันเป็นเวอร์ชั่นล้อเลียนของ “โอลด์ เฟิร์ม ดาร์บี้” (Old Firm Derby) ที่เป็นการเผชิญหน้ากันของ เรนเจอร์ส และ เซลติก 2 ทีมยักษ์ใหญ่จากสกอตแลนด์