สเตอร์ลิง ยอมรับ นักเตะ เชลซี ไม่รู้ว่า ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น

สเตอร์ลิง ยอมรับ “นักเตะ เชลซี ไม่รู้ว่า ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น”

ราฮีม สเตอร์ลิง ตัวรุกของทีม เชลซี ยอมรับว่า เขาและเพื่อนร่วมทีมของเขา ไม่สามารถอธิบายฟอร์มการเล่นที่น่าหดหู่ของพวกเขาได้ สเตอร์ลิง ได้ลงเล่น 90 นาทีเต็มแค่เพียง 6 เกมเท่านั้นในฤดูกาลนี้ โดยที่ได้ลงเล่นภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีม 3 คนจนถึงตอนนี้ รวมไปด้วย โธมัส ทูเคิล แกรแฮม พอตเตอร์ และ แฟรงก์ แลมพาร์ด ในตอนนี้ เขาได้กล่าวกับ The Sun ว่า “คุณไม่สามารถมีสิ่งที่ดีทุกๆวันในชีวิตได้ บางครั้ง คุณตกต่ำ ผมไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนในการค้าแข้งของผมจนถึงตอนนี้ แต่ผมก็พร้อมสำหรับความท้าทาย”

พวกเราผิดหวังเมื่อพวกเราออกจากสนาม และรู้สึกโกรธและผิดหวัง มีช่วงเวลาตอนที่พวกเราจบเกม พวกเราแค่นั่งอยู่ในห้องแต่งตัว มองไปยังพื้นที่ที่ว่างเปล่า เพราะว่า คุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นได้ มันยากที่จะรับได้ คุณพยายามมองหาทางออกที่ดีอยู่เสมอ จะมีการพูดคุยกัน นักเตะพยายามทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 10 นาทีหลังสุดหรือว่าอะไรแบบนั้น มันไม่ง่าย ความรู้สึกของการชนะเกมในแต่ละสัปดาห์ เป็นความรู้สึกที่ทุกๆคนในห้องแต่งตัวคุ้นเคย ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่พวกเรามีความสุขและต้องการมันกลับมา การไม่มีมันในปีนี้เป็นสิ่งที่แย่มาก

ฟอร์มการเล่นไม่ได้อยู่ในระดับที่พวกเราควรอยู่ รวมถึงผมด้วย ผมไม่ได้ใกล้เคียงกับระดับตามปกติของผมเลย แต่ฟุตบอลอาจจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายได้ และยิ่งคุณพยายามแก้ไขบางสิ่งมากเท่าไร มันก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าคุณจดจ่อกับบางสิ่ง มันอาจจะเลวร้ายขึ้น พวกเราต้องมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมองไปที่ว่า ใครจะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนต่อไป เพื่อสร้างทีมสำหรับอนาคต พวกเราต้องการผลลัพธ์และคว้าถ้วยรางวัล เพื่อเป็นสิ่งดึงดูดที่สำคัญสำหรับสโมสรฟุตบอลแบบที่มันเป็นมาหลายปี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ผมถึงมาที่นี่ เนื่องจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และด้วยเจ้าของทีมคนใหม่ และทิศทางใหม่ มันไม่ง่ายเลย และผมไม่เสียใจเลย

“นั่นเป็นสิ่งที่สวยงาม ผมมีความสุขกับช่วงเวลาของผมที่สโมสรเก่าของผม และคว้าถ้วยรางวัลได้มากมาย แต่ผมชอบความท้าทายใหม่ๆ และนี่เป็นความท้าทายที่ผมต้องการ มันเป็นความท้าทายที่ผมจะเอาชนะให้ได้ มันจะหอมหวานมากยิ่งขึ้นในการคว้าถ้วยรางวัลจากช่วงเวลาแบบนี้ มากกว่าการที่คุณชนะได้ทุกๆสัปดาห์”