บีร็อด … เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตัวเต็งตัวจริงสำหรับภารกิจกู้ชีพผีแดง

บีร็อด ... เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตัวเต็งตัวจริงสำหรับภารกิจกู้ชีพผีแดง

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ได้กลายเป็นตัวเต็งที่จะมาทำงานแทนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากกว่ารายอื่นๆแล้ว หากว่าผู้จัดการชาวนอร์เวย์ถูกไล่ออกโซลชาร์ ยังคงทำงานอยู่ภายใต้แรงกดดันกันต่อไป และว่ากันว่าเขาจะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกสามเกมเท่านั้น เพื่อที่เขาจะได้โชว์ฝีมือเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้มันดีกว่าเดิม หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายให้กับ ลิเวอร์พูล 5-0 รวมถึงการเล่นอันน่าผิดหวังในเกมกับ อตาลันต้า แม้ว่าพวกเขาจะชนะ 3-2 และรวมถึงแพ้แบบโคตรจะน่าอับอายอีกครั้งให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0

โซลชาร์

โซลชาร์

ผู้ซึ่งควรจะยังคงเป็นตำนานของสโมสรตลอดไป สำหรับความสำเร็จของเขาในฐานะผู้เล่นซูเปอร์ซับระดับตำนานที่ช่วยทีมได้แชมป์ยุโรปในปี 1999 แต่พอเข้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม โดยเริ่มแรกกับการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวเมื่อปลายปี 2018 ปรากฏว่ายิ่งทำทีมมากเท่าไหร่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยิ่งเละเทะมากขึ้นเรื่อยๆสิ่งที่อันตรายสำหรับชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมของ โซลชาร์ นั่นก็คือยิ่งเขายังทำงานอยู่กับสโมสรนานเท่าไร ความเสี่ยงในการจะตกงานและกลายเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอล มากกว่าจะเป็นอดีตตำนานกองหน้าของทีมนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและร็อดเจอร์ส ก็อาจจะเป็นผู้สืบทอดที่มีเกรดสำหรับสโมสรแห่งนี้ แม้จะมีประวัติในการคุมทีมลิเวอร์พูลมาก่อนตอนนี้ ร็อดเจอร์ส ได้พิสูจน์แล้วว่าเขามีผลงานที่ดี ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อที่ เซลติก และกับเลสเตอร์ แล้วก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่าผู้จัดการทีมวัย 48 ปีรายนี้พร้อมที่จะพูดว่า ‘โอเค’ หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยากจะขอให้เขารับช่วงต่อในการคุมทีมต่อจากโซลชาร์สิ่งที่ ร็อดเจอร์ส น่าจะ “ทำได้” ก็คือการนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปสู่อีกระดับ และเขามีประสบการณ์มากมายและความรู้ด้านฟุตบอลที่อัดแน่นอยู่ในสมอง ที่จะนำมาใช้กับทีมบางคนอาจจะมองว่า กว่าที่ผู้จัดการทีมสักคนจะประสบความสำเร็จนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตอนที่พวกเขามีอายุมากขึ้น ผู้จัดการส่วนใหญ่ในยุคสมัยนี้ก็อาจจะมีประสบการณ์ด้านการบริหารหรือคุมทีมเพียงสิบปีหรือน้อยกว่านั้น แล้วก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่ ร็อดเจอร์ส สามารถประสบความสำเร็จในการเป็นผู้จัดการได้ตั้งแต่อายุ 35 ปีและสั่งสมประสบการณ์ในการเป็นผู้ฝึกสอนมานานมากแล้วเช่นกันร็อดเจอร์สเป็นโค้ชอาชีพ ซึ่งเป็นเส้นทางที่หล่อหลอมหัวใจของเขาให้กลับมาสงบนิ่งมากขึ้นได้ หลังจากในช่วงท้ายของการเล่นบอลอาชีพของเขา ที่มันจบลงอย่างน่าเศร้าเพราะอาการบาดเจ็บ เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นโค้ชระดับทีมเยาวชนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 กับเรดดิ้ง ซึ่งเขาเคยเป็นนักเตะอาชีพตอนสมัยยังเป็นวัยรุ่นมาก่อน และจากนั้นเขาก็บาดเจ็บหนักและเลิกเล่นบอลอาชีพก่อนกำหนดเขาเคยเป็นผู้อำนวยการอคาเดมี่ของสโมสรแชลซีด้วย ซึ่งมันเป็นในช่วงเวลาที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเขาเองก็โชว์ผลงานได้ดีอาชีพของเขาไม่ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพียงอย่างเดียวหรอก มันก็มีช่วงเวลาที่เขาพบเจอกับความพ่ายแพ้อยู่บ่อยๆ แต่มันก็เป็นจุดสำคัญต่อการสร้างคาแรคเตอร์ให้เขาใจแข็งราวเพชรมากขึ้น และเก็บประสบการณ์ในเรื่องแย่ๆได้พอๆ กับความสำเร็จ งานแรกของเขาที่ได้คุมทีมวัตฟอร์ด มันผ่านไปได้ด้วยดีหลังจากออกสตาร์ทได้ค่อนข้างยากลำบาก มันเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มสั่งสมบารมีได้มากขึ้นจริงๆ

เขาประสบความสำเร็จ

เขาประสบความสำเร็จ

ที่สวอนซีอย่างสูง เขาพาทีมดังแห่งตอนใต้ของเวลส์ลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยสไตล์บอลที่สวยงาม ต่อบอลสั้นแม่นยำ เน้นเกมรุก และนั่นก็นำไปสู่การแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ซึ่งเขาประสบความสำเร็จและเจอกับความผิดหวังมาอย่างเท่าๆกัน โดยเฉพาะกับการพาทีมได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก 2013-14ตอนนี้ เขากำลังไปได้สวยกับเลสเตอร์ ซิตี้ เขาได้พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ มันคือแชมป์รายการที่ 2 ในรอบ 5 ปีของเลสเตอร์ หลังจากพวกเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2016 แมยังเน้นเกมรุกเต็มอัตราศึกด้วยมันอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะเอายังไงกับผู้จัดการทีม จะเก็บโซลชาร์ไว้ หรือจะใช้งาน บีร็อด มาคุมทีมกันแน่ ก็ต้องรีบเลือกแล้ว