พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกฟุตบอลที่เข้มข้นมากที่สุดในโลก

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกฟุตบอลที่เข้มข้นมากที่สุดในโลก

วันนี้ ซอคเกิ้ลบอล ขอยกประเด็นที่กำลังเผ็ดร้อนอยู่ในยุคปัจจุบันปี 2020 เรื่องราวการเป็นแชมป์ลีกของสโมสรฟุตบอลสุดยิ่งใหญ่ในประเทศอังกฤษอย่าง ลิเวอร์พูล เจ้าของฉายา หงส์แดง หรือ เดอะค็อป กับกระแสที่ว่าจริงหรือที่พวกเขาพึ่งจะเคยได้แชมป์ (พรีเมียร์ลีก อังกฤษ) เป็นครั้งแรกคำตอบคือ จริง! แต่เดี๋ยวก่อนคำว่าแชมป์คือการเป็นที่หนึ่งใช่หรือไม่เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจกันดี สำหรับ หงส์แดง พวกเขาไม่ใช่พึ่งจะมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกอย่างที่ใครๆคิดกันเพียงแต่ว่าระบบชื่อลีกของรายการแข่งขันกันในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษนั้นมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในภายหลังซึ่งจริงๆแล้วก่อนที่จะมาเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้นเดิมทีใช้ชื่อลีกเรียกสั้นๆว่า ดิวิชั่น 1 ซึ่งถ้านับย้อนกลับไปแล้วจริงๆ เดอะค็อป เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาแล้ว 19 ครั้งรวมกับครั้งล่าสุดที่พวกเขาพึ่งจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่สำหรับวันนี้เราไม่ได้จะหยิบยกเรื่องราวของสโมสรแห่งย่านเมอร์ซีไซด์มาพูดกันแต่เราจะพาท่านย้อนรอยกลับไปที่รายการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีว่าจุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้มีที่ไปและที่มาอย่างไร

การแข่งขันฟุตบอลระดับอาชีพลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษเกิดขึ้นในปี 2431 หรือในช่วงปี คศ.1888 นับว่าเป็นลีกฟุตบอลที่มีมายาวนานมากที่สุดในวงการฟุตบอลของโลกเลยทีเดียวโดยเริ่มต้นเดิมทีเกมลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีจะใช้ชื่อในรายการว่า ดิวิชั่น 1 แต่แรวในช่วงปี 2535 หรือฤดูกาล 1992-93 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้แฟนบอล หงส์แดง หรือแฟนบอลทีมอื่นๆต่างพากันบัฟกันเรื่องของการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ในช่วง คศ.1992-93 นักธุรกิจคนสำคัญของอังกฤษที่ได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลนามว่า รูเพิร์ท เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) เขาเป็นนักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของแดนผู้ดีอย่าง สกาย (BSkyB) เขาเป็นคนที่เข้าไปกระตุ้นต่อมของสโมสรฟุตบอลในลีกสูงสุดที่จะทำการแข่งขันกันในช่วงฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาเพื่อจะเริ่มต้นการสร้างลีกใหม่ภายใต้นามว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จจนทำให้รายการเกมลีกสูงสุดของอังกฤษที่ใช้ชื่อ ดิวิชั่น 1 ต้องสิ้นสุดลงในช่วงตลอด 104 ปีที่เคยมีมารวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงชื่อลีกรองที่ต่อจากลีกสูงสุดก็ค่อยๆทยอยกันเปลี่ยนชื่อลีกใหม่กันไปตามระบบ ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของ เมอร์ด็อก ว่าทำไมบุคคลเดียวถึงสามารถผลักดันให้ทีมฟุตบอลในลีกสูงสุดตัดสินใจถอนตัวออกมาเพื่อตั้งลีกฟุตบอลขึ้นมาใหม่ภายใต้นโยบายของเขา เอาแค่คร่าวๆไม่เน้นน้ำเลยก็คือ เมอร์ดอร์ก เป็นเจ้าของสื่อใหญ่ในประเทศเขาตัดสินใจซื้อสิทธิผูกขาดกับการถ่ายถอดสดศึกฟุตบอลดิวิชั่น 1 ที่จะแข่งขันกันในปี 1992-1993 และเซ็นสัญญายาวไปอีก 5 ปีตั้งแต่ฤดูกาล 1992-93 ไปจนถึงฤดูกาล 1996-97 พวกเขาทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อสิทธิ์รวมๆแล้วเป็นเงินถึง 304 ล้านปอนด์ ทำให้เขาสมารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้ในปีนั้นมีสโมสรฟุตบอลจำนวนมากที่เอออ่อหอหมกไปกับ เมอร์ดอร์ก รวมไปถึงผู้บริหารใหญ่ของสโมสรชื่อดังอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเปิดห้องเจรจากับสโมสรอื่นในดิวิชั่น 1 เพื่อให้เข้าร่วมกับโปรเจคของเมอร์ด็อกจนในที่สุดการเริ่มต้นของ พรีเมียร์ลีก ก็เกิดขึ้นนับตั้งแต่ตอนนั้น ตามมาต่อกันที่เรื่องของการจัดตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 17 กรกฎาคม 2534 มีการลงนามกันเกิดขึ้นภายใต้กลุ่มสมาชิกที่มีชื่อว่า Founder Members Agreement เข้ามาจัดการระบบการแข่งขันของพรีเมียร์ลีกอังกฤษพร้อกับวางรากฐานใหม่ภายใต้กฎระเบียบขององค์กรขึ้นมาใหม่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำให้พรีเมียร์ลีกมีอิสระในการทำธุรกิจร่วมกับผู้สนับสนุนที่เข้ามา รวมไปถึงการขายสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันของตัวเองด้วยหลังจากนั้นสโมสรที่เคยร่วมกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ตัดสินใจถอนตัวออกมาจากดิวิชั่น 1 อย่างเป็นทางการรวมแล้ว 20 สโมสร แต่ภายหลังจากนั้นในปี 2535 วันที่ 27 พฤษภาคม เอฟเอพรีเมียร์ลีกก่อตั้งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดและมีสโมสรฟุตบอลที่เข้าร่วมในลีก 20 สโมสรเป็นหุ้นส่วนตามกฎระเบียบหากว่าทีมไหนที่ยังคงเล่นอยู่ใน พรีเมียร์ลีก จะยังคงเป็นหุ้นส่วนของพรีเมียร์ต่อไปรวมไปถึงการได้รับผลประโยชน์จากการลงแข่งขันซึ่งก็จะมีเงินให้กับทีมที่ทำผลงานในลีกได้ดีตามลำดับและถ้าหากว่ามีสโมรฟุตบอลทีมไหนที่ต้องตกชั้นลงไปจะต้องโยกกรรมสิทธิ์หุ้นให้กับทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นการวางรากฐานที่สมบูรณ์แบบทำให้ พรัเมียร์ลีก เป็นลีกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและมีการแข่งขันกันในเชิงด้านความเป็นใหญ่ที่ดุเดือดมากๆเพราะถูกจัดการบริหารได้อย่างลงตัวและด้วยผลกำไรจากการขายสิทธิ์ในการถก่ายทอดสดทำให้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีรายได้มหาศาลในแต่ละปี ประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่เมื่อช่วงฤดูกาล 2013-14 จนถึงปี 2015-16 ประมาณ 3 ปีที่เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด โดยที่ก่อนหน้านั้นเป็นทางด้านของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมาตั้งแต่ปี 2007-2013ตามต่อด้วยบริษัท บิอินสปอร์ต สื่อโทรทัศน์ชื่อดังเกี่ยวกับกีฬาเข้ามาเซ็นสัญญาใหม่และได้สิทธิ์ใช้มาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปีปัจจุบัน 2020

Rupert Murdoch

ตราสัญลักษณ์ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปลี่ยนแปลงและแก้ไขมาแล้ว 3 ครั้งโดยครั้งแรกที่ก่อตั้งในช่วงปี 1992 ถูกใช้มาจนถึงปี 2007 ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้อีกแบบหนึ่งในปี 2007 จนถึงปี 2016 และครั้งล่าสุดใช้ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบันโดยในสัญลักษณ์หรือโลโก้ของลีกนั้นใช้เป็นรูป สิงโตที่กำลังใช้ขาหน้าจับลูกบอลเอาไว้ บ่งบอกให้เห็นถึงตัวแทนลีกฟุตบอลที่มาจากประเทศอังกฤษซึ่งมีฉายานามว่าสิงโตคำราม

เหตุการณ์สำคัญก่อนการเปลี่ยนแปลงมาเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็นยุคที่ย่ำแย่ที่สุดของฟุตบอลดิวิชั่นสูงสุดของอังกฤษเหตุโศกอนาตกรรมเกิดขึ้นหลากหลายเหตุการณ์มาจากความผิดพลาดของระบบรักษาความปลอดภัยและกลุ่มแฟนบอลที่เป็นพวกหัวรุนแรงทำให้อดีตของฟุตบอลลีกสูงสุดแดนผู้ดีนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งต่อองค์สมาคมฟุตบอลของยุโรป ซึ่งในปี 2532 สองเหตุการณ์ใหญ่ที่แฟนบอลเสียชีวิตเป็นจำนวนมาจากสองเหตุการณ์ 1 คือเหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโร่ เมื่อแฟนบอลของสองทีมใหญ่ในอังกฤษทำการแข่งขันกันในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูล กับ ฟอร์เรส มีแฟนบอลจำนวนมากที่แห่มาชมเกมการแข่งขันแต่แล้วเรื่องไม่ขาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออัฒจรรย์ที่เป็นไม้เกิดการหักแตกทำให้แฟนบอลพากันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจนเกิดเหตุการณ์เหยียบกันจนเสียชีวิตรวมๆแล้ว 96 ชีวิตและต่อมาในปีเดียวกันอีกการแข่งขันคือรายการฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล ดวลกับ ยูเวนตุส ก็มีผู้คนที่เสียชีวิตด้วยการเหยียบกันอีก 39 รายทำให้สมาคมฟุคบอลยุโรปต้องแบนไม่ทีมฟุตบอลจากประเทศอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันในรายการใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นระยะเวลา 5 ปีเต็ม แต่หลังจากมีการเข้ามาเปลี่ยนแปลงของระบบใหม่ก็ทำให้หลายๆสโมสรปรับปรุงแก้ไขสนามแข่งขันจนเป็นมาตราฐานสากลของโลก ฟุตบอลอังกฤษจึงได้กลับไปมีส่วนร่วมกับ ยูซีแอล อีกครั้ง

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรก

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวพอสังเขปของลีกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ในโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ (Premier League) และเพื่อเป็นข้อมูลให้กับแฟนบอลของสโมสรอื่นที่ยังมีข้อทกเถียงกันเกี่ยวกับการแข่งขันระดับลีกสูงสุด แต่จริงๆแล้วการบัฟกันก็เป็นเรื่องปกติของแฟนบอลอยู่แล้วแต่เราก็ขอความเห็นใจในยามที่จะไปบัฟใส่ฝั่งของแฟนบอลคู่ปรับก็พูดกันอย่างสุภาพเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งเพราะกีฬาจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเรารู้จักรักษามัคคีกันอย่าให้อารมชั่ววูบต้องทำให้การแข่งขันและการรับชมฟุตบอลต้องจืดชืดลงไปเพราะก็ไม่มีใครอยากให้ทีมรักของตัวเองต้องโดนล้อ เอาเป็นว่าบัฟกันได้แต่เอาแค่หอมปากหอมคอก็พอดูบอลให้สนุกต้องไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแวงกัน สำหรับวันนี้เราขอลาจากแต่เพียงเท่านี้ไว้มีบทความดีดีเราจะนำมาเสนอให้ท่านได้เก็บเกี่ยวข้อมูลกัน