คริส วิลเดอร์ จากโค้ชทีมนอกลีก สู่การเป็นกุนซือในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

คริส วิลเดอร์ จากโค้ชทีมนอกลีก สู่การเป็นกุนซือในลีกสูงสุด

หากใครก็ตามที่ทำงานหนักภายใต้ความเข้าใจผิดที่ คริส วิลเดอร์ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมของเขามีความสุขที่ได้อยู่ในพรีเมียร์ลีกนั้น กุนซือ “ดาบคู่” ได้ทำงานมากมายเพื่อกำจัดความคิดนั้นในช่วงเดือนแรกๆของฤดูกาลนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะเหนือ คริสตัล พาเลซ และ เอฟเวอร์ตัน เท่านั้นที่ทำเช่นนั้น แต่การตอบสนองต่อความพ่ายแพ้เช่นกัน

มีรายงานว่าในช่วงพักครึ่งเวลาของเกมลีกที่ เชฟฟิลด์ พ่ายค้าบ้านต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-2 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น วิลเดอร์ โมโหลูกทีมของเขาอย่างหนักในห้องแต่งตัว มันเป็นเรื่องเล่าที่บ่งบอกถึงเทคนิคการสร้างแรงบันดาลใจของชายผู้หนึ่งซึ่งต้องต่อสู้เพื่อไปสู่จุดสูงสุด

จอห์น เบเรสฟอร์ด เพื่อนเก่าของ วิลเดอร์ กล่าวกับ “สกายสปอร์ต” สื่อกีฬาชั้นนำแดนผู้ดีว่า “เมื่อเขาจะเดินหน้า เขาไม่ยืนหยัดในเรื่องไร้สาระใดๆ ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของเขา เมื่อเขาถูกถามเกี่ยวกับผู้เล่นของเขาที่ทำงานอย่างหนัก ผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน นั่นคือ ขีดจำกัดคุณ มันไม่สามารถต่อรองได้ เขามอบทุกอย่างให้สโมสร เขากำลังมองหาคุณภาพที่สอดคล้องกับมัน”

เบเรสฟอร์ด เป็นอดีตแบ็คซ้าย ของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในยุคกุนซือ เควิน คีแกน รู้จักวิธีการบริหารจัดการของ วิลเดอร์ ดีกว่าคนอื่นมากที่สุด เพราะเขาทั้งคู่เคยเริ่มเล่นฟุตบอลกับ เชฟฟิลด์ ด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะแยกย้ายกันในช่วงวัยรุ่น และกลับมาเจอกันอีกครั้งตอนแขวนสตั๊ด

ขณะเดียวกัน วิลเดอร์ เริ่มต้นการเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรกกับ แบรด์เวย์ ซึ่งเป็นทีมนอกลีก เขาสารภาพว่าตัดสินใจเลือกคุมทีมนี้ในไนท์คลับแห่งหนึ่งในคืนวันเสาร์ พร้อมกับติดต่อให้ เบเรสฟอร์ด ไปเล่นด้วย เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อนเก่าอย่างหนัก

อดีตดาวเตะ นิวคาสเซิล กล่าวว่า “ผมคิดว่า เขาล้อเล่น แต่เขาบอกผมว่า ผมจะรักงานนี้ ผมเปิดตัวกับทีมในสัปดาห์ต่อมา และมันก็ยอดเยี่ยมมาก เขามีทีมที่ดี แต่ 2-3 สัปดาห์ต่อมา ผมก็รู้สึกแปลกๆ ผมไม่สามารถเล่นต่อได้อีกแล้ว เพราะเข่าผมมีปัญหา แต่สนามของเรานั้นดีมากจริงๆแล้วแฟนบอลส่วนใหญ่ก็เชียร์ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วย”

“ตั้งแต่เริ่มต้นคุณจะเห็นได้ว่า คริส ถูกกำหนดให้เป็นผู้จัดการทีมระดับสูง เขาไม่มีเงินมากมายให้ใช้ ดังนั้นเขาจึงเก็บสะสมสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง เขารู้วิธีจัดการกับผู้เล่นอยู่เสมอ และในด้านการจัดการคนของเขามันไม่เป็นสองรองใคร เขารู้ว่าเมื่อใดผู้เล่นต้องการการเอาใจใส่ และเมื่อใดต้องถูกกระตุ้น”

“สิ่งใหญ่เกี่ยวกับเขาคือ ความสนิทสนมกันระหว่างผู้เล่น ผมโชคดีที่ได้เล่นภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน และเขาก็เป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่า คริส ก็เหมือนกัน หากมีความแตกต่างระหว่าง 2 คนนี้ อาจเป็นเรื่องของประสบการณ์ ซึ่ง คริส กำลังได้รับอยู่ในตอนนี้”

“ผมคิดว่า นั่นคือสิ่งที่ทำให้ คริส มีประสบการณ์และการที่เขาคุมทีมในลีกระดับล่างมา มันช่วยเขาได้เรียนรู้จากสิ่งนั้น มันไม่สำคัญว่าคุณจะอยู่ในระดับใด มันเกี่ยวกับการเรียนรู้วิธีสร้างความแตกต่างด้วยตัวคุณเอง การทำให้ผู้เล่นที่อ่อนแอที่สุด กลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดนั้น เขาสามารถทำได้และเขาก็ปรับตัวได้ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม” เบเรสฟอร์ด กล่าว

ความต้องการในการปรับตัวมากขึ้นเริ่มที่ อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด ในปี 2010 เมื่อ วิลเดอร์ พาทีมเลื่อนชั้นได้เป็นครั้งแรก และเขาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่แตกต่างกัน ซึ่งมาพร้อมกับวิธีการของเขา โดยโค้ชวัย 52 ปี มีทีมงานคุณภาพรอบตัวเขา และเขาไม่กลัวที่จะเข้าใกล้มหาวิทยาลัยมากขึ้นเพื่อแสวงหาคำแนะนำจากคนอื่นๆ

ไมเคิล ดูเบอร์รี่ อดีตกองของ เชลซี และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งมีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกมานานกว่าทศวรรษ และทำงานกับโค้ชชื่อดังเช่น เกล็น ฮอดเดิ้ล, รุท กุลลิท, จานลุยกา วิอัลลี่ และ เทอร์รี่ เวเนเบิ้ลส์ มาแล้ว ก็ยังประทับใจกับวิธีการของ วิลเดอร์ ที่ อ็อกฟอร์ด

ดูเบอร์รี่ ซึ่งย้ายมาร่วมทีม อ็อกฟอร์ด ในช่วงปลายอาชีพ เล่าว่า “เขาเคยขอให้ผมเปิดเกมรุกจากแนวรับ ถ้าเขาทำให้ผมเด็กลงไป 15 ปี ได้ ผมอาจลองทำดู สไตล์ของเขาเปิดกว้างให้กับนักเตะ เขาเป็นโค้ชดั้งเดิมที่เคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยมาก แต่เขาก็พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเช่นกัน เพราะเขารู้ว่าผู้เล่นยุคใหม่เป็นอย่างไร”

“เขาอาจจะดูดุบ้าง และเขาก็ไม่กลัวที่จะตัดสินใจ เขาต้องการให้ผู้เล่นอาวุโสเป็นหูเป็นตาให้กับเขาในสนามซ้อม มันไม่ได้เกี่ยวกับการทำตามวิธีของเขา เขาพร้อมฟังลูกทีมทุกคน และเขาก็เป็นคนตลก เรามีการประชุมทีม และทุกคนได้รับการสนับสนุนให้พูดอยู่เสมอ ผมคิดว่าเขาเข้าใจความหมายของคำว่า ทีม”

“เขารายล้อมไปด้วยคนที่พร้อมจะทดสอบตัวเองอยู่เสมอ แอนดี้ เมลวิลล์ ผู้ช่วยของเขาก็มาจากประเทศเวลส์ เพื่อหาความท้าทาย ดังนั้นเขาจึงมีผู้ฝึกสอนที่ดี และการประชุมทีมก็ทำให้ผมประทับใจมาก เขาละเอียด และทะเยอทะยาน เขาเป็นโค้ชหนุ่มที่อยู่ในการเดินทางของเขาเพื่อไปยังที่ที่เขาอยากจะไป” อดีตปราการหลัง อ็อกฟอร์ด กล่าว

อ็อกฟอร์ด จะจบซีซั่นด้วยอันดับ 3 แต่พวกเขาก็ได้เลื่อนชั้น

แม้ อ็อกฟอร์ด จะจบซีซั่นด้วยอันดับ 3 แต่พวกเขาก็ได้เลื่อนชั้น มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าสไตล์ฟุตบอลของ วิลเดอร์ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่ามีประสิทธิภาพในระดับที่สูงขึ้น

ดูเบอร์รี่ กล่าวต่อว่า “คุณสามารถขึ้นบอลจากแนวรับในลีก ทู ได้หรือไม่ แต่เขาสามารถทำให้พวกเราทำแบบนั้นได้ เขามีวิธีการที่ทำให้ผู้เล่นทำแบบนั้น เขาต้องการที่จะให้ทีมเล่นในแนวทางของเขา เขาสามารถปรับแผนได้อย่างเหมาะสม เขาอาจจะเป็นโค้ชที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขาเป็นมันสมองฟุตบอล”

การตัดสินใจออกจาก อ็อกฟอร์ด ไปยัง นอร์ทแฮมป์ตัน ในเดือนมกราคม ปี 2014 นั้น เป็นข้อโต้เถียงอย่างหนัก ไวล์เดอร์ กำลังอำลาทีมที่อยู่ใน 6 อันดับแรกในศึกลีก วัน ไปคุมทีมในโซนตกชั้น ซึ่ง นอร์ทแฮมป์ตัน อาจโดนขับออกจากลีกในรอบ 94 ปี หลังจากสโมสรเจอวิกฤตทางการเงินจนไม่สามรถจ่ายเงินเดือนให้นักเตะได้

อย่างไรก็ตาม วิลเดอร์ พา นอร์ทแฮมป์ตัน คว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้นได้ 99 คะแนน มันเป็นความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อ ในขณะที่ โจเอล บายรอม กองกลาง นอร์ทแฮมป์ตัน เล่าว่า “มันเป็นเวลาที่เหลือเชื่อสำหรับผม จากความวุ่นวายที่ไม่ได้รับเงินเดือนจากสโมสร ไปจนถึงการเกือบทำลายสถิติคะแนนการเป็นแชมป์ เขานำพาทุกคนในสโมสรทั้งหมดมารวมใจกันในเวลาที่สำคัญ คริส ยอดเยี่ยมมากในเรื่องนี้”

แนวทางที่ วิลเดอร์ ทำนั้น ได้รับการกล่าวถึงที่ เชฟฟิลด์ เช่นกัน คุณสมบัติการจัดการคนตามธรรมชาติของ กุนซือ “ดาบคู่” นั้น ถูกหลอมรวมกับแนวคิดใหม่ๆ บนพื้นที่การฝึกซ้อม และสิ่งนี้ช่วยเร่งความก้าวหน้าของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

บายรอม พบว่าตัวเองถูกขอให้ถอยกลับจากตำแหน่งกองกลางไปยืนในตำแหน่งฟูลแบ็ค ซึ่งไม่เพียงแต่จะครอบคลุมพื้นที่ในแนวรับเท่านั้น แต่เพื่อที่จะได้รับลูกบอลในพื้นว่างที่มากขึ้นเพื่อสร้างสรรค์เกมให้กับทีม

“นั่นเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับผม ผมไม่เห็นใครทำในลีก ทู มาก่อนเลย ในขณะนี้มีเพียงไม่กี่คนใน พรีเมียร์ลีก ที่ทำมัน คุณเห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำมันได้ดีมาก จินี่ ไวจ์นัลดุม ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน คือ การปล่อยให้ตัวเองมีพื้นที่มากขึ้น”

“บางอย่างที่เราทำที่ คริส และผู้ช่วยของเขาเป็นคนแนะนำ พวกเขาจัดการรายละเอียดสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผมได้นำติดตัวมาด้วย มันเป็นความรู้เพียงเล็กน้อยที่มีประโยชน์ ผมยังคงเห็นว่า เชฟฟิลด์ ก็ทำสิ่งเดียวกันในตอนนี้”

“ตอนนี้ผมมองอาชีพของตัวเองเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ตอนที่เล่นกับ นอร์ทแธมป์ตัน และหลังจากย้ายออกจาก นอร์ทแธมป์ตัน ผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมเรียนรู้มากมาย เมื่อตอนเป็นดาวรุ่ง ผมได้ทำงานที่ไม่จำเป็นบนสนาม หลังจากผมเล่นให้ คริส ผมก็ยืนตำแหน่งได้ดีขึ้น และหาจังหวะเพื่อที่จะได้รับลูกมากขึ้น ผมได้เรียนรู้ตำแหน่งของตัวเองภายใต้การทำงานกับเขา”

“อลัน คิน ผู้ช่วยของ คริส ก็ที่ใช้เวลาหลายครั้งในการวางสร้างการทำงานเกี่ยวกับรูปแบบของทีม และทำการฝึกซ้อมด้านสิ่งต่างๆ พวกเขาพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่วงหน้า และ คริส จะกระโดดในสนามเข้ามาเมื่อเขาต้องการสอนลูกทีม เขาเป็นคนที่จัดการทีมได้ดีคนหนึ่ง เขาดูแลเรื่องต่างๆของเรา พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดีจริงๆ” บายรอม กล่าว

ดังนั้น มันจึงพิสูจน์ได้ที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เช่นกัน วิลเดอร์ และ คิน ทำงานร่วมกันในเชิงกลยุทธ์ โดย เบเรสฟอร์ด อธิบายว่า “มีการพูดกันมากมายเกี่ยวกับการยืนตำแหน่งของกองกลาง แต่เขาไม่ได้ขอให้ผู้เล่นทำสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ นักเตะอย่าง คริส บาชาม สามารถทำได้เพื่อสนับสนุนทีม”

บายรอม กล่าวเสริมว่า “มีการพูดคุยกันมากมายในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับจิตวิญญาณของทีมที่นั่นและมันก็เป็นสิ่งเดียวกันสำหรับเราที่ นอร์ทแธมป์ตัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะดึงกัปตันทีมมา แล้วบอกให้เขาพาเราไปดื่ม หรือไปขับโกคาร์ท และออกไปจากสนามฝึกสัก 2-3 วัน เพราะเหตุนี้ ผมยังมี WhatsApp ของเพื่อนเก่าๆอยู่เลย เรารวมกลุ่มกัน และเรายังคงออกไปเที่ยวด้วยกัน”

การสร้างวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จของทีมที่เป็นพื้นฐานในทุกระดับ และ วิลเดอร์ ได้ทำมันตลอดอาชีพผู้จัดการทีมของเขา โดย เบเรสฟอร์ด คนที่ติดตามการเดินทางของเพื่อนเก่าตั้งแต่เริ่มต้นนั้น มีคำถามเดียวที่ยังคงอยู่คือสถานที่และเวลาที่การเดินทางนั้นจะสิ้นสุดลง

“ผู้คนบอกว่า เชฟฟิลด์ เป็นตัวเต็งที่จะตกชั้น แต่ผมไม่คิดแบบนั้นเลย ผมคิดว่าพวกเขาจะแปลกใจมากในทีมชุดนี้ ในฤดูกาลนี้พวกเขามีโค้ชที่จะทำให้คิดว่าเขาจะจัดการกับสถานการณ์ที่แตกต่างได้อย่างไร เขาได้อย่างยอดเยี่ยมทำงานมานานแล้ว”

“ปัญหาเดียวที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กำลังจะมีในอนาคตคือ การเก็บเขาไว้กับสโมสร มันแค่แสดงให้เห็นว่าคุณสามารถทำอะไรได้ถ้าคุณได้รับโอกาส เพราะสิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจเลย และไม่จำเป็นต้องแปลกใจ” เบเรสฟอร์ด กล่าวทิ้งท้าย

วิลเดอร์ ได้ทำมันตลอดอาชีพผู้จัดการทีมของเขา