THE HATTRICK! ตำนานการทำแฮททริกที่โด่งดังในวงการลูกหนัง

ตำนานการทำแฮททริกที่โด่งดังในวงการลูกหนัง

การทำแฮททริกนั้น แน่นอนว่ามันย่อมเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าพิเศษใส่ไข่เลยทีเดียว เพราะมันจะต้องเกิดจากความคมอย่างมากในการทำประตู และจะต้องปิดบัญชีคู่แข่งให้ได้ภายใน 90 นาที ด้วยการยิงประตูคนเดียว 3 ประตูด้วย จะเป็นจังหวะแบบไหนก็ตาม โอเพนเพลย์ เซ็ตเพลย์ ก็ขอให้มันยิงเข้าประตูให้ได้ 3 ประตูก็พอแล้ว หรือถ้าใครมีความโหดหน่อยก็จัดการสอยคนเดียวมากกว่า 3 ประตูก็ได้ ซึ่งมันมีเกิดขึ้นมาในวงการลูกหนังอยู่บ่อยครั้งเลยทีเดียว

วันนี้เราจะมาดูว่ามีแฮททริกในตำนานครั้งไหนบ้าง ที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกประทับใจและไม่เคยลืมมันเลย เราได้คัดเอาแฮททริกเด่นๆมาให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว

เฟเรนซ์ ปุสกัส (เรอัล มาดริด)

ราชันย์ลูกหนังชาวฮังกาเรียนรายนี้ ได้ชื่อว่าเป็นโคตรนักเตะที่มีเท้าซ้ายคมกริบอยู่แล้วในการยิงประตู เขาใช้แค่ข้างซ้ายข้างเดียวนี่ก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว

และสำหรับแฮททริกที่ทุกคนต้องจดจำจากฝีเท้าของตำนานลูกหนังฮังกาเรียนก็คือ การเล่นฟุตบอลถ้วยยูโรเปี้ยนคัพรอบชิงชนะเลิศปี 1960 ในเมือง กลาสโกว์ ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศดังกล่าวนั้น เรอัล มาดริด ต้นสังกัดของ ปุสกัส มีอันต้องเจอกับทีม ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ตัวแทนจากบุนเดสลีกา

ในเกมนี้ ปุสกัส ระเบิดความคมด้วยการยิงมากถึง 4 ประตูในเกมดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าการเล่นนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 5 ของรายการยูโรเปี้ยนคัพ ได้เกิดการยิงประตูกันอย่างมากมายขึ้นมาเลยทีเดียว ซึ่งสกอร์ 7-3 ในวันนั้น เกิดจากการยิงของ ปุสกัส 4 ประตูจาก เรอัล มาดริด และนักเตะอีกรายหนึ่งของ มาดริด ที่ยิงได้ในวันนั้นก็คือ

อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน (เรอัล มาดริด)

ต่อจากย่อหน้าที่แล้ว ในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพที่ เรอัล มาดริด ได้เจอกับ แฟร้งค์เฟิร์ต มันมีการยิงประตูกันมากถึง 10 ลูกเลยทีเดียว และนักเตะที่ยิงให้กับมาดริดได้ในเกมนั้นมี 2 คนด้วยกัน รายแรกคือ ปุสกัส ที่ยิงคนเดียว 4 ประตูรัวๆ ส่วนอีกคนนั้นก็คือ ดิ สเตฟาโน ที่ยิงแฮททริก (3 ประตู) ในเกมนี้นั่นเอง

ในเกมนี้ “ดิ สเตฟาโน แอนด์ เดอะ ปุสกัส” ควงแขนกับยิงประตูได้อย่างถล่มทลาย แถมคู่นี้ยังเล่นกันได้อย่างเข้าขา พวกเขาช่วยกันชงช่วยกันยิงอย่างระเบิดระเบ้อ

แม้ว่าในการแข่งขันระดับลาลีกา คู่หูจากมาดริดคู่นี้จะยิงประตูได้อย่างมากมายเช่นเดิม แต่ก็ต้องมีแฟนบอลหลายคนเลยทีเดียวที่มองว่ายังไงซะ แฮททริกเฮฟเว่นในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ 1960 ที่สองคู่หูนี้ยิงรวมกัน 7 ประตู มันคือที่สุดของที่สุดเลยจริงๆ

เปเล่ (ทีมชาติบราซิล)

ในฟุตบอลโลก 1958 มันคือทัวร์นาเมนต์ที่ทีมชาติบราซิลรอคอยมาตลอด พวกเขามาเยือนประเทศสวีเดนเพื่อทำศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ยุโรปเป็นเจ้าภาพ และแน่นอนว่าทีมชาติบราซิล ได้หนีบนักเตะดาวรุ่งวัยเพียง 17 ปีรายหนึ่งติดทีมมาด้วย นั่นก็คือตัวของ เปเล่

ในเกมที่ทีมชาติบราซิลต้องเจอกับทีมชาติฝรั่งเศสนั้น ดาวเตะรายนี้นี่เองที่โชว์เพลงแข้งบันลือโลก เขาทำแฮททริกได้ด้วยวัยเพียง 17 ปีในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ทำให้บราซิลทะลวงฝรั่งเศสยับเยินถึง 5 ประตูเลยทีเดียว

หลังจากที่ เปเล่ ตะบันแฮททริกใส่ทัพตราไก่ได้สำเร็จ บราซิลก็สามารถทะลุเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1958 ได้สำเร็จก่อนที่จะคว้าแชมป์โลกมาครองได้ในบั้นปลาย !

เปาโล รอสซี่ (ทีมชาติอิตาลี)

ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปนเป็นเจ้าภาพในเวลานั้น มีทีมดังมากมายพาเหรดกันมาแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว แต่แมตช์สุดคลาสสิกที่ถูกหยิบยกเอามาพูดกันมากที่สุดก็คือ การแข่งขันระหว่างทีมชาติบราซิล กับ ทีมชาติอิตาลี ที่ขนสตาร์มากันเพียบเลยทีเดียว

บราซิลนั้น นำทัพมาโดย ซิโก้ , โซคราเตส , ฟัลเกา ที่ทะลวงประตูคู่แข่งมานักต่อนัก แต่ทว่าทางฝั่งของอิตาลีนั้น กลับมีของแสลงของบราซิลอยู่ในทีมพอดีนั่นก็คือตัวของ เปาโล รอสซี่ กองหน้าสไตล์การมุ่งที่ขอแค่ได้บอลในเขตโทษ เขาพร้อมปิดบัญชีทันที

และแน่นอนว่าในเกมนี้ อิตาลีโชว์ของเต็มๆ รอสซี่ ยิงประตูให้อิตาลีนำก่อน 1-0 จากนั้นบราซิลก็ตีเสมอ จากนั้น รอสซี่ ก็ยิงให้ทีมอิตาลีขึ้นนำ บราซิลตามตีเสมอวนอยู่แบบนี้ จนกระทั่งหลังจากที่เกมยังเสมอกันอยู่ 2-2 ก็เกิดเหตุคลาสสิกขึ้น เมื่อตัวของ เปาโล รอสซี่ จัดการยิงแฮททริกให้กับทีมได้ และมันก็เป็นประตูชัยให้กับอิตาลีมีแต้มมากพอในการผ่านเข้ารอบต่อไปได้จนเป็นแชมป์โลกในบั้นปลาย ส่วนบราซิลนั้น “ตกรอบ”

โอเลก ซาเลงโก้ (ทีมชาติรัสเซีย)

ในฟุตบอลโลก 1994 มันมีตำนานการแย่งซีนเกิดขึ้นในนัดที่ทีมชาติรัสเซีย ได้เจอกับทีมชาติแคเมอรูน เพราะนัดนี้ มันมีแฮททริกระดับที่อยู่ในระดับที่เรียกว่า “ขั้นเทพ” เลยทีเดียว นั่นคือการยิงของ โอเลก ซาเลงโก้ ดาวยิงทีมชาติรัสเซีย ที่รัวคนเดียว 5 ประตูในเกมเดียว แต่ไม่น่าเชื่อว่าแม้หมอนี่จะยิงคนเดียวถึง 5 ประตู อันเป็นสถิติสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่คนที่แย่งซีนในเกมนี้คือ โรเจอร์ มิลล่า ดาวยิงทีมชาติแคเมอรูน ที่ตีไข่แตกได้ เพราะมันเป็นการทำสถิติของ มิลล่า ที่แก่สุดในทัวร์นาเมนต์ โดยในนัดดังกล่าว มิลล่า มีอายุมากถึง 42 ปีไปแล้วด้วย

การทำแฮททริก ใครที่สามารถทำได้นั้น มันเรียกว่าเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักฟุตบอลอย่างมากเลยทีเดียว เพราะแค่ว่าการยิงให้ได้สักประตูเดียวนั้นยังยากเลยสำหรับนักเตะบางคน แต่นี่การยิงแฮททริก มันต้องยิงทีเดียว 3 ประตูในนัดเดียว บางครั้งก็มีการทำสถิติอีก ว่าจะต้องยิงแฮททริกในสไตล์ของลีกนี้ แบบนี้ถึงจะสมบูรณ์แบบ เราจะมาดูกันว่ามีแฮททริกแบบไหนที่ยังตราตรึงใจกันอยู่

แกร์รี่ ลินิเกอร์

แกร์รี่ ลินิเกอร์ (ทีมชาติอังกฤษ)

สำหรับนักเตะรายนี้ เรียกว่าเกิดมาเพื่อฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเลยทีเดียว เพราะในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายนั้น เขาทำสกอร์มากถึง 10 ประตูจาก 2 ทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะกับทัวร์นาเมนต์ปี 1986 ที่เจ้าตัวยิง 6 ประตูจนได้รางวัลดาวยิงสูงสุดของรายการ

ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษเจอกับทีมชาติโปแลนด์ ต้องขอบคุณความคมของ ลินิเกอร์ กันเลยทีเดียว เพราะเขายิงคนเดียว 3 ประตูให้กับทีมชาติอังกฤษจนสามารถเก็บสามแต้มได้

แกร์รี่ ลินิเกอร์ (บาร์เซโลน่า)

ห่างกันไม่กี่เดือนเท่านั้น หลังจากที่ลินิเกอร์ตะบันประตูเป็นกอบเป็นกำในฟุตบอลโลก 1986 ด้วยอานิสงส์จากผลงานในฟุตบอลโลก 1986 ทำให้เขาได้ย้ายมาเล่นในลีกสเปนกับสโมสรบาร์เซโลน่า ยอดทีมของลีกสเปน แต่ก็เป็นช่วงที่ บาร์เซโลน่า ไม่ใช่ทีมในระดับที่สามารถเป็นตัวเต็งลุ้นแชมป์ลาลีกาได้เท่าไหร่นัก

สไตรเกอร์รายนี้ มีโอกาสลงเล่นในการแข่งขัน เอล คลาซิโก้ ที่คัมป์นู ซึ่งเป็นการเจอกับ เรอัล มาดริด ยอดทีมที่ครองบัลลังก์ของลีกในยุคนั้น แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกทึ่งก็คือในเกมนี้ ลินิเกอร์ กางมุ้งยิงแฮททริกจนพาทีม บาร์เซโลน่า คว้าชัยชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 เรียกว่าทั้งเกมนั้น ลินิเกอร์ ไม่ต้องทำอะไรมาก รอกางมุ้งในเขตโทษแล้วซัดให้บอลเข้าประตูก็พอ อีกทั้งการทำแฮททริกใส่ทีมอย่างมาดริดได้นั้น ไม่ใช่ว่าทำกันได้ง่ายๆ ยังไงก็ดังแน่นอน

มาร์โก ฟาน บาสเท่น (ทีมชาติฮอลแลนด์)

ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1988 ทีมชาติฮอลแลนด์ได้วางตัวของ รุด กุลลิท เป็นกองหน้าตัวหลักในระบบ 4-3-3 แต่เผอิญว่ามัน “ไม่เวิร์ค” จนสุดท้ายนั้น ไรนุส มิเชลล์ ต้องหันมาใช้งาน มาร์โก ฟาน บาสเทน กองหน้าที่ตอนแรกนั้นบาดเจ็บมาก่อนทัวร์นาเมนต์ เลยมีชื่อเป็นตัวสำรอง แต่ว่าในเกมกับทีมชาติอังกฤษนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องซี้ดซ้าดก็คือ “แฮททริก” และมันเกิดจากการยิงแฮททริกของเพชฌฆาตพรายกระซิบรายนี้ด้วยนั่นเอง

และด้วยการตะบันประตูของเขา ฟาน บาสเท่น ก็สามารถพาทีมทะลุเข้ารอบต่อไปได้จนได้แชมป์ในบั้นปลายด้วยลูกยิงใบไม้ร่วงในตำนานนั่นเอง

ริวัลโด้ (บาร์เซโลน่า)

ในการแข่งขันนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2000-01 ของลาลีกา ในนัดนี้ บาร์เซโลน่า จะต้องเก็บ “3 แต้ม” ให้ได้เท่านั้นในการเจอกับ บาเลนเซีย “ที่ต้องการ 3 แต้ม” ด้วยเหมือนกัน โดยมีเป้าหมายเหมือนกันคือการคว้าพื้นที่ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้าให้ได้

แน่นอนว่าในเกมนี้ บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายได้ประตูนำก่อนจากการยิงไกลนอกเขตโทษสุดสวยของ ริวัลโด้ สตาร์ ปีกซ้ายชาวบราซิลที่ยิงเข้าไปให้ บาร์ซ่า ออกนำไปก่อน แต่จากนั้น บาเลนเซีย ก็ตามตีเสมอได้สำเร็จ

หลังจากนั้น บาร์เซโลน่า ก็ได้ประตูกลับมานำอีกรอบจากฟรีคิกของ ริวัลโด้ เจ้าเก่า แต่ว่าทาง บาร์เซโลน่า ก็ซวยจัด มาโดนทีม บาเลนเซีย ตีเสมอได้อีกครั้ง และเวลาก็เข้าสู่ช่วงนาทีที่ 89 แล้ว ถ้าหากว่าเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 บาเลนเซีย ที่ได้เปรียบจากการแข่งขันคู่อื่นนั้นจะได้เปรียบและได้พื้นที่อันดับ 4 เพื่อไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกทันที

วินาทีนั้นก็เกิดวินาทีปาฏิหาริย์ขึ้นมา เมื่อตัวของ ริวัลโด้ คนเดิม จากการเปิดบอลเข้ามาให้ของ แฟรงค์ เดอ บัวร์ เข้าจัดการตีลังกายิงด้วยลูกยิงโอเวอร์เฮด ส่งบอลพุ่งเลี้ยวเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสวยงาม กลายเป็นประตูชัยให้ บาร์เซโลน่า คว้าชัยชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 เก็บสามคะแนนได้สำเร็จและได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกรอบคัดเลือกจากแฮททริกของ ริวัลโด้

ซินิซ่า มิไฮโลวิช (ลาซิโอ้)

เกมนัดประวัติศาสตร์เลยทีเดียวสำหรับตัวของ ซินิซ่า มิไฮโลวิช กองหลังชาวเซิร์ชที่ได้สร้างตำนานแฮททริกประวัติศาสตร์เอาไว้ในเกมเซเรียอาฤดูกาล 1999-00 โดยในเกมนี้ ลาซิโอ้ เจอกับทีม ซามพ์โดเรีย อันเป็นสโมสรเก่าของ มิไฮโลวิช ด้วยพอดี

ในเกมนี้ ลาซิโอ้ ได้ประตูถล่มทลาย 5-3 เลยทีเดียว โดย 3 ใน 5 ประตูที่ ลาซิโอ้ ได้ไปนั้น มันมาจากการยิงคนเดียว 3 ประตูของ มิไฮโลวิช ที่เป็น “กองหลัง” อีกด้วย

แต่มันเป็นสิ่งที่พิเศษใส่ไข่อย่างมากเลยทีเดียว เมื่อการทำแฮททริกของ มิไฮโลวิช มันเกิดจากการสังหารด้วยฟรีคิกสุดสวยทั้งสามลูกเลยทีเดียว นั่นเลยทำให้ มิไฮโลวิช เป็นนักเตะคนแรกที่สามารถทำแฮททริกด้วยฟรีคิกล้วนๆ และมันก็ยังเป็นตำนานให้แฟนบอลยุค 90 ได้จดจำกันมาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว

ซินิซ่า มิไฮโลวิช