เวลานี้ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลายคนจับตามองแค่ทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เชลซี ในการเบียดลุ้นแชมป์กันอย่างสนุกสนาน ทว่าลืมอะไรไปบางอย่างหรือเปล่ากับการค่อย ๆ มาแบบเงียบ ๆ ของพลพรรค อาร์เซน่อล ที่เกมล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาพวกเขาเปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ไล่ถล่มเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบหมดสภาพ 3-1 ทำให้สามารถเก็บชัยชนะได้ 10 นัดติดต่อกันในทุกรายการ เรียกว่าฟอร์มกำลังเข้าฝักสุด ๆ
โดยนักเตะที่ต้องบอกว่ากลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวรุกของปืนใหญ่เวลานี้คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก เมซุต โอซิล อดีตเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเยอรมันที่ตอนศึกฟุตบอลโลก 2018 เขากลายเป็นแพะรับบาปจากการตกรอบแรกของขุนพล “อินทรีเหล็ก” ในฐานะแชมป์เก่า ในช่วงแรก ๆ ที่ อูไน เอเมรี่ กุนซือคนใหม่ของอาร์เซน่อลเข้ามาคุมทีม แอบมีข่าวแว่ว ๆ ออกมาว่าแฟนบอลต้องการให้โละ โอซิล ออกจากทีมแล้วหามิดฟิลด์รายใหม่เข้ามาเสริมทัพ ทว่าอดีตกุนซือเปแอสเชเชื่อว่าดาวเตะรายนี้จะยังทำประโยชน์ให้กับทีมได้อย่างมหาศาลและจะกลับมาเป็นยอดมิดฟิลด์ของโลกได้อีกครั้ง
ความเชื่อมั่นของ เอเมรี่ ค่อย ๆ สัมฤทธิ์ผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ โอซิล ลืมเรื่องราวจากฟุตบอลโลกอันแสนโหดร้ายที่รัสเซียแล้วค่อย ๆ กลับมาพัฒนาฟอร์มการเล่นของตนเองในฐานะดาวเตะความหวังของสโมสรได้อย่างน่าภูมิใจ ยิ่งเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาต้องบอกเลยว่านี่แหละพระเอกตัวจริง ทั้งยิง ทั้งจ่าย แถมตลอดทั้งเกมยังเป็นตัวกลางในการทำเกมรุกให้กับทีมด้วย
จุดเด่นของ โอซิล ทุกคนรู้ดีว่าเขามีการวางบอลอันแสนแม่นยำราวจับวาง มีจังหวะการจ่ายแบบคิลเลอร์พาสสวย ๆ สายตาเขาดุจเหยี่ยวที่มองหาว่ามีเพื่อนร่วมทีมคนไหนเหมาะกับการจ่ายบอลออกจากเท้าเขามากที่สุด ในช่วงเวลาพีค ๆ เขานี่แหละจัดเป็นเพลย์เมกเกอร์ลำดับต้น ๆ ของโลก ลีลาอาจไม่ต้องแพรวพราวเหมือนคนอื่น ๆ แต่ด้วยความแข็งบวกกับทักษะที่มีนี่แหละเป็นความสุดยอดของเจ้าตัว
ไม่แน่ว่าหากปีนี้อาร์เซน่อลได้ลุ้นแชมป์ขึ้นมาจริง ๆ คนที่แฟนบอลต้องขอบคุณคือ อูไน เอเมรี่ ที่ยังคงยอมเก็บ โอซิล เอาไว้และตัวนักเตะเองที่แสดงออกมาให้แฟนบอลได้เห็นว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพร้อม ฟอร์มการเล่นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของดาวเตะตาโปนผู้นี้เองโดยไม่ต้องตอบคำถามใด ๆ
