โรนัลโด้ กับ เมสซี่ สองสตาร์ที่ยังไม่มีใครมาแทน

ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง โรนัลโด้ กับ เมสซี่ สองสตาร์ที่ยังไม่มีใครมาแทนที่พวกเขาได้

สองแข้งระดับโลกที่ผู้ชมทั้งโลกต่างยอมรับในความสามารถของพวกเขาทั้งสองคน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ชายผู้ที่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้กับความสามารถของตัวเองเขายังคงฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อก้าวขีดความสามารถของตัวเองจนขึ้นชื่อว่าเป็น ราชาแห่งวงการฟุตบอล ส่วนอีกหนึ่งแข้งที่เบียดแย่งตำแหน่งความเป็นหนึ่งด้วยกันในยุคปัจจุบันมาตลอดก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวเป็นเลิศเมื่อไหร่ก็ตามที่บอลอยู่ในเท้าของเขาน้อยคนที่จะสามารถแย่งมันไปจากเขาได้จนทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลกพร้อมกับตั้งฉายาให้กับเขาว่า เจ้าหนูมหัศจรรย์ แต่ในปัจจุบันหลายๆคนต่างพากันเรียก เมสซี่ ว่า “มนุษย์ต่างดาว” เนื่องจากฝีเท้าของเขาเหนือมนุษย์มนาทั่วไปแล้วทั้งสกิลและเซนส์ในการส่งบอลหรือการทำประตูเรียกได้ว่าทำเอาผู้รักษาประตูและแนวรับของศัตรูฝั่งตรงข้ามหัวหมุนไปตามๆกัน ในปัจจุบันปี 2020 ทั้งคู่ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของวงการลูกหนังที่ยังไมมีใครจะมาเทียบเคียงกับความสามารถของพวกเขาได้ อาจจะมีหลายๆนักเตะรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนี้แต่ตราบใดที่ยังมี โรนัลโด้ และ เมสซี่ ยืนอยู่บนสังเวียนคิดว่าคงไม่มีใครที่จะมาเบียดเอาตำแหน่งเบอร์หนึ่งไปได้และวันนี้ ซอคเกิ้ลบอล ขอพาท่านย้อนกลับไปเจาะอดีตความสำเร็จของทั้งสองแข้งที่กำลังจะกลายมาเป็นตำนานนักเตะที่เก่งกาจที่สุดในโลก

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงสัญชาติโปรตุเกสเขาเกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1985 ชื่อเต็มๆของเข้าคือ Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro ปัจจุบันอายุของเขาปาเข้าไป 35 ปีแล้วแต่ยังคงฉายฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและสร้างสถิติใหม่ๆให้กับวงการฟุตบอลอยู่เสมอล่าสุดทีมที่เข้าเล่นให้อยู่ ณ ตอนนี้ปี 2020 คือสโมสรฟุตบอล ยูเวนุตส ทีมฟุตบอลที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในศึกฟุตบอล กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี นอกจากนั้นเขายังเป็นห้องเครื่องคนสำคัญของทีมชาติโปรตุเกสและยังเป็นกัปตันทีมอีกด้วยสถิติในทีมชาติของเขาคือการเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโปรตุเกสและเล่นให้กับทีมชาติเกิน 100 นัดซึ่งมีแค่สามคนเท่านั้นที่เคยทำสถิตินี้ได้โดยในปี 2003 โรนัลโด้ ประเดิมเกมระดับทีมชาติเป็นครั้งแรกและหลังจากนั้นเขาก็เป็นนักเตะคนสำคัญของทีมชาติมาโดยตลอดเขาสามารถยิงประตูให้กับทีมชาติเป็นประตูแรกได้ในการเจอกับทีมชาติกรีซ ศึกฟุตบอลยูโร 2004 และหลังจากนั้นเขาก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในราการฟุตบอลยูโรปี 2004 ในปี 2008 โรนัลโด้ ขยับขึ้นมาสวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมและพาทีมผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศในสังเวียน ยูโร 2008 เขาลงเล่นให้กับทีมครบหนึ่งร้อยนัดในปี 2012 ซึ่งเป็นแมตช์ที่เจอกับ ไอร์แลนด์เหนือ แต่จริงๆแล้วกว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จมาได้นั้นต้องก้าวผ่านความยากลำบากมาอย่างมากมายเพราะ โรนัลโด้ ไม่ใช่ชายที่เกิดมาพร้อมกับเงินแต่เขาเติบโตมากับครอบครัวที่ยากจนและเขาก็เป็นน้องคนสุดท้องของครอบครัว เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 6 ขวบเขามักจะวนเวียนเล่นสนามตามข้างถนนในย่านที่พวกเขาอาศัยอยู่คือ ย่านกิงตาดูฟัลเซา เขตซังตูอังตอนียูของเมืองฟุงชาล เป็นชุมชนที่มีผู้คนที่ยากไร้และอับจนกันเป็นจำนวนมากแต่เขาก็ไม่เคยที่จะลดละความพยายามในการทำสิ่งที่ตัวเองรักก็คือการเล่นฟุตบอล ในปี พศ.2538 โรนัลโด้ เข้าร่วมกับทีมนาซียูนัล หรือ นาซิอองนาล โดยมีค่าตัวคือชุดกีฬาและลูกฟุตบอล เมื่ออายุเขาได้ 8 ขวบ Cristiano Ronaldo ลงเล่นให้กับสโมสร อังดูรีญา สโมสรที่มีพ่อของเข้าเป็นผู้จัดการทีม ต่อมาในปี 1995 เขาก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมฟุตบอลท้องถิ่นกับสโมสร ซีดี นาซิอองนาล อย่างเต็มตัวและใช้เวลาฝึกปรืออยู่กับทีมนาน 5 ปีก่อนที่จะถูกทางฝั่งของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน สโมสรยักษ์ใหญ่ในโปรตุเกสดึงตัวไปร่วมทีมหลังจากนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จในการย้ายไปอยู่กับ ลิสบอน จนเขาอายุได้ 17 ปีซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงฤดูกาล 2002 เขาลงเล่นในตำแหน่งแนวรุกและทำได้ดีมากๆจนมีเสียงตอบรับจากแฟนบอลทั่วโลกว่าเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมและมีอนาคตไกล จนทำให้ เซอร์ อเล็กซ์เฟอร์กูสัน สุดยอดกุนซือชื่อดังของสโมสร ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซื้อตั๋วบินตรงมายังลิสบอนเพื่อทำข้อเสนอในการขอซื้อโรนัลโด้ไปร่วมทีมข้อเสนอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

และการเดินทางครั้งใหม่นี้ก็เป็นการจุดประกายที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงและกลายมาเป็นสุดยอดนักเตะของโลก โรนัลโด้ ทิ้งทวนในการเล่นให้กับลิสบอนเอาไว้ด้วยการลงสนามไป 31 นัดซัดไป 5 ประตู และเขาก็ย้ายไปอยู่กับ แมนฯยู ด้วยข้อเสนอค่าตัวที่ 12.24 ล้านปอนด์ เขาออกสตาร์ทฤดูกาลแรกให้กับ ปีศาจแดง ด้วยการซัดไป 8 ประตูจาก 39 นัด และเขายังได้รับรางวัลเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรในปีแรกที่ย้ายเข้ามา ในปี 2007 เขาก็มาได้รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของอังกฤษและเป็นนักเตะคนที่สองของประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลนี้ไปครองโดยก่อนหน้านี้มีแค่ แอนดี เกรย์ ที่เคยทำเอาไว้ได้ในปี 1977 หรือเมื่อ 30 ปีก่อนนั่นเอง โรนัลโด้ ประสบความสำเร็จในการเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอย่างมากจนทำให้เขากลายเป็นแข้งซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกในช่วงแค่ไม่กี่ปีที่ย้ายมาอยู่หลังจากนั้นในฤดูกาล 2009 สโมสรยักษ์ใหญ่ในสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ยอมทุ่มเงินจำนวน 80 ล้านปอนด์เพื่อขอซื้อดาวยิงโปรตุเกสไปร่วมทีม ด้วยจุดอิ่มตัวของโรนัลโด้ที่มีให้กับสโมสร แมนฯยูไนเต็ด แล้วเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะย้ายไปร่วมงานที่ ซานติเอโก้ เบนาร์บิว พร้อมกันนั้นเขายังเป็นนักเตะที่ทำลายสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกอีกด้วย โดยสถิติที่เข้าทิ้งทวนเอาไว้ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็คือ 299 นัดกับการซัดไป 118 ประตู

โรนัลโด้ กับการเติบโตที่สเปน ในวันที่ 26 มิถุนยน 2009 ราชันชุดขาว ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขานั้นได้คว้าตัวนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในตอนนั้นมาร่วมทีมเป็นที่เรียบร้อยโดยที่ โรนัลโด้ จะได้สวมเสื้อหมายเลข 9 แม้ว่าในอดีตตอนที่อยู่กับ แมนฯยู เขาจะได้สวมหมายเลข 7 มาตลอดก็ตามแต่ภายหลังเขาก็ย้ายกลับมาใส่หมายเลข 7 เหมือนเดิมจนกลายเป็นที่มาของฉายาว่า CR7 ซึ่งเป็นเบอร์หลักประจำตัวของเขาในฤดูกาลแรกของการย้ายเข้ามา โรนัลโด้ ก็คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของ ลาลีก้า สเปน ได้เลยโดยที่เขาได้ลงเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ไป 35 นัดในฤดูกาลแรกซัดไป 33 ประตู โดยเขามักจะถูกสลับตำแหน่งให้เล่นระหว่างปีกขวาและกองหน้า ในปี 2010 หรือฤดูกาลที่ 2 มาดริด ได้คว้าตัวกุนซือชื่อดังอย่าง โจเซ่ มูรินโญ่ มาร่วมงานซึ่งความสัมพันธ์ของโรนัลโด้ก็เป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อพวกเขาก็มาจากโปรตุเกสเหมือนกันความทะเยอทะยานของ โรนัลโด้ ทำให้ตัวเขาทำลายสถิติใหม่ๆให้กับวงการลูกหนังมาตลอดเขาเกือบจะเป็นนักเตะคนแรกที่ทำซุปเปอร์แฮตทริก ในนัดที่เจอกับ เลบานเต้ การแข่งขันฟุตบอลถ้วยโคปาเดลเรย์โดยที่เขายิงไป 5 ประตูคนเดียวตามด้วย คาริม เบนเซม่า อีก 3 ประตูโดยในเกมนั้น เรอัล มาดริด เอาชนะ เลบานเต้ ไป 8-0 โรนัลโด้พาสโมสรราชันชุดขาวประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่หลายต่อหลายครั้งทั้งรายการลีกและรายการใหญ่ในศึกฟุตบอลถ้วยยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยิ่งทำให้ชื่อเสี่ยงของเขาดังกระจายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อนโดยในที่สุด โรนัลโด้ ก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมกับสโมสรชื่อดังในอิตาลีอย่าง ยูเวนตุส ในช่วงฤดูกาล 2018-2019 ปิดฉาก 10 ปีที่ เบนาร์บิว

สรุปความสำเร็จของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

เกรียติประวัติ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

ลิโอเนล เมสซี่ เจ้าหนูมหัศจรรย์ฉายาที่เข้าวงการใหม่ๆแต่ในปัจจุบันเขาถูกขนานนามใหม่ว่าเป็น มนุษย์ต่างดาว เขาเป็นนักฟุตบอลที่มีสายเลือดมาจากประเทศ อาร์เจนติน่า แม้ว่าอีกสัญชาติหนึ่งของเขาจะเป็นสเปนก็ตามแต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะเล่นให้กับทีมชาติฟ้า-ขาว เขาเกิดและโตที่ประเทศอาร์เจนติน่า เขาเกิดในวันที่ 24 มิถุนายน 1987 และเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบในช่วงปี 1998 เขาได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรในบ้านเกิดคือ นิวเวลส์โอลด์บอยส์และลงเล่นให้กับทีมแห่งนี้นานถึง 6 ปีด้วยกันเมื่ออายุเขาได้ 10 ปี เมสซี่ เกิดวิกฤติครั้งใหญ่เมื่อเขาถูกตรวจพบว่ามีอาการขาดฮอร์โมนการเจริญเติมโตจนทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานแต่เนื่องจากสิทธิ์รักษาค่าพยาบาลของเขากลับไม่เพียงพอต่อการรักษาทำซึ่งตามสัญญาแล้วเขารักษาตัวได้แค่ระยะเวลา 2 ปีเท่านั้นซึ่งส่งผลกระทบต่อการหารายได้ในครอบครัวตามมาและเป็นช่วงเวลาที่ประเทศอาร์เจนติน่าก็เข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในตอนแรกทางสโมสรต้นสังกัดของเขายินดีที่จะช่วยในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลแต่ทำไปทำมากับไม่สามารถทำได้เนื่องจากวิกฤติปัญหาใหญ่ของประเทศรวมไปถึง ริเวอร์เพลท สโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศอาร์เจติน่าจะให้ความสนใจที่จะคว้าตัวเขาไปร่วมทีมแต่กับไม่มีค่ารักษาพยาบาลให้กับเขาเพราะรวมๆแล้วเงินที่เมสซี่ใช้รักษาพยาบาลต่อเดือนนั้นไปต่ำกว่า 900 เหรียญสหรัฐ แต่ในความลำบากของเขาก็นำไปสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เมื่อทางฝ่ายญาติของ เจ้าหนูอัจฉริยะได้ทำการส่งคลิปที่เคยอัดไว้ตอนเมสซี่เล่นฟุตบอล ส่งให้กับสโมสรชื่อดังในแคว้นคาตาลุญญ่าอย่าง บาร์เซโลน่า หลักจากนั้นเขาก็ได้มาโชว์ความสามารถให้กับ การ์เลส ราชัก ผู้บริหารทางด้านกีฬาของเจ้าบุญทุ่ม และได้เห็นถึงแววของเมสซี่จึงตัดสินใจที่จะทำข้อตกลงขอให้ดาวยิงอาร์เจนไตน์ย้ายมาอยู่กับสโมสรโดยที่เขาพร้อมที่จะจ่ายค่ารักษาให้กับ เมสซี่ ทุกบาททุกสตางค์และหลังจากนั้นการเดินทางของตำนานนักฟุตบอลระดับโลกก็เกิดขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2001 เมสซี่ และครอบครัวได้ย้ายเข้ามาอยู่ในยุโรปกับสโมสร บาร์เซโลน่า และเขาก็เล่นฟุตบอลให้กับบาร์ซ่าตั้งแต่อายุได้ 13 โดยการเล่นอยู่ในทีมชุดเยาวชน เมสซี่ รักษาอาการขาดฮอร์โมนได้ในช่วงอายุ 14 ปีพอดีและเขาก็เริ่มได้ลงสนามลงแข่งขันจริงกับชุดผู้เล่นเยาวชนพร้อมทั้งสร้างชื่อเสียงได้ตั้งแต่เขาอายุ 14 โดยในฤดูกาลแรกที่เขาลงเล่นให้กับชุดเยาวชน เมสซี่ ซัดไปทั้งสิ้น 36 ประตูจาก 30 นัดและเป็นนักเตะชุดเยาวชนของ บาร์ซ่า ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ นักเตะที่อยู่ในยุคเดียวกันและกลายมาเป็นนักเตะชื่อดังของวงการฟุตบอลอังกฤษก็มี ฌาราร์ต ปิเก และ เซสก์ ซาเบรกัส สองแข้งสเปนที่เล่นอยู่ในชุดเยาวชนของ บาร์ซ่า มาด้วยกัน ต่อมา เมสซี่ ก็สามารถขยับขึ้นมาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ได้ในปี 2003-04 ซึ่งเขาพึ่งจะมีอายุได้เพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น เมสซี่ ถูกจัดให้เป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมมาโดยตลอดและแมตช์ทางการของเขาในระดับทีมชุดใหญ่คือการลงสนามดวลกับทาง ปอร์โต้ ในฟุตบอลอุ่นเครื่องปี 2003 เขาได้รับโอกาสในการให้เข้าฝึกกับทีมชุดใหญ่สัปดาห์ละหนึ่งครั้งและยังได้พบเจอกับนักเตะชื่อดังมากมายโดย 1 ในนั้นมีคำชมสวนกลับมาว่าเขาเชื่อว่า เมสซี่ จะเป็นนักเตะที่ดีกว่าเขาแน่นอนและนักฟุตบอลคนนั้นที่พูดคำนี้ออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนสุดยอดตำนานแข่งบราซิล โรนัลดิลโญ่ นั่นเอง เขาเริ่มมาเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ได้เมื่อปี 2004 โดยที่ ฟรังก์ ไรการ์ด กุยซือของทีมชุดใหญ่ได้ตัดสินใจขยับ โรนัลดิลโญ่ ให้เป็นเล่นปีกแทน เมสซี่ มีพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับตัวเขาสามารถยิงประตูท้ายซ้ายได้ในทุกๆพื่นที่ทำให้สาเหตุนี้ที่เขาได้ถูกเรียกว่าเป็น มนุษย์ต่างดาว และเมื่อเขาอายุได้ 18 ก็ได้ข้อเสนอเซ็นสัญญาอยู่กับ บาร์ซ่า อย่างเต็มตัวและเป็นสัญญาที่ยาวนานตั้งแต่ปี 2005 ไปจนถึงปี 2012 และหากใครคิดจะมาดึงตัวเมสซี่ไปร่วมทีมละก็ต้องเสียค่าฉีกสัญญาให้กับ บาร์ซ่า จำนวนมหาศาลถึง 150 ล้านปอนด์ในตอนนั้นซึ่งถือว่าแพงมากๆแต่ด้วยทักษะของเขาบวกกับคุณภาพจัดว่าเหมาะสมกับราคาที่ทางบาร์ซ่าตั้งไว้แต่แม้ว่าจะมีค่าตัวสูงขนาดไหนก็ยังมีสโมสรต่างๆมากมายที่ให้ความสนใจอยากรับเขาไปอยู่ด้วยอยู่ดี แต่สุดท้ายแล้ว เมสซี่ ไม่เลือกไปจากทีมที่ช่วยชีวิตเขาขึ้นมาในตอนที่ลำบากนอกจากนั้นเขายังพาสโมสรประสบความสำเร็จต่างๆนาๆรวมถึงรางวัลส่วนตัวที่ได้รับมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ในปี 2006-07 เจ้ามนุษย์ต่างดาวเริ่มลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องโดยในฤดูกาลนั้นเขาสามารถทำประตูไปได้มากถึง 14 ประตูจาก 16 นัดและยังถูกส่งชื่อไปให้ชิงรางวัลอันทรงเกรียติอย่าง บัลลงค์ดอร์ อีกด้วยและเสียงโหวดที่ส่งมาให้เขาทำให้เขาติดอยู่ในอันดับ 20 สถิติที่น่าสนใจของเมสซี่ก็คือการทำแฮตทริกให้เกมเอลกลาชิโอหรือบิ๊กแมตช์ของลาลีก้าสเปน บาร์ซ่า ปะทะ เรอัลมาดริด เข้ายิงไป 3 ประตูทำแฮตทริกให้กับทีมและถูกจารึกว่าเป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้ในการยิงแฮตทริกในเกมเดือดของสเปน โดยที่ตอนนั้นเขาพึ่งจะอายุได้เพียง 19 ปีเท่านั้น สไตล์การเล่นอันชาญฉลาดของเขาบวกกับฝีเท้าที่นิ่งและแม่นยำทำให้ผู้คนขนาดนามให้เขาเป็นเสมือนดั่ง มาราดอนน่า 2 ตำนานนักเตะชื่อดังของอาร์เจนติน่าที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกผ่านมาอีกแค่ 1 ฤดูกาล เมสซี่ ถูกส่งชื่อเขาชิงรางวัล บัลลงดอร์ อีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาจบเสียงโหวดในอันดับที่ 3 เพียงปีเดียวเขาก็ขยับอันดับขึ้นมาได้มากขนาดนี้หลายๆคนคงรู้ซึ้งถึงความสามารถของเขาดีแล้วอย่างแน่นอน ในปี 2008 วันที่ 1 ตุลาคม Messi ได้โอกาสสวมเสื้อหมายเลข 10 ต่อจาก โรนัลดิลโญ่ ที่ได้อำลาออกจากสโมสร บาร์เซโลน่า และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเบอร์ 10 กลายมาเป็นเบอร์เสื้อประจำของเมสซี่ตลอดกาล จนกระทั่งในปี 2009 เมสซี่ เข้ารับชิงรางวัลบัลลงดอร์อีกปีแต่ครั้งนี้เขาทำสำเร็จเมสซี่ ได้รับคะแนนโหวดเป็นจำนวนมากถึง 473 คะแนนแซงหน้านักเตะอันดับ 2 อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ได้คะแนนไปเพียง 233 คะแนนจัดว่าเป็นประวัติศาสตร์ทีมีคะแนนห่างกันมากมายขนาดนี้สรุปแล้วตั้งแต่อาชีพการค้าแข้งมาของเขาเจ้าตัวได้รางวัลบัลลงดอร์มาแล้ว 5 สมัยด้วยกันนับว่าเป็นสถิติที่ทำได้ยากมากๆเพราะรางวัลใหญ่นี้เป็นรางวัลอันเชิดชูเกรียติสูงสุดของวงการฟุตบอล ไม่แปลกใจที่ทำไมถึงยังไม่มีใครขึ้นมาเทียบเคียงของเขาได้ ด้วยความสามารถพิเศษบวกกับการฝึกฝนอย่างหนักของเขาก็ทำให้เขาได้กลายมาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่ง

เกรียติประวัติของ ลิโอเนล เมสซี่

เกรียติประวัติ ลิโอเล เมสซี่

เกรียติประวัติ ลิโอเล เมสซี่ 2