มหาเทพเวลเบ็ค ศูนย์หน้าปืนใหญ่ แดนนี่ เวลเบ็ค (Danny Welbeck)

มหาเทพเวลเบ็ค ศูนย์หน้าปืนใหญ่

เดเนียล นีล แท็คกี่ เมนซ่า เวลเบ็ค (เกิดวันที่ 26 พฤศจิกายน 1990) เป็นนักฟุตบอลมืออาชีพชาวอังกฤษ ที่ปัจจุบันสังกัดสโมสร อาร์เซน่อล ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษด้วย ตำแหน่งของเขานั้นคือตำแหน่งศูนย์หน้า แต่ก็สามารถโยกไปเล่นในตำแหน่งปีกได้อีกด้วย

เวลเบ็ค เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลจากระดับเยาวชนของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะแจ้งเกิดขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ในปี 2008 โดยในปีแรกของเขา เขานั้นก็ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีก คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิล์ด คัพ ได้ทันที ก่อนที่จะถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับสโมสร เปรสตัน นอร์ทเอน และ ซันเดอร์แลนด์ ตามลำดับ จนกระทั่งปี 2011-12 เขาก็ขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวให้ไปอยู่กับทีม อาร์เซน่อล ในเดือนกันยายน ปี 2014 ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์

เขาลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ปี 2011 ในเกมกระชับมิตรกับ กาน่า ซึ่งจบลงด้วยการเสมอกันไป 1 ประตูต่อ 1 และนัดที่สองเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2012 ช่วยให้อังกฤษ เอาชนะ เบลเยี่ยม ไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ปัจจุบัน เวลเบ็ค ลงเล่นรับใช้ชาติมาแล้วมากกว่า 30 นัด เป็นหนึ่งในชุดยูโร 2012 และ ฟุตบอลโลกปี 2014 ด้วย

ระดับสโมสร ช่วงแรกของการค้าแข้ง

ระดับสโมสร ช่วงแรกของการค้าแข้ง

เขากำเนิด ณ เมือง ลองไซต์ แมนเชสเตอร์ มีพ่อแม่เป็นชาวกาน่า เวลเบ็ค ได้เข้าไปอยู่ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียงแค่ 6 ปี เท่านั้น และได้เข้าไปในอะคาเดเมี่ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นจริงๆจังๆ เมื่อตอน 8 ขวบ เขาได้ลงสนามให้กับทีมครั้งแรกในฤดูกาล 2005-06 ในชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี ในวันที่ 8 เมษายน 2006 ซึ่งต้องปะทะกับ ซันเดอร์แลนด์ นัดต่อมาเขาก็ได้ลงเล่นอีกครั้งในฐานะตัวสำรอง ฤดูกาลถัดไป เขาเริ่มได้รับโอกาสมากขึ้น เพราะได้ลงเล่นไปทั้งหมด 28 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 9 ประตู โดยแบ่งเป็น 8 เกม กับอีก 1 ประตู ที่เขาได้ลงเล่นในศึกเอฟเอ คัพ ระดับเยาวชน จนสามารถช่วยให้ทีมเข้าไปได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะมีอายุน้อยกว่าคนอื่นๆในทีมถึง 2 ปี ด้วยกัน

เวลเบ็ค เซ็นต์สัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 2007 และได้ลงเล่นในทีมชุดต่ำกว่า 18 ปีอีกครั้งในฤดูกาล 2007-08 ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วและได้เลื่อนขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดสำรองของสโมสร ได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง หลังจากนั้นในเดือนมกราคม 2008 เขาได้ถูกเรียกขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก โดยได้บินไปช่วยทีมที่ประเทศซาอุดิอาราเบีย เพื่อลงเล่นเกมการกุศลกับทีม อัล-ฮิลัล สำหรับการได้ลงเล่นในเกมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกของเขา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มกราคม ปี 2008 ลงเป็นตัวสำรองในนาที 65 แทนที่ของ แอนเดอร์สัน โดยเขามีโอกาสที่จะทำประตูให้กับทีมได้ในทันที หลังจากเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ แต่สุดท้ายกับยิงจุดโทษข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

เขาเริ่มมีชื่อในทีมชุดใหญ่มากขึ้นในฤดูกาล 2007-08 และได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกกับทีมในวันที่ 23 กันยายน 2008 ช่วยให้ทีมเอาชนะ มิดเดิลสโบรห์ ไปได้ 3 ประตูต่อ 1 ในเกมลีกคัพ และการลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก ครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2008 ลงเล่นแทน ปาร์ค จี ซอง ในนาทีที่ 63 ซึ่งเป็นเกมที่เจอกับ สโต๊ค ซิตี้ ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้จากระยะไกล 30 หลา ได้อีกด้วย เป็นประตูที่ 4 จากทั้งหมด 5 ประตูที่ทีมทำได้ วันที่ 1 มีนาคม 2009 เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ ด้วย ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไปได้จากการดวลจุดโทษ เอาชนะไป 4 ประตูต่อ 1 หลังจากเสมอกัน 0 ประตูต่อ 0 ในเกมการแข่งขันปกติ

วันที่ 23 กันยายน 2009 เวลเบ็ค สามารถทำประตูแรกของเขาในฤดูกาล 2009-10 ได้เป็นครั้งแรก โดยเป็นประตูเดียวของเกมด้วย ช่วยให้ทีมเอาชนะ วูล์ฟแฮมตัน ไปได้ในเกมลีก คัพ รอบที่สาม เวลเบ็ค ได้ลงเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน 2009 ในเกมที่สโมสรแพ้ให้กับ เบซิคตัส ไป 1 ประตูต่อ 0 โดยในเดือนต่อมา เขาได้รับการขยายสัญญาเพิ่มเติมกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้สามารถเล่นให้กับทีมได้ถึงปี 2013

เปรสตัน นอร์ท เอน (ยืมตัว)

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2010 เวลเบ็ค กลายเป็นนักเตะรายแรกของ กุนซือทีม เปรสตัน นอร์ท เอน ซึ่งเขาเป็นลูกชายแท้ๆของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วย นั้นก็คือ ดาร์เรน เฟอร์กูสัน โดยเป็นการขอยืมตัวมาเล่นให้กับทีมเป็นเวลา 1 ฤดูกาล คือในฤดูกาล 2009-10 แต่น่าเสียดายที่เขานั้นใช้เวลาส่วนใหญ่กับการพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ และทำได้เพียงแค่ซ้อมเบาๆเท่านั้น ทำให้การย้ายทีมถูกยุติลงในเวลาอันสั้น เขาต้องกลับมาพักรักษาตัวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง ในวันที่ 16 มีนาคม

ซันเดอร์แลนด์ (ยืมตัว)

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2010 เวลเบ็ค กลายเป็นการเสริมทัพรายที่ 8 ของ สตีฟ บรูซ ย้ายมาเล่นแบบยืมตัวให้กับ ซันเดอร์แลนด์ ตลอดฤดูกาล 2010-11 โดยเขาได้เปิดตัวเกมแรกกับ ซันเดอร์แลนด์ ในวันที่ 14 สิงหาคม ลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 83 ลงมาแทน ดาร์เรน เบนท์ ในเกมที่เสมอกับ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ไป 2 ประตูต่อ 2 วันที่ 14 พฤศจิกายน เวลเบ็ค ทำประตูแรกให้กับทีม ซันเดอร์แลนด์ ได้สำเร็จ ช่วยให้ทีมเอาชนะ เชลซี ไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย 3 ประตูต่อ 0 ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ 8 วันต่อมา เขาก็ทำประตูได้อีกครั้ง ในเกมเหย้าของ ซันเดอร์แลนด์ ช่วยให้ทีมยันเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ไปได้ 2 ประตูต่อ 2

เวลเบ็ค ทำประตูได้อีกครั้งในวันที่ 18 ธันวาคม 2010 ช่วยให้ทีมเอาชนะ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ ไปได้ และต่อด้วยอีกประตูในวันที่ 1 มกราคม 2011 ช่วยให้ ซันเดอร์แลนด์ เอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 โดยตลอดเวลากับ ซันเดอร์แลนด์ ผลงานของเขาเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมากๆ จนสามารถก้าวขึ้นมาติดทีมชาติอังกฤษได้ด้วย แต่สุดท้ายแล้ว ในวันที่ 5 มกราคม 2011 เขาลงเล่นเจอกับ แอสตัน วิลล่า แต่ดันโชคร้ายได้รับอาการบาดเจ็บ ทำให้ต้องพักถึง 8 สัปดาห์ เลยทีเดียว เขากลับมาลงเล่นได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2011 ในเกมที่ยันเสมอ อาร์เซน่อล ไปแบบไร้สกอร์ โดยเขาได้ลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 68 แทนที่ของ สตีด มัลบล็องต์ โดยเกมนัดนี้ เขาเกือบจะทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ในช่วงท้ายของเกมได้แล้ว แต่ก็ถูกปฎิเสธโดยผู้รักษาประตูของ อาร์เซน่อล ได้แก่ วสเซียค เชสนีย์ วันที่ 23 เมษายน เขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งในเกมที่ ซันเดอร์แลนด์ เอาชนะ วีแกน ไปได้ 4 ประตูต่อ 2 ทำให้เขาต้องใช้ช่วงเวลาที่เหลือรักษาตัวและกลับไปอยู่สโมสร ปีศาจแดง อีกครั้งพร้อมกับอาการบาดเจ็บ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เวลเบ็ค

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 2011-12

เวลเบ็ค กลับมาลงเล่นอีกครั้งในวันที่ 7 สิงหาคม 2011 ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิวล์ ช่วยให้ทีมเอาชนะคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 3 ประตูต่อ 2 หลังจากนั้นเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงคู่กับ เวร์น รูนี่ย์ ในเกมนัดแรกของศึกพรีเมียร์ ลีก โดยพวกเขาต้องออกไปเยือนทีม เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 65 ของเกม โดยถูกแทนที่โดย ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ วันที่ 22 สิงหาคม เวลเบ็ค ทำประตูให้กับ ปีศาจแดง ได้ หลังจาก ทอม เคลเวอร์ลีย์ เปิดให้โหม่งเข้าไป เป็นประตูแรกให้ทีมออกนำ สเปอร์ ไป 1 ประตูต่อ 0 เท่านั้นยังไม่พอ เขายังทำแอสซิสต์ ให้กับ แอนเดอร์สัน ยิงประตูที่สองได้อีกด้วย ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกไป จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะ สเปอร์ ไปได้ถึง 3 ประตูต่อ 0 เท่านั้นยังไม่พอ เขายังทำประตูแรก ในเกมที่ ยูไนเต็ด เอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้อย่างขาดลอย 8 ประตูต่อ 2 ได้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่เกมดังกล่าว เป็นอีกเกมที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง จนทำให้เขาต้องพักรักษาตัวอีกหลายอาทิตย์เลยทีเดียว

เวลเบ็ค กลับมาทำประตูได้อีกครั้ง ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ บาเซิ่ล ในวันที่ 27 กันยายน โดยสามารถทำได้ถึง 2 ประตู แต่ก็ยังไม่สามารถพาทีมคว้าชัยชนะไปได้ แบ่งแต้มกันไป เพราะจบด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 3 และเกมถัดมากับ นอริช ซิตี้ เขาก็ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง พาทีมเอาชนะไปได้ 2 ประตูต่อ 0 หลังจากที่ได้ลงมาเล่นในฐานะตัวสำรอง แถมยังเป็นคนแอสซิสต์ ให้กับ ปาร์ค จีซอง ทำประตูที่ 2 ได้อีกด้วย วันที่ 21 ธันวาคม เวลเบ็ค พาทีมเอาชนะ ฟูแล่ม ไปได้ 5 ประตูต่อ 0 โดยเขาเป็นคนทำประตูแรกให้กับทีม โดยเป็น นานี่ ที่เปิดเข้ามาให้เขาแปลด้วยเท้าซ้ายเข้าประตูไปได้ วันที่ 8 มกราคม 2012 เวลเบ็ค ทำประตูที่ 2 ในเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 3 ประตูต่อ 2 ในเกมเอฟเอ คัพ รอบที่ 3 วันที่ 14 มกราคม มีรายงานมาว่า เวลเบ็ค เตรียมตัวที่จะขยายสัญญาระยะยาวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง วันที่ 22 มกราคม เวลเบ็ค ทำประตูชัยในนาทีที่ 91 ช่วยให้ทีมเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 โดยฤดูกาลนี้ ผลงานของเขาถือว่ายอดเยี่ยมมากๆเช่นกัน จนทำให้ในช่วงท้ายของฤดูกาล เขาได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ ลีก ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น ไคล์ วอร์คเกอร์ กองหลังจาก สเปอร์ ที่ได้รับรางวัลนี้ไปครอง

ฤดูกาล 2012-12

เวลเบ็ค ได้ลงเล่นเกมแรกในฤดูกาลนี้กับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2012 ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 1 ประตูต่อ 0 โดยเขาได้ถูกเปลี่ยนตัวออก โดยนักเตะที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่ คือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ วันที่ 22 สิงหาคมปี 2012 เวลเบ็ค ต่อสัญญากับสโมสรเพิ่มเติมไปอีก 4 ปี ทำให้เขาได้เล่นให้กับทีมต่อไปตามที่เขานั้นต้องการ เขาทำประตูแรกของฤดูกาลได้ ในวันที่ 20 ตุลาคม ช่วยให้ทีมเอาชนะ สโต๊ค ซิตี ไปได้ 4 ประตูต่อ 2 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2013 เวลเบ็ค ทำประตูสำคัญมากๆ ช่วยให้ทีมตามตีเสมอ เรอัล มาดริด ไปได้ 1 ประตูต่อ 1 จากการเปิดมุมเข้ามาของ เวร์น รูนี่ย์ ซึ่งเป็นประตูแรกในรอบ 4 เดือนเต็มของเขา ซึ่งประตูนี้ของ เวลเบ็ค ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะชาวอังกฤษคนแรกที่เล่นในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ และยิงประตูได้ในบ้านของ เรอัล มาดริด อีกด้วย นับตั้งแต่ที่ อลัน สมิธ นักเตะของ ลีดส์ ยูไนเต็ด เคยทำได้ในปี 2001 โดยในฤดูกาลนี้ เวลเบ็ค ทำไปได้ทั้งหมด 2 ประตู จากการลงไปทั้งหมด 40 เกม

ฤดูกาล 2013-14

วันที่ 11 สิงหาคม 2013 เวลเบ็ค ได้ลงเล่นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิวด์ ช่วยให้ทีมเอาชนะ วีแกน ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 หลังจากนั้นเกมแรกของพรีเมียร์ลีก เขาก็สามารถทำประตูได้ทันที ช่วยให้ ยูไนเต็ด เอาชนะ สวอนซี ไปได้ 4 ประตูต่อ 1 โดยในปีนี้ เขาได้กุนซือของทีมคนใหม่ นั้นก็คือ เดวิด มอยส์ วันที่ 2 ตุลาคม 2013 เขาทำประตูแรกและประตูเดียวในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ ในเกมที่เสมอกับ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ ไป 1 ประตูต่อ 1

ระหว่างเดือนธันวาคมและมกราคม เวลเบ็ค สามารถทำไปได้ถึง 6 ประตูด้วยกันในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันที่ 15 ธันวาคม เขาทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ ผีแดง เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 วันที่ 21 ธันวาคม เขาทำประตูแรกในโอล์ด แทรฟฟอร์ด ได้อีกครั้ง หลังจากทำได้ครั้งล่าสุดเมื่อเดือน ตุลาคม 2012 ที่เอาชนะ เวสต์แฮม ไปได้ 3 ประตูต่อ 1 วันที่ 28 ธันวาคม เขาพา ยูไนเต็ด เอาชนะ นอริช ไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ซึ่งเป็นประตูที่มาจากเขาเองด้วย หลังจากนั้น เขาก็ทำประตูในบ้านได้อีก 2 เกม คือในเกมกับ สเปอร์ และ สวอนซี เมื่อเดือนมกราคม 2014

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม เวลเบ็ค ทำประตูที่ 10 ของฤดูกาล ในเกมที่เอาชนะ เวสต์บรอมวิช ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 ในช่วงท้ายของฤดูกาล เวลเบ็ค ออกมายอมรับว่าต้องการที่จะย้ายออกจากสโมสร เพราะเขานั้นต้องการที่จะไปเล่นเป็นกองหน้าเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากที่สโมสร มักจะใช้งานเขาในตำแหน่งปีกซ้ายเสียมากกว่า ซึ่งทำให้เขานั้นรู้สึกไม่มีความสุขอย่างยิ่ง

อาร์เซน่อล เวลเบ็ค

อาร์เซน่อล

ฤดูกาล 2014-15

ในวันที่ 2 กันยายน 2014 ช่วงท้ายของตลาดนักเตะ เวลเบ็ค ตัดสินใจย้ายมาเล่นให้กับทีม อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ โดยเขาได้ลงเล่นเกมแรกกับ อาร์เซน่อล ในนัดที่ต้องเจอกับแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลที่ผ่านมาอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งจบลงด้วยผลเสมอ 2 ประตูต่อ 2 หลังจากนั้น เขาได้ลงเล่นอีก 2 เกม แต่ยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก จนทำให้ อาร์เซน เวนเกอร์ ออกมาบอกแฟนๆให้ใจเย็นๆ และอดทนรอเวลาให้นักเตะรายนี้ปรับตัวอีกซักเล็กน้อย เวลเบ็ค ทำประตูแรกในสีเสื้อของ อาร์เซน่อล ได้ในเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไป 3 ประตูต่อ 0 ในวันที่ 20 กันยายน วันที่ 1 ตุลาคม เขาทำประตูได้ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ซึ่งเป็นแอริคฮีโร่ด้วย แถมยังเป็นการยิงเกมเดียว 3 ประตูครั้งแรกของเขาในอาชีพการค้าแข้ง ในเกมที่เอาชนะ กาลาตาซาราย ไปได้ 4 ประตูต่อ 1

วันที่ 9 มีนาคม 2015 เวลเบ็ค ทำประตูชัยให้ อาร์เซน่อล เอาชนะ ทีมเก่าของเขาอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ ในรอบก่อนรองสุดท้ายของศึกเอฟเอ คัพ หลังจากนั้นอีก 1 เดือน เขาได้รับบาดเจ็บ ทำให้ไม่สามารถลงเล่นเกมที่เหลือทั้งหมดของฤดูกาลได้ รวมไปถึงเกมนัดชิง เอฟเอ คัพ ด้วย

ฤดูกาล 2015-16

ในอาทิตย์แรกของฤดูกาล เวลเบ็ค ยังคงไม่หายจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ยังไม่สามารถลงเล่นได้ ซึ่งกำหนดการที่เขาจะกลับมาเล่นได้อีกครั้งคือในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ซึ่ง เวลเบ็ค กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งจริงๆ คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ช่วยให้ทีมเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 โดยเขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 83 ลงมาแทน อเล็กซ์ อ็อกเลช-แชมเบอร์เลน โดยเพียงแค่นัดแรกที่เขาลงเล่น เขาก็เป็นคนทำประตูชัยได้ในช่วงท้ายเกม จากการเปิดลูกฟรีคิกเข้ามาของ เมซุส โอซิล

เวลเบ็ค ยังคงทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ในเกมเอฟเอ คัพ ช่วยให้ทีมเอาชนะ วัตฟอร์ด ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 และต่อด้วยการพาทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 ในเดือนพฤษภาคม เวลเบ็ค ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง คือเขานั้นได้รับอาการบาดเจ็บอีกครั้ง ในเกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 2 ประตูต่อ 2 ซึ่งครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บหนัก เพราะคาดว่าต้องพักนานถึง 5 เดือนเต็มๆ จนทำให้เขาอดไปเล่นฟุตบอลยูโร 2016 กับทีมชาติอังกฤษไปโดยปริยาย ก่อนที่จะยิ่งโชคร้ายไปกว่าเดิม เพราะหลังจากรักษาไปซักระยะ เขาต้องใช้เวลารักษาตัวเพิ่มเป็น 9 เดือน

ฤดูกาล 2016-17

หลังจากหายหน้าหายตาไปจากฟุตบอลเป็นเวลา 8 เดือน หลังจากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า เวลเบ็ค ก็กลับมามีชื่อกับทีม อาร์เซน่อล อีกครั้งในเกมเอฟเอ คัพ กับ เปรสตัน ในวันที่ 7 มกราคม 2017 ลงมาเล่นในฐานะตัวสำรอง ในนาทีที่ 83 ของเกม ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของ อาร์เซน่อล หลังจากจบเกม อาร์แซน เวนเกอร์ ออกมายกย่อง นักเตะรายนี้ ว่าเป็นนักสู้ของจริง และจะยังมีอนาคตที่ดีกับทีมเหมือนเดิม

วันที่ 28 มกราคม 2017 เวลเบ็ค ได้ลงเล่นเป็นเกมแรกของฤดูกาล ในเกมเอฟเอ คัพ รอบที่ 4 กับ เซาแธมป์ตัน ซึ่งเขาทำคนเดียว 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ ให้กับ ทีโอ วัลคอตต์ พาทีมเอาชนะไปได้ 5 ประตูต่อ 0 รวมไปถึงได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ กับ เชลซี และพาทีมเป็นแชมป์ได้ด้วยการเอาชนะคู่ต่อสู้ไป 2 ประตูต่อ 1

ฤดูกาล 2017-18

เวลเบ็ค ได้กลับมาลงเล่นเกมแรก คือในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีกครั้ง ในวันที่ 6 สิงหาคม ช่วยให้ อาร์เซน่อล เอาชนะ เชลซี ไปได้ 4 ประตูต่อ 1 หลังจากเสมอกันไป 1 ประตูต่อ 1 ในเวลาปกติ เขาทำประตูแรกของฤดูกาลได้ตั้งแต่เกมแรกของศึกพรีเมียร์ ลีก ช่วยให้ อาร์เซน่อล เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 4 ประตูต่อ 3 และต่อด้วยการยิงคนเดียว 2 ประตู ในเกมที่เอาชนะ บอร์นมัธ ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 9 กันยายน แต่หลังจากนั้น เวลเบ็ค ต้องมาเจอกับอาการบาดเจ็บอีกครั้ง ในเกมที่เสมอกับ เชลซี 0 ประตูต่อ 0 ทำให้เขาต้องพักอีก 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาและทำประตูได้อีกครั้งในเกมกับเซาแธมป์ตัน ที่ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 3 ประตูต่อ 2 โดยทำคนเดียว 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ปิดฉากการทำประตูไม่ได้ถึง 16 นัดลงไปในเกมนี้

ทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน

ระดับชาติ

ทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน

เวลเบ็ค ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกในชุดอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น ในเดือนตุลาคม 2005 ซึ่งเกมแรกของเขาคือการลงเล่นเจอกับทีมชาติเวลล์ หลังจากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาติดในชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี ทำประตูได้ครั้งแรกในการเจอกับทีมชาติเซอร์เบีย ช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะ และได้เข้าไปเล่นในศึก ยูโร 2007 รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี ได้สำเร็จ โดยในศึกครั้งนี้ พวกเขาได้รองแชมป์ หลังไม่สามารถเอาชนะสเปนไปได้ในนัดชิงชนะเลิศ แต่ก็ยังดีพอที่ทำให้เขา ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก รุ่นต่ำกว่า 17 ปี แบบอัตโนมัติ ที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยที่นั้น เวลเบ็ค ทำไปได้ทั้งหมด 2 ประตู ในการเจอกับ นิว ซีแลนด์ และช่วยให้ทีมเข้าไปเล่นได้ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นมาติดทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 19 ปีได้สำเร็จ ในเดือนกรกฎาคม 2008 แต่กว่าจะได้ลงเล่นเป็นครั้งแรก ต้องรอถึงวันที่ 9 กันยายน 2008 ลงเต็มเกม ช่วยให้อังกฤษเอาชนะ เนเธอร์แลนด์ ไปได้ 2 ประตูต่อ 1

เวลเบ็ค ติดทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี เช่นกัน โดยได้ลงเล่นเกมแรกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2009 แต่ไม่สามารถช่วยให้ทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ ไปได้ แพ้ไป 3 ประตูต่อ 2 โดยในเกมนี้ เขาลงมาเป็นตัวสำรอง แทนที่ อดัม จอห์นสัน เกมต่อมากับฝรั่งเศส เขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่ก็ต้องเจอกับความพ่ายแพ้เหมือนเดิม 2 ประตูต่อ 0 วันที่ 31 มีนาคม เขาถูกเรียกจาก สจ๊วต เพียซ ให้ขึ้นมาติดเป็น 23 คนสุดท้าย ในการไปเล่นในศึก ยูโร 2009 ในรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี แต่สุดท้ายได้รับบาดเจ็บ จนต้องถอนตัวออกไปในที่สุด ในเดือนกันยายนปี 2010 เขาทำคนเดียว 2 ประตู ให้กับทีมชาติอังกฤษชุดต่ำกว่า 21 ปี ช่วยให้ทีมเอาชนะ ลิทัวเนีย ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 และอีกครั้งในเกมกับเดนมาร์ก พาทีมเอาชนะไปได้ 4 ประตูต่อ 0 เวลเบ็ค ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติในศึก ยูโร ชุดต่ำกว่า 21 ปี ในปี 2011 กับสเปน ซึ่งเขาทำประตูได้ด้วย ซึ่งเสมอกับสเปนไป 1 ประตูต่อ 1

ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2008 มีรายงานว่าทีมชาติกาน่า กำลังจับตามองนักเตะรายนี้ โดยหวังให้นักเตะเปลี่ยนใจ ย้ายมาเล่นให้กับทีมชาติกาน่าแทน เพราะว่าพ่อกับแม่ของเขานั้นเป็นชาวกาน่าแท้ๆ แต่สุดท้ายนักเตะก็ตัดสินใจที่จะเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษเหมือนเดิม วันที่ 29 มีนาคม 2011 เวลเบ็ค ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งเกมแรกของเขาคือการลงเล่นเจอกับทีมชาติกาน่า บ้านเกิดของพ่อแม่ของเขาด้วย โดยเขาลงมาแทน แอชลีย์ ยัง ในนาทีที่ 81 พาทีมเสมอกาน่า 1 ประตูต่อ 1

เขาลงเล่นช่วยทีมชาติอังกฤษ ในเกมการคัดเลือกไปเล่นยูโรปี 2012 กับ มอนเตเนโกร ในวันที่ 7 ตุลาคม 2011 ลงมาแทนที่ ทีโอ วัลค็อตต์ ในครึ่งเวลาหลัง วันที่ 22 พฤษภาคม 2012 เวลเบ็ค เป็นนักเตะ 23 คนสุดท้ายที่ รอยย์ ฮ็อดสันน์ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เลือกไปเล่นในศึก ยูโร 2012 วันที่ 2 มิถุนายน 2012 เขาทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษได้ในเกมที่เอาชนะเบลเยี่ยมไปได้ 1 ประตูต่อ 0 โดยทำประตูสุดสวย ชิบข้ามหัวของ ซิมงต์ มินโญเรต์ ผู้รักษาประตูของเบลเยี่ยมไปได้ วันที่ 15 มิถุนายน 2012 เวลเบ็ค ทำประตูได้อีกครั้งในนาทีที่ 79 ช่วยให้ทีมเอาชนะทีมชาติ สวีเดน ไปได้ 3 ประตูต่อ 2

ในรอบคัดเลือกของศึกฟุตบอลโลกปี 2010 เวลเบ็ค ทำไปได้ทั้งหมด 4 ประตูด้วยกัน โดย 2 ประตูแรก เกิดจากเกมที่เอาชนะ ซาน มาริโน่ ไปได้ 5 ประตูต่อ 0 และวันที่ 12 ตุลาคม 2012 ในเกมที่เอาชนะ มอลโดวา ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 วันที่ 6 กันยายน 2013 เขาก็ได้ถูกเรียกตัวไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 2014 และได้ลงเล่นในเกมแรกของทัวนาเมนต์ด้วย ที่เอาชนะอิตาลีไปได้ 2 ประตูต่อ 1 ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกโดย รอสส์ บาร์คลีย์ และในเกมนัดที่ 2 กับ อุรุกวัย เวลเบ็ค ก็ยังคงได้ลงเล่นเช่นกัน โดยเขาได้ลงมาแทน อดัม ลัลลาน่า ในนาทีที่ 70 ของเกม

วันที่ 8 กันยายน 2014 อังกฤษลงเล่นรอบคัดเลือกของศึก ยูโรปี 2016 ซึ่ง เวลเบ็ค ทำคนเดียวไป 2 ประตู ช่วยให้ทีมเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 หลังจากนั้นเขายังคงทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ในเกมกับ สโลวีเนีย,ซาน มาริโน่ และ ลิทัวเนีย ทำให้เขากลายเป็นดาวยิงสูงสุดของทีม ณ รายการนั้น ลงเล่นไป 5 เกม ทำไปได้ถึง 6 ประตูด้วยกัน

ระหว่างเดือนมีนาคม 2018 เวลเบ็ค กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในเกมกระชับมิตรเพื่อเตรียมตัวไปเล่นในฟุตบอลโลก 2018 โดยติดไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีม อาร์เซน่อล ของเขาอย่าง แจ็ค วิลเชียร์ ก่อนที่สุดท้ายจะติดทีมไปเล่นในฟุตบอลโลกปี 2018 ในที่สุด

สไตล์การเล่น เวลเบ็ค

สไตล์การเล่น

ด้วยความสูงและสไตล์การวิ่งของเขา ทำให้เขานั้นถูกเอาไปเปรียบเทียบกับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และ เอ็นวานโก้ คานู อดีตกองหน้าชื่อดังของ อาร์เซน่อล แต่สุดท้ายแล้ว หลายคนกลับคิดว่าดูเหมือน เธียร์รี่ อองรี มากกว่า เป็นนักเตะรายนี้เป็นฮีโร่ ของ เวลเบ็ค ด้วยเช่นกัน

เขาเป็นนักเตะที่รู้กันดีว่ามีความขยัน แข็งแกร่ง รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดีมากๆ แถมยังฉลาดในการเล่นอีกด้วย ซึ่งผลงานของเขาทั้งตอนสมัยที่อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ต่างก็มีเกมที่หลายคนยกย่องว่าเขานั้นเป็นนักเตะที่สุดยอดมากๆ

ภายใต้กุนซือทีมชาติอังกฤษในยุคของ รอย ฮ็อดสันน์ ที่ชอบเล่นแผน 4-3-3 เวลเบ็ค เป็นนักเตะที่เล่นเกมรุกได้ดีมากๆ และเข้าระบบของกุนซือรายนี้สุดๆ แถมมีลีลาการฉลองการยิงประตูที่มีคนนิยมมากมาย คือการเซิ้ง ซึ่งเจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจของท่านี้มาจากกุ๊กชาวตุรกี