หลังจบเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เราเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการลุ้นแชมป์ที่ค่อย ๆ แยกออกอย่างชัดเจน ทีมแรกที่ตัดออกแน่ ๆ คือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะการแพ้ถึง 4 นัดหลังเล่นมาแค่ 12 เกมมันบ่งบอกแล้วว่าพวกเขาคงยังไม่ดีพอกับการไล่ล่าแชมป์ในปีนี้ ส่วน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี กับ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ด้วยความที่ช่วงหลัง ๆ ฟอร์มไม่คงเส้นคงวาอย่างที่ควรก็เลยทำให้ค่อย ๆ หลุดจากวงโคจรไปเรื่อย
ส่วนทัพ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แม้ฟอร์มการเล่นยังถือว่าใช้ได้ แต่ระยะยาวแล้วก็คาดว่าน่าจะยังไม่ดีพอในการลุ้นแชมป์ซีซั่นนี้เหมือนกับปีที่ผ่านมา ๆ เพราะพวกเขาชอบแผ่วปลายในช่วงท้าย นั่นทำให้ทีมที่เหลือในการลุ้นแชมป์จริง ๆ มีเพียงแค่ทัพ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2 ทีมที่ตอนนี้ยังไม่แพ้ใครและแต้มห่างกันอยู่แค่ 2 แต้มเท่านั้น หากมองกันแบบเป็นกลาง คือหากมีทีมใดทีมหนึ่งพลาดท่าขึ้นมา โอกาสที่อีกทีมจะยิ้มมุมปากเพื่อทำแต้มให้ได้เปรียบมีสูงทันที ซึ่งถ้าดูจากฟอร์มการเล่นของทั้งคู่ มันบ่งบอกเรื่องราวบางอย่างได้ดีมาก ๆ
เกมรุกสุดโหด ที่ไล่จับยากของแข้งเทพ
ทั้งสองทีมเป็นทีมเน้นเกมรุกบุกแหลกด้วยความเร็วของกองหน้าที่หาตัวจับยาก ถ้าเรือใบมีราฮิม สเตอร์ลิ่ง, ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่ ลิเวอร์พูลก็มี 3 ประสานสุดโหด ด้านนายทวารก็เป็นคนชาติเดียวกันที่เล่นบอลด้วยเท้ายอดเยี่ยมทั้งคู่ ขณะที่แนวรับก็จัดว่าแข็งแกร่งทั้งคู่เช่นกัน มองเผิน ๆ ทั้งคู่แทบจะไม่ต่างกันเลยด้วยซ้ำ อีกเรื่องคือนิยามเกมรุกของกุนซือชัดเจนประเภทเดินหน้าบุกแหลกไม่ต้องสนใจสิ่งรอบตัวใด ๆ ทั้งสิ้น มันเลยทำให้พวกเขาพัฒนาฟอร์มการเล่นของตนเองได้เรื่อย ๆ เปรียบไปแล้วทำให้นึกถึงยุคสมัยที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทัพปีศาจรุ่งเรืองเขาก็เลือกใช้ปรัชญาเกมรุกในการต่อสู้กับทีมอื่น ๆ เช่นกัน
พอขับเคี่ยวกันไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเห็นแล้วว่าสองทีมที่เป็นม้าในการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกจะเหลืออยู่แค่นี้จริง ๆ ส่วนบรรดาตาอยู่ทั้งหลายหากเทียบฟอร์มแล้วยังยากในการต่อกรกับพวกเขา แค่มาดูกันดีกว่าว่าใครจะทำสถิติไร้พ่ายในซีซั่นนี้ได้หรือไม่ เอาตรง ๆ คือยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครจะมาเก็บ 3 แต้มจากพวกเขาไปได้ มันยากจริง ๆ
