เจาะลึกประวัติ เอซี มิลาน (AC Milan) ปีศาจแดงดำแห่งกัลโช่

เจาะลึกประวัติ เอซี มิลาน

สโมสรฟุตบอลมิลาน (Associazione Calcio Milan) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม เอซี มิลาน หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า มิลาน คือทีมฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี

ทีมเจ้าของฉายา “ปีศาจแดงดำ” ในบ้านเรา หรือ “รอสโซเนรี่” ในบ้านเขา ใช้เวลาแทบทั้งหมดยกเว้นฤดูกาล 1980-81 และ 1982-83 ลงเล่นอยู่ในลีกสูงสุดของวงการลูกหนังอิตาลี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เซเรีย อา

เอซี มิลาน เป็นทีมเจ้าของรวม 18 ถ้วยรางวัลจากทั้ง ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 4 (ร่วมกับ โบค่า จูเนียร์ส) และมากที่สุดจากบรรดาทีมใน อิตาลี พวกเขาเคยครองแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 3 ครั้งและ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีก 1 สมัย, ครอบครองถ้วย ยูโรเปี้ยนคัพ/แชมเปี้ยนส์ ลีก 7 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 5 สมัย และ คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 2 ครั้ง

พวกเขายังครองแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ร่วมกับ อินเตอร์ มิลาน คู่ปรับร่วมเมืองที่ 18 ครั้ง โดยตามหลัง ยูเวนตุส ที่ครองแชมป์ได้มากที่สุด 34 ครั้ง และยังเคยคว้าแชมป์ โค้ปปา อิตาเลีย 5 ครั้ง รวมถึง ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลียนา อีก 7 สมัย

มิลาน ลงเตะเกมในบ้านที่สนาม ซาน ซีโร่ หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ สตาดิโอ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า นี่ยังเป็นสนามที่ใช้แชร์ร่วมกัน อินเตอร์ มิลาน โดยถือว่าเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดใน อิตาลี ด้วยความจุ 80,018 ที่นั่ง ในขณะที่พวกเขามี อินเตอร์ มิลาน เป็นทีมคู่แข่งสำคัญ เกมที่ทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากันในสังเวียนที่ถือได้ว่าเป็นรังเหย้าของทั้งคู่จะถูกเรียกว่า “ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า” ซึ่งถูกจัดให้เป็นสุดยอดดาร์บี้แมตช์คู่หนึ่งในวงการลูกหนังโลก

พวกเขายังเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดใน อิตาลี ทั้งยังเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม G-14 องค์กรของทีมลูกหนังระดับท็อปในยุโรปที่ดำเนินกิจกรรมอยู่ระหว่างปี 2000 ถึง 2008 ก่อนจะแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็น สมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรป (European Club Association) ที่ปัจจุบันมีสโมสรเป็นสมาชิกจากประเทศต่างๆรวม 232 ทีม

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

1899 – สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกภายใต้ชื่อ สโมสรฟุตบอลและคริกเก็ตแห่งมิลาน (Milan Foot-Ball and Cricket Club) โดย อัลเฟร็ด เอ็ดเวิร์ดส์ และ เฮอร์เบิร์ต คิลพิน 2 คู่หูจาก เมือง น็อตติ้งแฮม ประเทศอังกฤษ แม้ทางสโมสรเองจะยึดวันที่ 16 ธันวาคม 1899 เป็นเสมือนวันสถาปนาตัว แต่จากหลักฐานที่มีการบันทึกไว้กลับระบุว่าวันที่ 13 ธันวาคม 1899 คือวันตั้งไข่ของสโมสร ในขณะที่ เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ที่เคยถูกส่งมาดำรงตำแหน่งรองกงสุลในเมืองมิลาน ก็กลายเป็นประธานสโมสรคนแรก โดยในส่วนของฟุตบอลก็ได้ คิลพิน เป็นผู้ดูแล และทางด้าน คริกเก็ต ที่เพิ่มเข้ามาก็ให้ เอ็ดเวิร์ด เบอร์ร่า เป็นผู้รับผิดชอบ

1900 – ภายใต้การชี้นำของ คิลพิน ทีมฟุตบอลก็เริ่มสร้างชื่อเสียงในทันทีหลังคว้าแชมป์แรกในรายการ Medaglia del Re ในช่วงต้นปีนั้น

1901 – เอซี มิลาน เริ่มลงแข่งขันในระดับประเทศ และประเดิมคว้าแชมป์ อิตาลี หนแรกได้ในทันที

1907 – ทีมประกาศศักดาครองแชมป์ประเทศหรือที่เรียกว่า ปรีม่า คาเตกอเรีย ได้ 2 ปีซ้อน เริ่มจากเอาชนะ ยูเวนตุส 2-0 ในเกมเพลย์ออฟเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนจะมาทำแต้มเฉือนชนะ โตริโน่ จนกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ของพวกเขา

1908 – จากแนวคิดที่ขัดแย้งกันของกลุ่มสมาชิกเรื่องการเซ็นสัญญากับผู้เล่นต่างชาติ ทำให้เกิดการแยกตัวออกมาและกลายเป็นจุดกำเนิดของสโมสร อินเตอร์ มิลาน

1916 – มิลาน คว้าแชมป์ในรายการ เฟเดอรัล คัพ ที่จัดขึ้นเพื่อทดแทน ปรีม่า คาเตกอเรีย ที่ถูกว่างเว้นไปในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่ครองถ้วยรางวัลนี้ก็ไม่เคยถูกนับให้เป็นแชมป์ของ อิตาลี

1919 – หลังลีกในประเทศกลับมาเตะกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทีมที่หันมาใช้ชื่อใหม่ว่า Milan Football Club ก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งเหมือนในสมัยเริ่มต้นได้ และถึงแม้จะยังยืนหยัดอยู่ในลีกสูงสุดได้โดยตลอด 20 ปีหลังจากนั้น แต่พวกเขาก็เป็นเพียงทีมที่ป้วนเปี้ยนอยู่ตรงกลางตารางเท่านั้น

1939 – ในยุคที่ ลัทธิฟาสซิสต์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในด้านการปกครองของประเทศ ก็ทำให้สโมสรจัดการเปลี่ยนชื่อเป็น Associazione Calcio Milano เพื่อให้ดูชาตินิยมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามชื่อนี้ก็ค่อยๆถูกลบเลือนไปหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะปรับมาใช้เป็น Associazione Calcio Milan จวบจนถึงปัจจุบันนี้

1951 – หลังห่างหายความสำเร็จมายาวนานนับตั้งแต่ปี 1907 ปีศาจแดงดำ ที่นำทัพโดย สามประสานเกร-นอ-ลี กุนนาร์ เกร็น, กุนนาร์ นอร์ดาห์ล และ นิลส์ ลีดโฮล์ม ที่เคยพา สวีเดน คว้าแชมป์โอลิมปิก 1948 มาแล้ว พร้อมกับผู้เล่นคุณภาพอย่าง ลอเรนโซ่ บุฟฟ่อน, เซซาเร่ มัลดินี่ และ คาร์โล อันโนวาซซี่ ก็ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดภายใต้ชื่อ เซเรีย อา เป็นครั้งแรก โดยหนึ่งในแมตช์สุดประทับใจภายในซีซั่น 1950-51 ก็คงเป็นการบุกไปถล่ม ยูเวนตุส 7-1 ที่ ตูริน จากการทำแฮตทริกของ กุนนาร์ นอร์ดาห์ล

1955 – จากผลงาน 27 ประตูใน เซเรีย อา ก็ทำให้ นอร์ดาห์ล คว้าตำแหน่งดาวซัลโวในปีนั้นไปครอง แถมยังช่วยให้ รอสโซเนรี่ ครองแชมป์ลีกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ

1957 – หลังการจากไปของ นอร์ดาห์ล ที่ย้ายไปอยู่กับ โรม่า ทีมก็ทดแทนด้วยการหันไปดึง 2 ดาวยิง กัสโตเน่ เบอัน เด็กปั้นที่กลับมาจากการยืมตัวกับ ปิอาเซนซ่า และ คาร์โล กัลลี่ ที่ย้ายสลับขั้วมาจาก โรม่า เข้ามาทดแทน ซึ่งทั้งสองก็ช่วยกันถล่มประตูจนทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ เซเรีย อา เป็นสมัยที่ 6

1959 – หลังว่างเว้นไปหนึ่งปี มิลาน ก็กลับมาอีกครั้ง โดยในคราวนี้ทีมได้ขุมพลังในแนวรุกอย่าง โชเซ่ อัลตาฟินี่ หรือ “มาซโซล่า” หัวหอกชาวแซมบ้าที่ย้ายเข้ามาในซีซั่นก่อน ช่วยกระหน่ำไปถึง 28 ประตูจนขึ้นแท่นเป็นรองดาวซัลโว และยังช่วยให้ทีมโกยแต้มหนี ฟิออเรนติน่า 3 คะแนนจนเข้าป้ายเป็นที่ 1 ได้ในที่สุด

1962 – ภายใต้การชี้นำของ เนเรโอ ร็อคโค่ เฮดโค้ขผู้ปฏิวัติวงการลูกหนังและยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดแทคติก คาเตนัชโช่ อันลือลั่น ก็ช่วยพาทีมที่นำทัพโดย จานนี่ ริเวร่า จอมทัพดาวรุ่ง และ มาซโซล่า จอมถล่มประตู กลับมาคว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ ได้อีกครั้ง

1963 – จากการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่นที่ผ่านมา ก็ทำให้ มิลาน ได้เข้าไปลงเตะในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ ที่ถือว่าเป็นแม่แบบของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน และด้วยฟอร์มอันสุดฮอทของ มาซโซล่า ที่ซัดไปทั้งหมด 14 ประตูตลอดทั้งรายการ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 เม็ดจากชัยชนะ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศกับ เบนฟิก้า ที่ เวมบลี่ย์ ก็ทำให้ทีมคว้าแชมป์ใหญ่ระดับทวีปได้เป็นครั้งแรก

AC Milan 1967

1967 – หลังจากบุกไปปราบ ยูเวนตุส 2-1 ได้ในรอบตัดเชือก โค้ปปา อิตาเลีย พวกเขาก็ได้เดินลงสู่สนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก เพื่อลงเตะนัดชิงกับ ปาโดว่า ที่ผ่าน อินเตอร์ มิลาน มาได้ ก่อนจะเฉือนเอาชนะไปแบบฉิวเฉียด 1-0 และได้ครองแชมป์ในรายการนี้เป็นสมัยแรก

1968 – ในยุค 60 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของ อินเตอร์ มิลาน ที่ครองตำแหน่งแชมป์ในประเทศได้หลายครั้ง จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล 1967-68 ที่ รอสโซเนรี่ กลับมาคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้อีกครั้ง โดยที่ ปิเอริโน่ ปราติ ดาวยิงเด็กถิ่น ยังสามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวได้ในฤดูกาลนั้น นอกจากนี้ทีมยังคว้าถ้วยรางวัลยุโรปได้อีกจากการผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชะเลิศ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ก่อนจะเอาชนะ ฮัมบูร์ก มาได้ 2-0

1969 – ปีศาจแดงดำ กลับคืนสู่สังเวียนยุโรปอีกครั้ง และสามารถประกาศศักดาได้ด้วยการไล่ถล่ม อาแจ็กซ์ 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ จากการทำแฮตทริกของ ปราติ พร้อมกับก้าวขึ้นไปครองบัลลังก์ยุโรปเป็นสมัยที่ 2 ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงเดือนตุลาคมปีนั้น ทีมก็ได้ลงเตะในรายการ อินเตอร์ คอนติเนนตัล คัพ โดยหลังจากถล่ม เอสตูเดียนเตส 3-0 ในเลกแรกที่ ซาน ซีโร่ ก็ต้องเดินทางไปเตะแมตช์เยือนที่ กรุงบัวโนสไอเรส ก่อนจะพ่ายไปแบบฉิวเฉียด 2-1 ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายในสนาม เมื่อสองผู้เล่นของพวกเขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส โดยที่ อัลเบร์โต้ โปเล็ตติ นายทวารเลือดฟ้าขาวของฝั่งเจ้าถิ่นที่ไปสาวหมัดใส่ จานนี่ ริเวร่า และเตะใส่ เนสเตอร์ กอมบิน แถมยังเข้าไปบวกกับกองเชียร์ของฝั่งทีมเยือนหลังเกม ถูกตัดสินโทษแบนตลอดชีวิต ในขณะที่ รามอน ซัวเรซ ผู้ที่ลงไม้ลงมือจนจมูกของ กอมบิน หักก็ถูกลงโทษห้ามแข่งเป็นเวลา 5 ปี แถมยังมาเกิดเหตุดราม่าหลังจากนั้นอีกเมื่อ กอมบิน ที่เป็นชาวอาร์เจนติน่าโดยกำเนิด แต่ย้ายไปค้าแข้งในยุโรปจนเลือกเล่นให้กับ ทีมชาติฝรั่งเศส ก็ถูกตั้งข้อหาหลบหนีการเกณฑ์ทหาร

1972 – ทีมประเดิมความสำเร็จแรกในยุค 70 ด้วยการคว้าแชมป์ โค้ปปา อิตาเลีย เป็นสมัยที่ 2 หลังผ่านเข้าไปดวลกับ นาโปลี ในนัดชิงชนะเลิศ และเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-0

1973 – มิลาน เก็บถ้วยรางวัล คัพ วินเนอร์ส คัพ ได้เป็นสมัยที่ 2 หลังโคจรไปพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ คาฟตานโซโญ่ สเตเดี้ยม ประเทศกรีซ ก่อนจะเฉือนเอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 และยังสามารถป้องกันแชมป์ อิตาเลียน คัพ ได้สำเร็จจากการดวลจุดโทษเอาชนะ ยูเวนตุส หลังเสมอกันในเวลา 1-1 โดยในฤดูกาล 1972-73 พวกเขายังหวุดหวิดที่จะได้แชมป์ลีกสมัยที่ 10 แต่ก็พลาดไปอย่างน่าเสียดายหลังพ่ายให้กับ เฮลลาส เวโรน่า ในนัดปิดฤดูกาลจนถูก ยุเวนตุส ปาดหน้าคว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ ไปครอง

1977 – เกิดศึก มิลาน ดาร์บี้ ในนัดชิงชนะเลิศ โค้ปปา อิตาเลีย เมื่อ 2 ทีมจากเมืองมิลาน โคจรมาพบกัน ก่อนที่ รอสโซเนรี่ จะเป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์ 2-0 และกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ในรายการนี้ของพวกเขา

1979 – ปีศาจแดงดำ ต้องรอจนถึงฤดูกาล 1978-79 จึงสามารถคว้าแชมป์ เซเรีย อา สมัยที่ 10 จากการทำแต้มเหนือ เปรูจา 3 คะแนน จนกระทั่งได้รับรางวัลติดดาวบนตราสโมสรตรงหน้าอกเสื้อจากการเป็นแชมป์ลีกครบ 10 สมัยเป็นทีมที่ 3 ต่อจาก ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน

1980 – แต่แล้วหลังจบฤดูกาลต่อมาทีมกลับถูก สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี หรือ FIGC ปรับให้ตกชั้นลงไปเล่นใน เซเรีย บี พร้อมกับ ลาซิโอ้ หลังทั้งสองทีมถูกตรวจพบว่ามีส่วนพัวพันกับการพนันฟุตบอล

1981 – พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็สามารถกลับคืนสู่ เซเรีย อา ได้ หลังคว้าแชมป์ เซเรีย บี ประจำฤดูกาล 1980-81 ได้สำเร็จ

1982 – แต่กลับมาคราวนี้ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อทีมทำผลงานได้อย่างย่ำแย่และตกชั้นลงไปตั้งแต่ปีแรกที่ขึ้นมา หลังทำแต้มน้อยกว่า เจนัว ทีมที่อยู่เหนือพื้นที่สีแดงแค่คะแนนเดียว

1983 – มิลาน ยังคงใช้เวลาเพียงแค่ซีซั่นเดียวในการกลับคืนสู่ลีกสูงสุดของประเทศ หลังเข้าป้ายเป็นที่ 1 โดยในคราวนี้ยังมี ลาซิโอ้ ทีมที่รับโทษลงมาพร้อมกับพวกเขาเมื่อ 3 ปีก่อนตามกลับขึ้นไปด้วย

1986 – จากผลกระทบทางด้านการเงินที่ย่ำแย่ก็ทำทีมห่างหายจากความสำเร็จไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งการก้าวเข้ามาครอบครองสโมสรของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ นักธุรกิจชาวมิลาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 1986 ก็ช่วยพลิกชะตากรรมให้กับพวกเขา โดยเริ่มจากการทาบทาม อาร์ริโก้ ซาคคี่ เข้ามาคุมทีม และยังดึงตัว สามทหารเสือชาวดัตช์ มาร์โก แวน บาสเท่น, รุด กุลลิท และ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ที่เคียงข้างสตาร์ชาวอิตาเลียน อย่าง โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, คาร์โล อันเชล็อตติ และ โจวานนี่ กัลลี่ ด้วยความหวังจะกลับมาตามล่าถ้วยรางวัลอีกครั้ง

1988 – ในที่สุด ปีศาจแดงดำ ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง หลังสามารถกระชากแชมป์มาจาก นาโปลี ที่นำทัพด้วยดาวเด่นอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า ผู้ที่ยังคว้ารางวัลดาวซัลโวได้ในซีซั่นนั้น ก่อนที่ทีมจะมาเอาชนะ ซามพ์โดเรีย 3-1 และครองแชมป์ ซูเปอร์โค้ปปา อิตาเลียน่า เป็นสมัยแรกในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 1988

รอสโซเนรี่ หวนกลับคืนสู่เวทียุโรป

1989 – รอสโซเนรี่ หวนกลับคืนสู่เวทียุโรป และฝ่าฟันเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ก่อนจะถล่ม สเตอัว บูคาเรสต์ 4-0 ที่ คัมป์ นู จากการทำคนละ 2 ประตูของ แวน บาสเท่น และ กุลลิท จนกลายเป็นแชมป์ยุโรปใบใหญ่สมัยที่ 3 ของทีม และต่อเนื่องด้วยการปราบ บาร์เซโลน่า ด้วยสกอร์รวม 2-1 ในเกม ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะปิดท้ายปีด้วยการเฉือนเอาชนะ อัตเลติโก้ นาซิอองนาล 1-0 ในถ้วย อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ที่เริ่มหันมาจัดในประเทศ ญี่ปุ่น

1990 – ปีศาจแดง ได้สิทธิ์ลงเตะในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ ในฐานะแชมป์เก่า ก่อนจะเดินหน้าต่อจนมีโอกาสได้ป้องกันแชมป์ด้วยการผ่านเข้าไปพบกับ เบนฟิก้า ในนัดชิงชนะเลิศที่ แอนสท์-ฮัพเพิล-สตาดิโอน กรุงเวียนนา และมาได้ประตูชัย 1-0 จาก แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ในช่วงครึ่งหลังที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 4 ก่อนจะเดินตามรอยซีซั่นที่ผ่านมาด้วยการเอาชนะรายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ จากการสยบ ซามพ์โดเรีย ด้วยผลรวม 3-1 และมาถล่ม คลับ โอลิมเปีย จาก อุรุกวัย 3-0 ในเกม อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ที่ เนชั่นแนล สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว

1992 – หลังการจากไปของ อาร์ริโก้ ซาคคี่ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเพื่อไปรับตำแหน่งผจก.ทีมชาติอิตาลี พวกเขาก็ได้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เข้ามาสืบทอดตำแหน่งและสานต่อความยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมสร้างสถิติไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล 1991-92 จนคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุมกำลังในแนวรับที่ขึ้นหิ้งเป็นตำนานของวงการลูกหนัง อย่าง ฟรังโก้ บาเรซี่, อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า และ เปาโล มัลดินี่ และยังเป็นซีซั่นสุดท้ายที่ 3 ทหารเสือชาวดัตช์ สามารถยึดตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ แวน บาสเท่น ที่ซัดไปคนเดียวถึง 25 ประตูจนกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในฤดูกาลนั้น ก่อนจะเปิดหัวฤดูกาลต่อมาด้วยการเอาชนะ ปาร์ม่า 2-1 ในรายการ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า

1993 – มิลาน เสริมทัพในช่วงซัมเมอร์โดยการดึงตัว ฌอง-ปิแอร์ ปาแปง มาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย และ สร้างสถิติโลกในเวลานั้นด้วยการทำศึกนอกสนามกับ ยูเวนตุส ในการยื้อแย่งตัว จานลุยจิ เลนตินี่ ปีกฟอร์มเทพ จาก โตริโน่ มาในราคา 13 ล้านปอนด์ ก่อนที่ทีมจะเดินหน้าป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จ ในขณะที่ยังผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ แต่ก็กลับพ่ายแพ้ให้กับ มาร์กเซย ไปแบบหวุดหวิด 1-0 พวกเขามาได้รางวัลปลอบใจในถ้วย ซูเปอร์โค้ปปา อิตาเลียน่า ที่เอาชนะ โตริโน่ 1-0 ในช่วงเดือนสิงหาคม

1994 – ทีมของ คาเปลโล่ สามารถสร้างสถิติคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งนอกจากจะต้องขอบคุณแผงหลังระดับพระกาฬที่ยังอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ในแดนกลางก็ยังขับเคลื่อนด้วย เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่, โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, ซโวนิเมียร์ โบบัน และ เดยัน ซาวิเซวิช โดยมี ดานิเอเล่ มัซซาโร่ คอยค้ำอยู่ในแดนหน้า และด้วยขุมกำลังชุดนี้ก็ยังทำให้พวกเขากลับมาครองบัลลังก์จ้าวยุโรปได้เป็นสมัยที่ 5 หลังเปิดฉากไล่ถล่ม บาร์เซโลน่า 4-0 ในนัดชิง ยูโรเปี้ยน คัพ ที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงเอเธนส์ และต่อด้วยการเอาชนะ ซามพ์โดเรีย ในการดวลจุดโทษหลังเสมอกันในเวลา 1-1 จนเป็นฝ่ายครองถ้วย ซูเปอร์โค้ปปา อิตาเลียน่า เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แต่กลับปิดท้ายปีได้ไม่สวยหลังพ่ายให้กับ เบเลซ ซาร์สฟิลด์ ที่นำทัพโดย โฮเซ่ หลุยส์ ชิลาเวิร์ต 2-0

1995 – ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1995 ทีมลงเตะแมตช์เหย้า-เยือนกับ อาร์เซน่อล ในรายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ ก่อนจะเอาชนะไปได้จากผลรวม 2-0 และยังสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แต่ก็พ่ายให้กับ อาแจ็กซ์ 1-0 จากทีเด็ดของ แพทริค ไคลเวิร์ต หัวหอกดาวรุ่งที่ลงมาเป็นซูเปอร์ซับและยิงประตูชัยได้ในนาทีที่ 85

1996 – แม้การประสานงานในแนวรุกของคู่หัวหอกป้ายแดงอย่าง จอร์จ เวอาห์ และ โรแบร์โต้ บาจโจ้ อาจจะยังไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด แต่ด้วยแนวรับอันแข็งแกร่งก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ ปีศาจแดงดำ กลับมาเข้าป้ายเป็นที่ 1 อีกครั้ง และกลายเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 15 ของพวกเขา พร้อมการจากไปของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์

1997 – ออสการ์ ตาบาเรซ ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน คาเปลโล่ อยู่กับทีมได้ไม่กี่เดือนก่อนจะถูกปลดออกไปหลังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ ก่อนที่ ซาคคี่ จะถูกดึงตัวกลับมาแต่ก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมๆกลับมาได้จนกระทั่งจบฤดูกาล 1996-97 ในอันดับที่ 11

1998 – คาเปลโล่ หวนกลับมาคุมทีมอีกครั้งในซีซั่นต่อมา และแม้จะพยายามเสริมทัพด้วยเหล่าสตาร์อย่าง คริสเตียน ซีเก้, แพทริค ไคลเวิร์ต, เจสเปอร์ บลอมควิสต์ และ เลโอนาร์โด้ แต่ผลงานโดยรวมก็ยังห่างไกลจากที่เคยทำไว้เมื่อไม่กี่ไปก่อนหน้านี้จนกระทั่งจบฤดูกาลในอันดับที่ 10 พร้อมกับการถูกยกเลิกสัญญาจากสโมสร

1999 – ในที่สุด รอสโซเนรี่ ก็หันไปคว้าตัว อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ ผู้ที่เคยพา อูดิเนเซ่ เข้าป้ายเป็นที่ 3 ในซีซั่นที่ผ่านมา พร้อมกับหนีบลูกรักจากต้นสังกัดเก่าอย่าง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ และ โธมัส เฮลเว็ก มาด้วย รวมถึงการเสริมทัพด้วย โรแบร์โต้ อยาล่า, ลุยจิ ซาล่า และ อันเดรส กูเยลมินปิเอโตร พร้อมปรับแผนรูปแบบการเล่นใหม่เป็น 3-4-3 จนทำให้ทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างร้อนแรงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง จนกระทั่งปาดหน้า ลาซิโอ้ ทีมเต็งคว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ สมัยที่ 16 ไปครอง โดยที่ เบียร์โฮฟฟ์ หัวหอกตัวเป้าสามารถซัดไปถึง 20 ประตูในฤดูกาลนั้นและเป็นรองเพียงแค่ มาร์โช่ อโมโรโซ่ และ กาเบรียล บาติสตูต้า เท่านั้น

อังเดร เชฟเชนโก้ หัวหอกป้ายแดงชาวยูเครน

2000 – แม้ อังเดร เชฟเชนโก้ หัวหอกป้ายแดงชาวยูเครน จะเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง แต่ทีมของ ซัคเคโรนี่ ก็ไม่อาจทำแต้มไล่ตาม ลาซิโอ้ และ ยูเวนตุส ที่เบียดลุ้นแชมป์กันตลอดเส้นทางก่อนจะจบฤดูกาล 1999-2000 ด้วยการรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 แบบห่างๆ

2001 – หลังผ่าน ดินาโม ซาเกร็บ ด้วยผลรวม 6-1 จากรอบคัดเลือก 2 นัดจนผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มสเตจแรกในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และกลายเป็นจ่าฝูงของกลุ่มที่ประกอบด้วย ลีดส์ ยูไนเต็ด, บาร์เซโลน่า และ เบซิคตัส แต่พวกเขาก็ไปสะดุดอยู่ในสเตจที่สอง ในขณะที่ผลงานในลีกก็ไม่ค่อยดีนักจนทำให้ ซัคเคโรนี่ กระเด็นหลุดออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ เซซาเร่ พ่อของ เปาโล มัลดินี่ กองหลังกัปตันทีม จะเข้ามาเสียบแทนแต่ก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่พาทีมจบในดันดับที่ 6

2002 – สโมสรแต่งตั้ง ฟาติห์ เตริม ที่เคยประสบความสำเร็จกับ กาลาตาซาราย โดยเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่เลวนัก แต่หลังจากย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน 2001 ในขณะที่ทีมเริ่มถูกทิ้งห่างจาก 5 อันดับแรก กุนซือชาวตุรกี ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางข่าวลือว่า ฟรังโก้ บาเรซี่ จะเข้ามารับหน้าที่แทน แต่สุดท้ายก็เป็น คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ได้สืบทอดตำแหน่งและสามารถพาทีมคว้าโควต้าไป แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าด้วยการคว้าอันดับที่ 4

2003 – ผลงานในลีกของทีมเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะแผ่วปลายในช่วง 8 นัดสุดท้ายที่พ่ายไปถึง 5 ครั้ง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 3 อย่างไรก็ตามฤดูกาล 2002-03 ก็ยังถือว่าเป็นปีที่ มิลาน ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากการเดินตบเท้าลงสู่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพื่อดวลแข้งกับ ยูเวนตุส ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะเป็นฝ่ายแม่นเป้ากว่าในการดวลจุดโทษตัดสินจนกลายเป็นแชมป์ยุโรปใบใหญ่สมัยที่ 6 ของทีม นอกจากนี้พวกเขายังสามารถคว้าแชมป์ โค้ปปา อิตาเลีย ได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปีหลังเอาชนะ โรม่า ได้ด้วยสกอร์รวม 6-3 และมาถล่ม ลาซิโอ้ 3-0 ในเกม ซูเปอร์โค้ปปา อิตาเลียน่า ก่อนออกสตาร์ทซีซั่นถัดไป

2004 – จากฟอร์มอันร้อนแรงของ อังเดร เชฟเชนโก้ ที่สอดประสานงานในเกมรุกได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ริคาร์โด้ กาก้า บวกกับแผงหลังอันเหนียวแน่นที่ดูแล โดย อเลสซานโดร เนสต้า และ เปาโล มัลดินี่ ก็ช่วยให้ ปีศาจแดงดำ กลับมาครองแชมป์ เซเรีย อา เป็นสมัยที่ 17 ด้วยการโกยแต้มทิ้งห่าง โรม่า ไปไกลถึง 11 คะแนน อย่างไรก็ตามยังคงมีข้อกังขาเกี่ยวกับความปวกเปียกในแดนกลางของพวกเขาที่ส่งผลชัดเจนในการกระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังพ่ายแพ้ให้กับ เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า 4-0 จากที่เคยเอาชนะมาก่อน 4-1 ในเลกแรกที่ ซาน ซีโร่

2005 – จากฟอร์มถล่มประตูอันสุดฮอทของ เอร์นาน เครสโป ที่ยืมตัวมาจาก เชลซี ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผลงานของทีมติดลมบนแม้จะไม่เพียงพอต่อการไล่ตาม ยูเวนตุส ทีมแชมป์ที่ทำแต้มอยู่เหนือพวกเขา 7 คะแนน ในขณะที่ประตูสำคัญตอนช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมที่ออกไปเยือน พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในรอบตัดชือกเลกที่สองของ มัสซิโม่ อัมโบรซินี่ ก็ทำให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี แต่สุดท้ายการออกนำ ลิเวอร์พูล ไปก่อน 3-0 ในช่วง 45 นาทีแรกที่ อตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบูล ก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้อย่างที่ตั้งใจ เมื่อเกมจบลงด้วยความพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษหลังเสมอกัน 3-3 ภายในเวลา 120 นาที

2006 – เป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ทีมทำผลงานไล่เบียดไปกับ ยูเวนตุส และแม้จะสามารถเก็บชัยชนะไปได้ถึง 28 นัดตลอดทั้งฤดูกาลแต่ก็ยังคงมี 3 แต้มตามหลัง ทีมม้าลาย ที่เก็บไปได้สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ถึง 91 คะแนน แต่แล้วหลังจากการโป๊ะแตกของคดี กัลโช่โปลี ที่สั่นสะเทือนไปทั้งวงการลูกหนังอิตาลี ก็ทำให้ ยูเว่ ถูกปรับตกชั้น ในขณะที่ มิลาน ก็ถูกตัดไป 44 จาก 88 คะแนนที่ทำได้พร้อมกับการถูกหักอีก 15 แต้มภายในฤดูกาลหน้า อย่างไรก็ตามโทษของพวกเขาถูกลดหย่อนลงในภายหลังเหลือเพียงตัด 30 คะแนนและ -8 แต้มในซีซั่นหน้า ซึ่งจาก 58 คะแนนที่เหลือก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ทีมจบในอันดับที่ 3 และได้ไปเตะใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

2007 – รอสโซเนรี่ ออกสตาร์ทฤดูกาล 2006-07 ด้วยการมีแต้มติดลบ 8 คะแนนพร้อมกับผลงานลุ่มๆดอนๆที่ทำให้ทีมจบครึ่งซีซั่นแรกตรงกลางตาราง แต่จากการเสริมทัพในช่วงหน้าหนาวด้วยการคว้าตัว มัสซิโม่ อ๊อดโด้ ดาวเตะชุดแชมป์โลกปี 2006 และ โรนัลโด้ ดาวยิงชาวแซมบ้า ก็ช่วยปลุกความมีชีวิตชีวาให้กับทีมในช่วงครึ่งหลังจนสามารถขยับขึ้นมาเข้าวินในอันดับที่ 4 ในขณะที่พวกเขาโคจรกลับมาล้างตากับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ โอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงเอเธนส์ ก่อนจะเอาชนะไปได้ 2-1 จากการเหมาคนเดียว 2 ประตูของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ พร้อมกับตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของสโมสรด้วยการเดินลงสนามนัดชิงบอลถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ถึง 3 ครั้งในรอบ 5 ปีและกลับออกมาด้วยการเป็นผู้ชนะถึง 2 ครั้ง พวกเขาเดินหน้าต่อด้วยการคว้าถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ หลังเอาชนะ เซบีย่า 3-1 และปิดท้ายปีด้วยการสยบ โบค่า จูเนียร์ส 4-2 พร้อมกับการครองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

2009 – หลังจากผ่านฤดูกาลก่อนมาแบบเงียบๆบวกกับการออกสตาร์ทซีซั่นใหม่ด้วยการพ่ายแพ้ใน 2 นัดแรก ทำให้ทีมตัดสินใจเสริมทัพในช่วงต้นปีด้วยการเซ้งต่อ โรนัล ดินโญ่ มาจาก บาร์เซโลน่า และดึงตัว อังเดร เชฟเชนโก้ ที่ไปล้มเหลวกับ เชลซี กลับมาพร้อมๆกับแข้งชื่อดังรายอื่นๆทั้ง จานลูก้า ซามบร็อตต้า, มาร์โก้ บอร์ริเอลโล่ และ มาติเยอ ฟลามินี่ รวมถึงดีลเซอร์ไพรส์อย่าง เดวิด เบ็คแฮม ที่เข้ามาร่วมทีมในสัญญายืมตัวช่วงสั้นๆ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาเกาะกลุ่มหัวตารางได้อย่างเหนียวแน่นและจบในอันดับที่ 3 รองจาก อินเตอร์ มิลาน ทีมแชมป์ และ ยูเวนตุส แต่บางทีไฮไลท์ที่สำคัญของฤดูกาล 2008-09 ก็น่าจะเป็นการปิดฉากอาชีพค้าแข้งที่ยาวนาน 25 ปีของ เปาโล มัลดินี่ กองหลังผู้เป็นตำนานของทั้งสโมสรและวงการลูกหนังโลก

2010 – เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลเมื่อ เลโอนาร์โด้ ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทีมแทน คาร์โล อันเชล็อตติ ที่เริ่มต้นด้วยผลงานอันตะกุกตะกัก ก่อนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี โดยระหว่างเปิดตลาดช่วงหน้าหนาวทีมก็จัดการปล่อยตัว กาก้า ไปให้กับ เรอัล มาดริด ที่กลายเป็นสถิติโลกในช่วงสั้นๆ 64.5 ล้านยูโร แต่ทีมก็ยังมีดีพอที่จะจบฤดูกาลในอันดับที่ 3

2011 – หลังเสียศูนย์ไปจากคดีอื้อฉาว กัลโช่โปลี พร้อมกับการผงาดขึ้นมาครองบัลลังก์ภายในประเทศของ อินเตอร์ มิลาน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การชี้นำของ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ที่ขยับเข้ามานั่งเก้าอี้แทน เลโอนาร์โด้ ที่ย้ายไปคุมทีมคู่แข่งร่วมเมือง ก็เริ่มเปิดฉากด้วยการเซ็นสัญญากับ โรบินโญ่ จาก แมนฯ ซิตี้ มาในราคา 18 ล้านยูโร และจัดการยืมตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช มาจาก บาร์เซโลน่า รวมถึง เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง มาจาก เจนัว ก็ทำให้ ปีศาจแดงดำ ค่อยๆไต่อันดับขึ้นมาจนยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนอกจากขุมกำลังแนวรุกหน้าใหม่ทั้งสองบวกกับ อเล็กซานเดร ปาโต้ ที่ช่วยกันยิงรวมกัน 19 ประตูจนถึงช่วงสิ้นปี 2010 ก็ยังมีผลงานในแนวรับอันยอดเยี่ยมของ อเล็กส์ซานโดร เนสต้า ที่ยืนจับคู่กับ ติอาโก้ ซิลวา อยู่หน้า คริสเตียโน่ อับเบียติ ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีเกมรับแน่นหนาที่สุดในเวลานั้น และแม้การเสริมทัพในเดือนมกราคมที่ได้ตัว อันโตนิโอ คาสซาโน่, มาร์ค ฟาน บอมเมล, เออร์บี้ เอมมานูเอลสัน และ นิโคล่า เลอกร็อตตาเย่ จะมิอาจช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการถูก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เขี่ยตกรอบ 16 ทีม แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ยังทำให้ ปีศาจแดงดำ ยึดตำแหน่งหัวตารางใน เซเรีย อา ได้อย่างเหนียวแน่นจนสามารถชูถ้วย สคูเด็ตโต้ เป็นครั้งที่ 18 ได้สำเร็จ

ทีมเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ไม่ดีนัก

2012 – ทีมเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ไม่ดีนักเมื่อชนะได้เพียงครั้งเดียวจาก 5 นัดแรก แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆติดเครื่องจนทะยานขึ้นมารั้งตำแหน่งจ่าฝูงได้ในนัดสุดท้ายของปี 2011 หลังจบช่วงเบรคฤดูหนาวและกลับมาลงเตะกันอีกครั้ง ทีมก็กลับมาเป็นฝ่ายตามหลัง ยูเวนตุส ก่อนจะแซงได้อีกครั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ และรักษาตำแหน่งผู้นำได้จนกระทั่งการพ่ายแพ้คาบ้านให้กับ ฟิออเรนติน่า 2-1 ในช่วงต้นเดือนเมษายน ก็ทำให้พวกเขาสูญเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับ ทีมม้าลาย ยาวไปจนจบฤดูกาล

2014 – แม้จะคว้าอันดับที่ 3 ได้ในซีซั่นที่ผ่านมา แต่ มิลาน ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ขาลงทั้งจากการจอดป้าย UCL ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการถูก แอตเลติโก้ มาดริด ถล่มรวมกัน 2 นัด 5-1 ในขณะที่ผลงานในลีกก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ตรงกลางตารางตั้งแต่ต้นจนไปจบซีซั่นด้วยอันดับที่ 8

2015 – ปัญหานอกสนามของทีมน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญของความล้มเหลวในซีซั่นที่แล้ว เมื่อผลประกอบในรอบบัญชีที่ผ่านมาสรุปเป็นตัวเลขติดลบถึง 91.3 ล้านยูโร จนทำให้ Fininvest บริษัทที่คอยดูแลผลประโยชน์ของสโมสรมีแผนการที่จะเทขายหุ้น 48% ที่มีมูลค่ารวม 480 ล้านยูโรให้กับ บี เตชะอุบล นักธุรกิจหนุ่มสัญชาติไทย แต่สุดท้ายดีลนี้ก็ถูกล้มเลิกไป จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล 2014-15 ทีมก็ถอยลงมาจบอยู่ในอันดับที่ 10

2016 – ในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ Fininvest ได้บรรลุข้อตกลงกับ ซิโน-ยุโรป สปอร์ตส์ กลุ่มนายทุนสัญชาติจีนในการยอมเทขายหุ้นส่วนทั้งหมด 99.93% ที่รวมเป็นมูลค่า 520 ล้านยูโร โดยในซีซั่นนั้นทีมขยับขึ้นมาจบในอันดับที่ 7 และได้เข้าชิง โค้ปปา อิตาเลีย ก่อนจะพ่ายให้กับ ยูเวนตุส จากประตูชัย 1-0 ของ อัลบาโร่ โมราต้า ในนาทีที่ 110 ของช่วงต่อเวลาพิเศษ

2017 – ภายใต้การคุมทีมของ วินเซนโซ่ มอนเตลล่า ก็ช่วยให้ทีมขยับขึ้นมาอีกเล็กน้อยด้วยการจบในอันดับที่ 6 โดยในช่วงปลายซีซั่นตอนกลางเดือนเมษายน การถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ของทีมก็สำเร็จลุล่วงไป โดย Rossoneri Sport Investment Lux ได้กลายเป็นบริษัทผู้ดูแลสโมสรรายใหม่ และเพื่อให้ดีลนี้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ Elliott Management Corporation บริษัทเงินทุนสัญชาติอเมริกัน ก็อนุมัติเงินกู้มูลค่า 303 ล้านยูโรให้กับ หลี่ หย่งหง เจ้าของทีมคนใหม่ ที่ถูกใช้ในการชำระหนี้ให้กับ Fininvest 180 ล้านยูโร และโอนเข้าสู่สโมสรโดยตรง 123 ล้านยูโร

2018 – หลังออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างน่าผิดหวัง ในที่สุด มอนเตลล่า ก็ถูกปลดอออกจากตำแหน่งและทีมก็หันมาผลักดัน เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ที่กำลังรับผิดชอบดูแลผู้เล่นชุด U-19 ให้ขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่แทน ก่อนที่อดีตกองกลางพันธุ์ดุจะช่วยพลิกสถานการณ์ให้ทีมขยับขึ้นมาจบในอันดับที่ 6 และคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูโรปา ลีก ฤดูกาลหน้าได้ ส่วนเหตุการณ์นอกสนามก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของทีมอีกครั้งหลังจบฤดูกาล 2017-18 เมื่อ หลี่ หย่งหง ไม่สามารถหาเงินมาผ่อนชำระค่างวด 32 ล้านยูโรจากเงินที่กู้มาทั้งหมด 303 ล้านยูโรในปีที่ผ่านมาได้ จนทำให้ Elliott Management Corporation บริษัทเจ้าหนี้เข้ามาฮุบกิจการและมีสถานะเป็นผู้ดูแลสโมสรรายใหม่

ผู้สนับสนุนและศัตรูคู่อริ

เอซี มิลาน คือหนึ่งในสโมสรที่มีแฟนบอลสนับสนุนมากที่สุดภายใน อิตาลี จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากลุ่มกองเชียร์หลักๆของพวกเขาคือพวกชนชั้นแรงงาน ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับ อินเตอร์ มิลาน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองที่ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีฐานะ ในขณะที่ ฟอสซ่า เดย์ เลโอนี่ กลุ่มแฟนบอลอุลตร้าที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศก็มีต้นกำเนิดมาจากในเมืองมิลาน

จากผลสำรวจภายในปี 2010 ปีศาจแดงดำ คือทีมจากอิตาลีที่มีแฟนบอลซัพพอร์ทมากที่สุดในยุโรปและอยู่ในอันดับที่ 7 จากทั้งหมดด้วยตัวเลขของแฟนบอลที่มีมากกว่า 18.4 ล้านคน พวกเขายังมียอดคนดูในสนามสูงที่สุดเป็นอันดับ 9 ของยุโรประหว่างซีซั่น 2010-11 เป็นรองจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, บาร์เซโลน่า, แมนฯ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, ชาลเก้ 04, อาร์เซน่อล และ ฮัมบูร์ก

บรรดากองเชียร์ของ เจนัว เริ่มมองว่า มิลาน เป็นศัตรูที่น่าชังสำหรับพวกเขาหลัง วินเซนโซ่ สปันโญโล่ หนึ่งในแฟนบอลของ เจนัว ถูกแทงจนเสียชีวิตโดยกองเชียร์ของ มิลาน ในปี 1995 อย่างไรก็ตามคู่อริหมายเลข 1 ของพวกเขาก็หนีไม่พ้น อินเตอร์ มิลาน ทีมคู่แข่งร่วมเมืองที่การพบกันของทั้ง 2 ทีมใน ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า จะถูกจับตามมองจากแฟนบอลทั่วประเทศ

ชื่อของ มิลาน ดาร์บี้ มีที่มาจากรูปปั้นของ พระแม่มารี ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน มหาวิหารแห่งมิลาน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง ในการพบกันของทั้งคู่มักจะมาพร้อมกับบรรยากาศอันน่าตื่นตะลึงที่ประดับประดาไปด้วยแผ่นป้ายแบนเนอร์ที่มีทั้งข้อความขบขันและเกรี้ยวกราดตลอดทั้งเกม

ที่ผ่านมาพลุไฟก็ถูกนำมาใช้และคอยสร้างปัญหาอยู่เป็นประจำระหว่างการแข่งขัน โดยเฉพาะกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศเลกสองของฤดูกาล 2004-05 ที่ทั้งคู่โคจรมาพบกันเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2005 ต้องถูกยกเลิกไป หลัง ดิด้า นายทวารชาวบราซิลของ มิลาน ถูกพลุไฟที่จุดจากฝั่งกองเชียร์ของ อินเตอร์ เข้าที่หัวไหล่

นอกจากนี้ ยูเวนตุส ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งที่สำคัญ จากการเป็น 2 ทีมที่ครองความสำเร็จในประเทศได้มากที่สุด และยังถือเป็นการประชันกันระหว่าง 2 ทีมที่มีแฟนบอลสนับสนุนมากที่สุดและอาจรวมถึงการเป็นทีมที่มูลค่าสูงที่สุดอีกด้วย ในขณะที่ โรม่า และ ฟิออเรนติน่า ก็ถูกมองว่าเป็นทีมคู่ปรับของพวกเขาเช่นเดียวกัน

ผู้สนับสนุนและศัตรูคู่อริ