นักเตะกองหลังราคาสูงสถิติโลก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

Virgil van Dijk

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 เป็นนักฟุตบอลอาชีพของประเทศฮอลแลนด์ ผู้ที่เล่นตำแหน่ง เซนเตอร์แบ็ค จากสโมสร ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเป็นกัปตันทีมของทีมชาติฮอลแลนด์ หลังจากเริ่มต้นอาชีพกับสโมสร โกรนิงเก้น เขาได้ย้ายสู่สโมสร เซลติก ในปีค.ศ. 2013 สโมสรที่เขาได้แชมป์สกอตติช พรีเมียร์ลีก และมีชื่อติดในทีมยอดเยี่ยม พีเอฟเอ ของสกอตแลนด์ ทั้งสองซีซั่นของเขา และได้คว้าแชมป์ ลีคคัพ สกอตแลนด์ในเวลาต่อมา
ในกันยายนปีค.ศ.2015 เขาได้เข้าร่วมสโมสรเซาท์แธมป์ตัน และเขาได้เข้าร่วมลิเวอร์พูลในเดือนมกราคม ปีค.ศ. 2018 ในราคา 75 ล้านปอนด์ เป็นสถิติโลกในตำแหน่งกองหลัง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มีส่วนร่วมในการพาลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแรกของเขา เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ได้ติดทีมชาติฮอลแลนด์ครั้งแรกในปี ค.ศ.2015 และก้าวสู่ตำแหน่งกัปตันทีมชาติในปีค.ศ.2018

ระดับสโมสร

โกรนิงเก้น

โกรนิงเก้น

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เกิดที่เมืองเบรด้า ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกกับสโมสร วิลเลี่ยม ทเว ก่อนที่จะย้ายไป โกรนิงเก้น ในปี 2010 แบบไม่มีค่าตัว หลังจากที่เล่นได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น เขาได้ลงเล่นเกมแรกกับโกรนิงเก้น โดยเป็นการลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 72 ลงมาแทนที่ เพ็ตเตอร์ แอนเดอร์สัน โดยเกมนั้น โกรนิงเก้น เอาชนะ เดนฮาก ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2011 ในฤดูกาล 2011-12 ฟาน ไดจ์ค ได้ลงเล่นไปทั้งหมด 23 เกม ในลีกเนเธอร์แลนด์ ประตูแรกที่เขาทำได้ เกิดขึ้นในเกมที่เอาชนะเฟเยนูร์ดไปได้ 6 ประตูต่อ 0 ในวันที่ 30 ตุลาคม 2011 และประตูที่สองที่เขาทำได้กับโกรนิงเก้น เกิดขึ้นในวันที่ 22 มกราคม 2012 ในเกมที่ช่วยให้โกรนิงเก้น เอาชนะ เฮอร์ราเคิล อัลเมโร่ ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 และทำประตูที่สามได้อย่างต่อเนื่องในสัปดาห์เดียวกัน ในเกมที่เอาชนะ ทเวนเต้ ไปได้ 4 ประตูต่อ 1 ส่วนในนามทีมสำรอง ฟาน ไดจ์ค ทำประตูแรกได้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2012 ในเกมที่เสมอกับ เฟเยนูร์ด ไป 2 ประตูต่อ 2 และทำได้อีกครั้งในเกมกับเฟเยนูร์ด เช่นกัน ในวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งแพ้ ให้กับเฟเยนูร์ด ไป 2 ประตูต่อ 1

เซลติก

เซลติก

ฤดูกาล 2013-14

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2013 ฟาน ไดจ์ค ย้ายมาเล่นให้กับทีมเซลติก โดยค่าตัว 2.6 ล้านปอนด์ ย้ายมาด้วยสัญญายาว 4 ปี โดยทางโกรนิงเก้น จะได้เปอร์เซ็นต์ ค่าตัวของ ฟาน ไดจ์ค ด้วย 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหาก ฟาน ไดจ์ค ย้ายทีมออกจากเซลติก ไปในอนาคต เขาได้ลงเล่นเกมแรกให้กับเซลติกในวันที่ 17 สิงหาคม ลงมาแทนที่ของ อีเฟ่ อัมโบรส ในช่วง 13 นาทีสุดท้ายของเกม ซึ่งช่วยให้เซลติก เอาชนะ อเบอร์ดีน ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 ในเกมสก็อตติช พรีเมียร์ชิพ โดยเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริง เกิดขึ้นในสัปดาห์ต่อไป ในเกมที่เซลติก เสมอ อินเวอร์เนส ไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 2 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ฟาน ไดจ์ค ทำประตูแรกให้กับ เซลติก ได้สำเร็จ โดยเป็นการทำประตูได้จากการโหม่งในครึ่งแรก ก่อนที่จบเกม เซลติก จะเอาชนะ รอสส์ เคานตี้ ไปได้ 4 ประตูต่อ 1 โดยเขายังทำประตูได้อย่างต่อเนื่องในเกมถัดมากับ เซนต์ จอห์นสโตนส์ ซึ่งเป็นประตูเดียวในเกม ทำให้เซลติก เอาชนะไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ในวันที่ 26 ธันวาคม
ฟาน ไดจ์ค ทำประตูได้อีกครั้งในวันที่ 26 มกราคม 2014 ในเกมที่เอาชนะ ฮิเบอร์เนี่ยน ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 ซึ่งทำให้เซลติก คว้าชัยชนะต่อเนื่องมาได้ถึง 11 เกม เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เขาถูกใบแดงไล่ออกจากสนามในช่วง 13 นาทีสุดท้ายของเกม จนทำให้แพ้ให้กับ อเบอร์ดีน ไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้นัดแรกของเซลติก อีกด้วยในฤดูกาลนี้ ฟาน ไดจ์ค ทำประตูได้อีกครั้งในวันที่ 7พฤษภาคม ช่วยให้ทีมเออกนำ เซนต์ จอห์นสโตนส์ ไปได้ 3 ประตูต่อ 1 ก่อนที่จะจบเกมด้วยการเสมอกันไป 3 ประตูต่อ 3 โดยในฤดูกาลนี้ เซลติก ก็คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค เป็นหนึ่งในสามนักเตะของเซลติกที่มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของลีกสก๊อตติช พรีเมียร์ ชิพ

ฤดูกาล 2014-15

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2014 ฟ่าน ไดจ์ และ ทีมู ปุกกิ ทำกันไปคนละ 2 ประตู ช่วยให้ทีมเอาชนะ เคอาร์ ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 ในเกมยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก รอบคัดเลือก ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ โดยผลสกอร์รวมอยู่ที่ 5 ประตูต่อ 0 และประตูแรกของเขากับทีมในลีก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน จากการเปิดบอลเข้ามาของ สเตฟาน โยฮันสัน ในนาทีสุดท้ายของเกม ช่วยให้เอาชนะ อเบอร์ดีน ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 สามสัปดาห์ต่อมา ฟาน ไดจ์ค ทำประตูแรกและประตูสุดท้าย ให้เซลติก เอาชนะ ฮาร์ท ออฟ มิดโลทัน ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 ในเกมรอบที่ 4 ของศึก สก็อตติช คัพ 4 วันต่อมา เขาทำประตูที่ 6 ของฤดูกาล ช่วยให้ทีมเอาชนะ แพททริค เทอร์เทิล ไปได้
ฟาน ไดจ์ค กลับมาทำประตูได้อีกครั้งในวันที่ 21 มกราคม 2015 ช่วยให้ทีมเอาชนะ มาเทอร์เวล ไปได้ 4 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เขาถูกไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 36 ของเกม โดยการทำฟาว เมาโร อิคาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่งของอินเตอร์ มิลาน และทีมของเขาก็ต้องพ่ายไป 1 ประตูต่อ 0 จนตกรอบ 32 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในที่สุดด้วยผลสกอร์รวม 4 ประตูต่อ 3 เขาถูกใบแดงไล่ออกจากสนามอีกครั้งในวันที่ 8 มีนาคม เกมรอบก่อนรองชนะเลิศของศึกฟุตบอลถ้วยในสก็อตแลนด์ ซึ่งเขาไปทำฟาว คัลลัม บุตเชอร์ ในนาทีที่ 11 ของเกม จนสุดท้ายเขาถูกแบนต่อเนื่องในเกมนัดชิงชนะเลิศของ สก็อตแลนด์ ลีก คัพ ฟาน ไดจ์ค ได้กลับมาเล่นแบบ 90 นาทีเต็มอีกครั้ง ในเกมที่ช่วยให้เซลติก เอาชนะ ดันดี ยูไนเต็ด ไปได้ 2 ประตูต่อ 0
เมื่อวันที่ 19 เมษายน เซลติก ได้ลงเล่นในเกมรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วยอีกครั้งกับ อินเวอร์เนส ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค ทำประตูแรกให้ทีมขึ้นนำจากการยิงฟรีคิก แต่สุดท้ายแล้ว จากความผิดพลาดของผู้รักษาประตูของทีมอย่าง เคร็ก กอร์ดอน ทำให้ทีมต้องแพ้ไป 3 ประตูต่อ 2 พลาดโอกาสในการคว้า 3 แชมป์ไปครองอย่างน่าเสียดาย สามวันต่อมา ฟาน ไดจ์ค ทำประตูได้อีกครั้ง จากการยิงฟรีคิก เหมือนเดิม ช่วยให้ทีมเอาชนะ ดันดี ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 ทีมของเขาสามารถคว้าแชมป์สก็อตแลนด์ พรีเมียร์ ชิพ ได้อีกครั้ง และ ฟาน ไดจ์ค ก็มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันอีกด้วย
ฟาน ไดจ์ค มีข่าวออกมาว่ากำลังพิจารณาอนาคตตัวเอง กับสโมสรเซลติก หลังจากที่ทีม ตกรอบ หลังจากแพ้ให้กับ มัลโม่ ทีมตัวแทนจากประเทศสวีเดน ในศึก ยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก 2015-16

เซาท์แธมป์ตัน

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซาท์แธมป์ตัน

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2015 ฟาน ไดจ์ค เซ็นต์สัญญามาร่วมทีมยาวถึง 5 ปีเต็ม ย้ายมาเล่นให้กับทีม เซาท์แธมป์ตัน ทีมในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ซึ่งคาดว่ามีค่าตัวอยู่ราวๆ 13 ล้านปอนด์

ฤดูกาล 2015-16

เขาได้ลงเล่นเกมแรกให้กับเซาท์แธมป์ตันในวันที่ 12 กันยายน ในเกมที่เสมอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ไปแบบไม่มีสกอร์ สองสัปดาห์ต่อมา ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นเกมที่สามในลีก พร้อมกับการทำประตูได้สำเร็จ ซึ่งเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง เจม หวอร์ด พราวน์ เปิดลูกเข้ามาให้เขาโหม่งทำประตู ช่วยให้ทีมเอาชนะ สวอนซี ซิตี้ ไปได้ 3 ประตูต่อ 1 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 216 ฟาน ไดจ์ค ตัดสินใจขยายสัญญากับเซาท์แธมป์ตันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เพิ่มไปอีก 6 ปี เต็มเลยทีเดียว

ฤดูกาล 2016-17

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2017 เขากลายมาเป็นกัปตันของทีมเซาท์แธมป์ตัน หลังจากที่กัปตันทีมคนเก่าอย่าง โฆเซ่ ฟอนเต้ ย้ายออกจากทีมไป ซึ่งในวันเดียวกันนั้น เขาก็ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า ในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ นั้นส่งผลให้เขาพลาดในเกมนัดชิงชนะเลิศของศึก คาราบาว คัพ ซึ่งทีมของเขาก็แพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป ณ สนาม เวมบลี่ย์
หลังจากประสบความสำเร็จมากๆกับเซาท์แธมป์ตันในปี 2016-17 ฟาน ไดจ์ค ตกเป็นข่าวกับทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูล ซึ่งลิเวอร์พูล ได้แอบติดต่อกับนักเตะโดยตรง ซึ่งผิดกฎการซื้อขายนักเตะ ทำให้ลิเวอร์พูลต้องออกมาขอโทษ เซาท์แธมป์ตัน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2017 ฟาน ไดจ์ค ขอขึ้นบัญชีขาย เพื่อที่จะบีบให้เซาท์แธมป์ตันปล่อยตัวเขาออกไป โดยเขาต้องการที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอื่นในตลาดนักเตะปีนั้น

ฤดูกาล 2017-18

ฟาน ไดจ์ค ยังคงเป็นนักเตะของเซาท์แธมป์ตัน ในช่วงแรกของฤดูกาล 2017-18 และเขาได้ลงเล่นเกมแรก หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บไปเดือนมกราคม ลงมาเป็นตัวสำรอง ในเกมที่ทีมเอาชนะ คริสตัล พาเลช ไปได้ด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ 0 ในวันที่ 26 กันยายน ฟาน ไดจ์ค ได้ลงเล่นเป็นเกมสุดท้ายให้กับเซาท์แธมป์ตัน ในวันที่ 13 ธันวาคม 2017 ไม่สามารถช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะไปได้ ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ไป 4 ประตูต่อ 1

ลิเวอร์พูล

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ลิเวอร์พูล

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2017 ลิเวอร์พูล ออกแถลงการณ์คว้าตัว ฟาน ไดจ์ค มาร่วมทีมในตลาดหน้าหนาว ซึ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2018 โดยเขามีค่าตัวราว 75 ล้านปอนด์ ซึ่ง อดีตสโมสรของเขาอย่าง เซลติก ได้รับส่วนแบ่งไปฟรีๆถึง 10 เปอร์เซ็นต์ โดยการย้ายทีมในครั้งนี้ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะกองหลังที่แพงที่สุดในโลกอีกด้วย

ฤดูกาล 2017-18

เขาได้ลงเล่นเกมแรกให้กับลิเวอร์พูล ในวันที่ 5 มกราคม ในเกมเอฟเอ คัพ รอบที่ 3 และทำประตูแรกให้กับทีมได้ทันที ช่วยโหม่งทำประตูให้ทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไปได้ 2 ประตูต่อ 1 เท่านั้นยังไม่พอ เขายังกลยเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ที่ บิล ไวท์ เคยทำได้ในปี 1901 ที่สามารถทำประตูได้ในเกมเมอร์ซี่ไซส์ ดาร์บี้ ซึ่งเป็นเกมเปิดตัวของเขาด้วย ฟาน ไดจ์ค และ เดยัน ลอฟเรน กลายมาเป็นคู่หูในแนวรับของลิเวอร์พูล ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค ได้รับเครดิตอย่างสูง สำหรับการที่ทำให้เกมรับของลิเวอร์พูล นั้นดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ฟาน ไดจ์ค มีรายขื่อติดทีมยอดเยี่ยมของศึกยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก ในฤดูกาลนี้ด้วย แม้ว่าจะได้ลงเล่นแค่ครึ่งฤดูกาลก็ตาม โดยทางทีมงานของยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก นั้นออกมาเปิดเผยว่า ฟาน ไดจ์ค ย้ายมาเล่นให้กับลิเวอร์พูล และทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา ในเกมรอบน็อคเอ้าส์ของศึกยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นครบ 90 นาที ในเกม ยูฟ่า แชมป์เปี่ยน ลีก รอบชิงชนะเลิศ กับ เรอัล มาดริด ซึ่งไม่สามารถช่วยให้ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไปได้ สุดท้ายต้องแพ้ไป 3 ประตูต่อ 1 ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นไปทั้งหมด 22 เกมในฤดูกาลแรกกับลิเวอร์พูล และทำไปได้ทั้งหมด 1 ประตู

ฤดูกาล 2018-19

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2018 ฟาน ไดจ์คถูกโหวตให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมที่เอาชนะ คริสตัล พาเลช ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 ฟาน ไดจ์ค ยังได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของลิเวอร์พูลอีกด้วยในเดือนสิงหาคม เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ทำแอสซิสต์ ช่วยให้ ดิว็อค โอริกี้ ทำประตูชัยให้ทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไปได้ 1 ประตูต่อ 0 ในนาทีที่ 96 ซึ่งเป็นความโชคดีของทีมด้วย เพราะว่าเป็นความผิดพลาดของ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูของเอฟเวอร์ตันด้วยเช่นกัน เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ฟาน ไดจ์ค ทำประตูแรกในพรีเมียร์ ลีก ได้ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วูล์ฟแฮมตัน วันเดอร์เรอร์ ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 นักเตะชาวเนเธอร์แลนด์ ยังคงทำผลงานได้อย่างสุดยอดอย่างต่อเนื่อง ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ ลีก ในเดือนธันวาคมไปครองได้อีกด้วย

ระดับนานาชาติ

ฟาน ไดจ์ค ติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2015 ช่วยให้บ้านเกิดของเขา เอาชนะ คาซัคสถานไปได้ 2 ประตูต่อ 1ในเกมยูฟ่า ยูโร 2016 รอบคัดเลือก
เขาได้รับตำแหน่งกัปตันทีมชาติจากการแต่งตั้งโดน โรนัลด์ คูย์มัน ในวันที่ 22 มีนาคม 2018 และเกมแรกในฐานะกัปตันทีมของเขาเกิดขึ้นในอีก 1 วันถัดมา คือเกมอุ่นเครื่องที่เอาชนะทีมชาติอังกฤษไปได้ 1 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เขาทำประตูแรกให้กับทีมชาติได้สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะโปรตุเกส ไปได้ 3 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เขาก็ทำประตูได้อีกครั้ง ในเกมที่เอาชนะ เยอรมัน ทีมแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 ไปได้ถึง 3 ประตูต่อ 0 ในศึก ยูฟ่า เนชั่น ลีก

สไตล์การเล่น

ฟาน ไดจ์ค เป็นนักเตะกองหลังตรงกลางที่ถนัดเท้าขวา ซึ่งปกติมักจะได้เล่นกองหลังตรงกลางทางฝั่งซ้าย ซึ่งจริงๆแล้วเขาสามารถเล่นได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา
นีล แม็คกีสเนส แมวมองรุ่นเก๋าของเซลติก เป็นหนึ่งในทีมงานที่ทำให้เซลติก ซื้อตัวฟาน ไดจ์ค มาร่วมทีม เขาได้ออกมาบรรยายถึงนักเตะรายนี้ว่า เขาเป็นนักเตะคนหนึ่งที่มีครบทุกอย่างที่คุณต้องการสำหรับกองหลัง แถมยังยกให้เขาเป็นกองหลังที่เล่นฟุตบอลได้อย่างไหลลื่น มีทักษะการเล่นฟุตบอลกลางอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังเป็นนักเตะที่มีความเป็นผู้นำสูงอีกด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ที่เขาย้ายมาเล่นในอังกฤษ เขาก็มีแต่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ