การเดินทางของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือสะท้านโลก

การเดินทางของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือสะท้านโลก

ย้อนร้อยสุดยอดตำนานกุนซือชื่อก้องไปทั่วโลก เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมคู่บุญของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นบุคคลสำคัญที่ประสบความสำเร็จใจฐานะกุนซือมากที่สุดในโลก เขาสามารถพาขุนพลกองทัพผีแดงผงาดคว้าแชมป์มาแล้วถึง 40 รายการโดยเป็นการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปได้ถึง 13 สมัยและยังไม่เคยมีผู้จัดการทีมคนไหนที่ทำแบบเขาได้มาก่อน เขาเป็นชายสัญชาติสก็อตแลนด์และเป็นแฟนบอลของ แมนฯยูไนเต็ด มาตั้งแต่จำความได้เข้าเกิดในวันที่ 31 ธันวาคม 1941 ปัจจุบันอายุ 79 ปี เส้นทางการทำงานของเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นนักฟุตบอลในลีกของประเทศสก็อตแลนด์โดยทีมที่เขาลงเล่นให้มีทั้ง ควีนส์ ปาร์ค เซนต์ จอห์นสโตน กลาสโกว เรนเจอร์ส ดันเฟิร์มลิน อายร์ ยูไนเต็ด และ ฟัลเคิร์ก แต่การเล่นฟุตบอลของเขาอาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดเพราะเขาไม่ใช่สายลุยในสนามแต่เขาเป็นคนที่ชอบวางแผนการเล่นสะมากกว่าจนในที่สุดระยะทางของการเป็นนักเตะของเขาก็สิ้นสุดลงและเริ่มต้นบทเรียนใหม่ด้วยการเป็น “เฮดโค้ช”

เฟอร์กูสัน หรือ เฟอร์กี้ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมทันทีหลังจากที่แขวนสตั๊ดโดยเริ่มจากสโมสรในบ้านเกิดอย่าง อีตส์ สเตอร์ลิงเชีย ตามต่อด้วยสโมสร เซนต์ เมียร์เรน และเปิดท้ายที่อเบอร์ดีนก่อที่จะย้ายไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด ความสำเร็จในตอนที่คุมทีมอยู่ในลีกสก็อตแลนด์ เขาพา เซนต์ เมียร์เรน คว้าแชมป์ลีก ดิวิชั่น 1 มาครองได้ 1 สมัยและพา อเบอร์ดีน เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมา 3 สมัย และรายการบอลถ้วยประจำประเทศอย้่ง สก็อตติช คัพ 4 สมัยและยังมีถ้วยฟุตบอลรายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า วินเนอร์สคัพ มาอีก 1 สมัยและปิดท้ายด้วยรายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า คัพ อีกหนังสมัยเป็นการทิงทวนสุดท้ายกับการคุมทีมในบ้านเกิดและหลังจากนั้น เฟอร์กูสัน ก็กำลังจะเริ่มต้นการพจญภัยครั้งใหม่ด้วยการย้ายไปอยู่กับสโมสรที่เป็นสุดยอดทีมของเกาะอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

รอน แอตกินสัน กุนซือคนเก่าของกองทัพปีศาจแดงถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในช่วงปี 1986 ทำให้ตำแหน่งที่ว่างอยู่นั้นถูกแทนที่ด้วยการดึงตัว เฟอร์กูสัน เข้ามารับหน้าที่ต่อโดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 กุนซือสัญชาติสก็อตแลนด์เข้าดำรงค์ตำแหน่งเป็น ผจก.ทีม อย่างเป็นทางการแต่ว่าการเข้ามาคุมทีมในฤดูกาลนั้นเฟอร์กี้ต้องเจอกับความยากลำบากเนื่องจาก แมนฯยูไนเต็ด ฟอร์มของพวกเขากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากโดยรั้งอยู่ในอันดับ 4 จากโซนท้ายตารางแต่แล้วเฟอร์กี้ก็ช่วยทำให้ แมนฯยู กลับมาอยู่ในพื้นที่กลางตารางไว้ได้และรอดจากการตกชั้นลงไปในฤดูกาลแรกที่เขาเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมโดยที่ยังไม่มีการเสริมทัพนักเตะแต่อย่างใด แต่ระยะทางของการมองหาความสำเร็จสำหรับทัพปีศาจแดงยังคงเรือนลางพวกเขาสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นมากจากฤดูกาลที่ผ่านมา แมนฯยู คว้าอันดับ 2 ต่อท้าย ลิเวอร์พูล ที่เป็นอันดับ 1 ในฤดูกาลนั้นถือว่าเป็นบทเรียนที่ถือว่ายากมากสำหรับกุนซือที่ย้ายมาใหม่หลายๆคนต่างมองการไกลไปถึงการเป็นแชมป์ทำให้แรงกดดันถาถมมาอยู่ที่ตัวของผู้จัดการทีมแต่ด้วยประสบการณ์ของเฟอร์กี้เขารู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรทำให้การทำงานของเขายังคงดำเนินไปตามรูปแบบที่เขาตั้งการและตั้งเป้าหมายคือการพาทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ลีกให้ได้จนกระทั่งในฤดูกาล 1989-90 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงเมื่อ เฟอร์กูสัน พาปีศาจแดงคว้าถ้วยแชมป์รายการ เอฟเอ คัพ มาครองได้เป็นสมัยแรกของการคุมทีมของเขาโดยคู่ปรับที่ แมนฯยู เอาชนะมาได้นั้นคือทางด้านของ คริสตัล พาเลซ และหลังจากได้แชมป์แรกมาครองก็ดูเหมือนจะเป็นการจุดประกายให้กับแฟนบอลของแมนฯยู ในปีต่อมาเฟอร์กี้ก็เดินหน้าพาทีมคว้าแชมป์ในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์สคัพ มาครองได้เป็นถ้วยใบที่สองโดยการเอาชนะทีมจากฝั่งของ ลาลีก้า สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า ไป 2-1 จากการทำประตูชัยปิดท้ายของ มาร์ค ฮิวจ์ส ต่อมาอีกหนึ่งฤดูกาล แมนฯยู ก็สามารถคว้ารางวัลบอลถ้วยในประเทศอย่างรายการ ลีก คัพ มาเพิ่มพูนความมั่นใจให้กับแฟนบอลได้อีก 1 ใบแต่ดูเหมือนว่าแฟนบอลของ เร้ด เดวิลส์ จะยังคงต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นคือการเห็นทีมรักของพวกเขากลับมาได้แชมป์ลีกอีกครั้งเพราะผ่านมาแล้ว 26 ปีที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดนี้เลยและที่สำคัญพวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล มาโดยตลอด 26 ปี แต่แล้วการรอคอยที่แสนยาวนานของบรรดาสาวกเร้ดเดวิลส์ก็มาถึงในฤดูกาล 1992-93 เฟอร์กี้ ก็สามารถพาทีมในดวงใจกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จโดยมีผลพวงมาจากการที่เขายอมทุ่มเงินจำนวน 1 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัว อิริค คันโนน่า เข้ามาเสริมแนวรุกทำให้ทีมอัพเกรดเกมรุกจนสามารถเข้าเส้นชัยในการเป็นแชมป์ลีกได้สำเร็จปาดหน้าแซง แอสตัน วิลล่า ไปได้อย่างสุดมันส์ ต่อจากนั้นเส้นทางของเฟอร์กี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเนื่องจากฤดูกาลต่อมาเขาก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ต่อด้วยการเบิ้ลครั้งสองในฤดูการถัดมาได้อีกเรียกได้ว่าตอนนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เริ่มทำผลงานจนแซงหน้าทีมคู่ปรับอย่าง ลิเวอร์พูล กลายเป็นผู้เดินน้ำหน้าหาความสำเร็จแทนที่หงส์แดงมาตลอดหลายปี และในยุคที่ยอดเยี่ยมที่สุดของป๋าเฟอร์กี้ก็มาถึงในช่วงฤดูกาล 1998-99 แมนฯยู คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ซึ่งมี พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เอฟเอคัพ และยูโรเปี้ยน คัพ สามรายการที่เขาพาทีมคว้าถ้วยมาครองได้และยังไม่เคยมีทีมไหนที่เคยทำได้มาก่อน รวมไปถึงแมตช์สุดยอดของความน่าประทับใจคือการใช้สองผู้เล่นสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอร์ริ่งแฮม กับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนัดชิงและแล้วทั้งสองแข้งก็ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังหลังจากทั้งสองคนต่างพากันช่วยทีมทำประตูจนสามารถเอาชนะคู่ปรับอย่าง บาร์เซโลน่า และคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองนับว่าเป็นผลงานที่สมบูร์ณแบบที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือสะท้านโลก

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการพาขุนพลปีศาจแดงคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองทำให้ เฟอร์กี้ ได้เหรียญพระราชทานยศอัศวินจนกลายมาเป็นชื่อเรียกเต็มๆว่า “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” และหลังจากนั้นดูเหมือนว่าการคุมทีมของเฟอร์กี้จะมาถึงจุดอิ่มตัวและเขาคงจะสละเก้าอี้แต่ไม่ใช่เลย กุนซือเลือกสก็อตติชยังคงทำหน้าที่ในดูแลเก้าอี้ผู้จัดการทีมต่อไปและยังสมารถพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกติดต่อกัน 3 ปีซ้อนได้อีกนับความสำเร็จในการทำทีมของเฟอร์กูสันจากฤดูกาลแรกจนถึงฤดูกาล 2001-03 เขาทำให้แมนฯยูเป็นแชมป์ลีกมาแล้ว 8 สมัยด้วยกันแต่ความสำเร็จก็ยังไม่หยุดแต่เพียงแค่นั้น เฟอร์กี้ ยังสร้างตำนานนักเตะชื่อดังระดับโลกมากมาย เริ่มต้นจากการคว้าตัว เวย์น รูนี่ย์ เข้ามาและต่อด้วย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สองคู่หูแห่งจอมทัพเร้ดเดวิลส์ ที่เข้ามาสร้างความตื่นเต้นและเปิดความสำเร็จหน้าใหม่ๆให้กับสโมสรการมาของสองแข้งดังเริ่มต้นเปิดฉากด้วยการเป๋นแชม์ในรายการ ลีกคัพและจบด้วยการคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 9 ต่อมาหลังจากที่ตลาดหน้าหนาวเริ่มต้นขึ้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ไปดึงแข่งใหม่เข้าทีมมาเสริมได้ 3 รายคือ หลุยส์ นานี่ , โอเว่น ฮากรีฟส์ และ แอนเดอร์ซัน ทำให้ความแข็งแกร่งของสโมสรยกระดับขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นจนสามารถรักษาแชมป์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาลต่อมาและตามต่อด้วยการเป็นเจ้ายุโรปเป็นสมัยที่สองโดยการปาดหน้าเอาชนะจุดโทษเหนือ เชลซี ไปได้อย่างสนุก

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ความสำเร็จของสโมสรยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านั้น เฟอร์กี้ ยังคงเดินหน้าพาทีมคว้าแชมป์มาครองได้อยู่เรื่อยๆตั้งแต่การเป็นแชมป์สโมสรโลกและตามต่อด้วยการเป็นแชมป์รายการ คาร์ลิ่ง คัพ ที่เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ไปด้วยการสังหารจุดโทษหลังจบจากการต่อเวลาพิเศษ ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม ปี 2009 ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจากทีมที่เคยตามหลังคู่ปรับอย่าง ลิเวอร์พูล มาตลอดหลายฤดูกาลเรื่องของความสำเร็จในการเป็นแชมป์ลีกที่ หงส์แดง ทำเอาไว้ ในที่สุดเฟอร์กี้ก็มาปิดตำนานด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งที่ 18 เทียบเท่ากับหงส์แดงโดยมาจากการคุมทีมของ เฟอร์กูสัน ไปถึง 11 สมัยจากการทำงานมาอย่างหนักกับทีมร่วม 17 ปีจนอีก 2 ปีต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ฉีกหน้าตำราแชมป์ลีกสูงสุดที่ทีมไหนๆเคยทำได้โดยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เป็นสมัยที่ 19 แซงหน้าสถิติเก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ไปเป็นที่เรียบร้อยและต่อมาในฤดูกาล 2011-12 ทำเอาแฟนบอลของ ผีแดง ถึงกับต้องจุกกันไปตามๆกันเมื่อทางด้านของทีมอริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผงาดขึ้นมาเบียดเอาแชมป์พวกเขาไปในวินาทีสุดท้ายของฤดูกาล แต่หลังจากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็มาปิดท้ายความสำเร็จให้กับแมนฯยูได้ในฤดูกาล 2012-13 ก่อนจะที่จะอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมนับได้ว่าเขาคือสุดยอดกุนซือที่สุดในโลกที่ไม่เคยมีใครคนไหนเคยทำได้อย่างเขามาก่อนสรุปแล้ว เฟอร์กี้ พาแมนฯยูได้แชมป์ลีกสูงสุดมาแล้วถึง 13 ครั้งจากการทำงาน 21 ปีที่ โอลด์แทร็ฟฟอร์ด เขาได้รับการยกย่องจากแฟนบอล แมนฯยูไนเต็ด อย่างล้นหลามและปิดตำนานได้อย่างสวยหรู แต่สุดท้ายแล้วด้วยความที่เขาคลอเคลียอยู่กับวงการลูกหนังมาอย่างยาวนานทำให้การทำงานของเขาก็ยังไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านั้น เฟอร์กี้ ได้รับตำแหน่งในการดูแลสโมสรอยู่ในบอร์ดสโมสรของแมนยูแล้ได้ยังรับตำแหน่งเป็นฑูตของสโมสรอีกด้วย

และทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาของสุดยอดผู้จัดการทีมที่มีความสามารถอย่างล้นเหรอและเป็นที่รักของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ความทุ่มเทและความพยายามอย่างหนักที่ต้องการให้ทีมรักเขาเอาชนะทีมคู่ปรับตลอดการอย่าง ลิเวอร์พูล ให้ได้ทำให้ เฟอร์กี้ เป็นกุนซือที่สร้างความสำเร็จมากมายให้กับสโมสรแห่งนี้และเป็นเหมือนดั่งตัวแทนสัญลักษณ์ประจำสโมสรไปแล้ว ณ ตอนนี้ เรื่องราวของสุดยอดขงเบ้งแห่งวงการลูกหนังก็จบลงแต่เพียงเท่านั้นหวังว่าบทความนี้จะพอมีประโยชน์กับตัวผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อยขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย