เจอร์เก้น คล็อปป์กับ 5 โมเมนต์อันเป็นตำนานกับลิเวอร์พูล

ผมคือคนธรรมดา

ผมคือคนธรรมดา

คล็อปป์ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในแง่ของการทำทีมแบบเน้นเกมรุก แถมสื่อมวลชนเองก็ตั้งใจอยู่แล้วที่จะจับตาดูการให้สัมภาษณ์เปิดตัวของเขาในวันแรกที่เขามาถึงพรีเมียร์ลีก หลายคนรอลุ้นว่าเขาจะแนะนำตัวเองยังไง จะเป็นแบบที่โชเซ่ มูรินโญ่ เคยทำเอาไว้หรือไม่ ซึ่งในเวลานั้น มูรินโญ่ เรียกตัวเองว่า ‘คนพิเศษ’ (The Special One)และในการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีม คล็อปป์ ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรแบบนั้น เขาเรียกตัวเองว่าเป็นเพียง ‘คนธรรมดาๆคนหนึ่ง’ ไม่เหมือนกับคำพูดของมูรินโญ่ ที่เคยพูดไว้ตอนปี 2004 เลยและ ‘คนธรรมดา’ ที่ว่านี่ก็ได้ทำงานอย่างมหัศจรรย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 ลิเวอร์พูล (2015)

คล็อปป์ สามารถพาลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะครั้งใหญ่ได้ ในเกมที่พวกเขาสู้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมันเป็นเพียงช่วงเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น หลังจากที่เขาได้ก้าวเข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูลคล็อปป์ พาทีมลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สำเร็จ มันเป็นการพาทีมสร้างความมั่นใจในการเล่นได้มากขึ้น หลังจากพวกเขาออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างน่าผิดหวังภายใต้การคุมทีมของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส พวกเขาพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ย่ำแย่สวนทางกับในฤดูกาลที่พวกเขาได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว

ลิเวอร์พูล 4-3 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (2016)

ลิเวอร์พูล 4-3 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (2016)

คล็อปป์ พาทีมลิเวอร์พูลเอาชนะดอร์ทมุนด์ ทีมเก่าของเขาได้สำเร็จ และทำให้ทุกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาเป็นสุดยอดผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแล้วในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี คล็อปป์ ได้กลับมาพบกับอดีตสโมสรของเขาอีกครั้งในศึก ยูโรป้าลีก รอบก่อนรองชนะเลิศแม้จะมีอารมณ์ความรู้สึกที่แสนอาลัยแค่ไหน แต่ชัยชนะเหนือดอร์ทมุนด์ทั้งสองเลก มันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอะไร คล็อปป์มูฟออนจากดอร์ทมุนด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ลิเวอร์พูลดันไปแพ้ในรอบชิงชนะเลิศแบบน่าเสียดาย ชวดได้แชมป์ประเดิมฤดูกาลแรกที่เขาคุมทีม

ชัยชนะในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ (2016)

คล็อปป์ สามารถพาลิเวอร์พูลเปิดฉากถล่มเอฟเวอร์ตัน ได้แบบขาดลอยถึง 4-0 ในฤดูกาลแรกของเขาที่สโมสรแห่งนี้ ซึ่งถ้าแฟนบอลยังจำกันได้ ลิเวอร์พูลทำได้แค่เสมอกับเอฟเวอร์ตันที่สนาม กูดิสัน พาร์ค ในช่วงต้นฤดูกาล 2015-16 ในพรีเมียร์ลีก แถมเสมอกันไปแบบไม่น่าให้อภัยด้วย และคล็อปป์เองก็ได้ลิ้มรสเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้เป็นครั้งแรกโดยเหลืออีกห้าเกมก็จะปิดฤดูกาลแล้วแม้ว่าจะมีครึ่งแรกอันตึงเครียด แต่เพราะด้วยประตูจากการยิงของ ดิว็อค โอริกี้ และ มามาดู ซาโก้ ที่ยิงได้ก่อนครึ่งแรกจะจบลง มันเลยทำให้ความเครียดจางหายไปเลย โดยที่ลิเวอร์พูลได้ประตูเพิ่มจาก แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มันคืออีก 1 เกมแห่งความทรงจำเลยทีเดียว

เซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (2018)

เซ็นสัญญากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (2018)

สิ่งหนึ่งที่คล็อปป์ไม่สามารถทำได้ในช่วงสองปีแรกของเขาในฐานะกุนซือลิเวอร์พูลก็คือ การปรับปรุงกองหลังของลิเวอร์พูลหงส์แดงยังคงสั่นคลอนในเกมรับและเสียประตูเป็นว่าเล่น โดยพวกเขามีความต้องการกองหลังที่สามารถเป็นผู้นำในเกมรับได้ และแน่นอนว่าคำตอบตรงนี้สามารถเคลียร์ได้ในช่วงปลายปี 2017 เมื่อลิเวอร์พูลยืนยันว่าพวกเขาได้ตกลงเซ็นสัญญากับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์คมาจากเซาแธมป์ตันได้แล้วด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์อันแสนน่าประหลาดใจแต่สุดท้ายนั้นผลงานของ ฟาน ไดจ์ค ที่ทำให้กับทีมนั้น ก็แสนจะคุ้มค่าเลยทีเดียว