ค้นประวัต์ไอ้รถถัง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ [Gennaro Gattuso]

พลิกประวัติ ไอ้รถถัง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ [Gennaro Gattuso]

เจนนาโร่ กัตตูโซ่ หรือชื่อเต็ม เจนนาโร่ อิวาน ริโน่ กัตตูโซ่ เกิดวันที่ 9 ม.ค. ค.ศ. 1978 ที่คอริเกลียโน่ คาลาโบร เป็นอดีตนักฟุตบอลที่รีไทร์หรือแขวนสตั๊ดไปเรียบร้อย และปัจจุบันเปลี่ยนสถานะเป็น ผจก. ทีมคุมทีมเอซี มิลาน ยอดทีมของอิตาลี ที่เคยลงเล่นให้เมื่อสมัยเป็นนักฟุตบอล ในนามนักเตะ ตำแหน่งหลักที่เขาลงเล่นนั้น จะอยู่ในแดนกลาง ซึ่งก็คือมิดฟิลด์ตัวรับเสียส่วนมาก ซึ่งตามจริงแล้ว เขามีทักษะในการเล่นปีกด้วย ในช่วงแรกๆนั้น กัตตูโซ่ เริ่มค้าแข้งให้กับสโมสรเล็กๆ ในดินแดนมะกะโรนีบ้านเกิด อย่างเช่นทีมเปรูจา หรือซาแลนิตาน่า รวมถึงทีมดังจากลีกเล็กๆ อย่างเรนเจอร์ส อีกด้วย แต่ภายจำที่แฟนบอลยุคปลาย 90 ถึงยุค 2000 จำได้นั้น คือการลงเล่นให้กับทีมดังเมืองมิลานอย่าง เอซี มิลาน ในศึกเซเรียอา เสียมากกว่า ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาร่วมพาทีมคว้าแชมป์ UCL หรือยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ได้ถึง 2 ครั้งคือฤดูกาลที่ 2002 – 03 และ 2006 – 07 รวมไป ถ้วยรายการโคปปา อิตาเลีย ในปี 2002 – 03 และสคูเต็ดโต้ หรือแชมป์ลีกอิตาลี ในปี 2003 – 04 และ 2010-11 นอกเหนือจากนี้ เขายังอยู่ในชุดคว้าแชมป์อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ เอาชนะรายการยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ได้ถึง 2 หน และยังมีรายการฟีฟ่า คลับ เวิร์ลคัพ อีกหนึ่งรางวัลประดับเกียรติยศ ส่วนในรายการระดับชาตินั้น เขาอยู่ในทีมอัสซูรี่ชุดที่คว้าเหรียญทองรายการโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 แชมป์โลกรวมทุกรุ่นอายุ 3 สมัย แชมป์รายการยูโรเปี้ยนอีก 2 ครั้ง และคว้าแชมป์รายการ ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นคัพ ได้อีก 1 ครั้งในปี 2009

“กั๊ตจัง” กัตตูโซ่ถือเป็นมิดฟิลด์คู่บุญคู่ขวัญกับอันเดรีย ปีร์โล ยอดเพลย์เมคเกอร์ ทั้งในสโมสรและระดับชาติ เขาเป็นส่วนสำคัญของทีมอัสซูรี่ในการคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 2006 และเป็นตัวขับเคลื่อนในแดนกลางที่พาเอซี มิลาน คว้าแชมป์ทั้งในระดับประเทศ ระดับทวีป และระดับนานาชาติ ในช่วงยุคกลางทศวรรษที่ 10 และแม้ว่าตัวของกัตตูโซ่จะไม่ได้ถูกพูดมากนักในเรื่องของทักษะหรือเทคนิคการเล่น ความเร็ว การสร้างความได้เปรียบ และความเข้าขาในการสนับสนุนการเล่นของปีร์โล่ หรือความคิดสร้างสรรค์ในการเล่นฟุตบอล แต่ด้วยเรื่องของพละกำลัง ความดุดัน การเข้าสกัดอันหนักหน่วง นั่นก็มากเพียงพอที่จะทำให้กั๊ตจัง มีชื่อติดอยู่ในการจัดทีมยอดเยี่ยม ในใจใครต่อใครอีกหลายคน ในตำแหน่งของเขา และด้วยทักษะการเอาชนะในการแย่งบอล กัตตูโซ่ก็เป็นที่พูดถึงในเรื่องของความกระหายชัยชนะ และความเป็นผู้นำชนิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ตลอดอายุการค้าแข้งของเขา เขารับบทกัปตันอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่การแขวนสตั๊ดไปของยอดแบ็คซ้าย เปาโล มัลดินี่ ในการเปลี่ยนบทบาท มาเป็น ผจก. ทีม เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นทั้งนักฟุตบอล พร้อมคุมทีมด้วยในเวลาเดียวกัน ให้กับทีมสุดท้ายของชีวิตการค้าแข้งเขา สโมสรซิยง แห่งสวิสส์ซูเปอร์ลีก และเข้าคุมทีมชั่วคราว ให้กับทีมปาเลอร์โม่ และโอเอฟไอ เครเต้ ทีมจากลีกประเทศกรีซ และในเดือน มิ.ย. 2016 เขาก็สามารถพาทีมปิซ่า เลื่อนชั้นขึ้นมาเซเรีย บี ได้สำเร็จ

ชีวิตการค้าแข้ง

แรกเริ่มฟุตบอลอาชีพ

ด้วยความที่กัตตูโซ่เกิดที่คอริเกลียโน่ คาลาโบร ดังนั้น เขาจึงเริ่มค้าแข้งกับทีมเปรูจา สโมสรฝั่งอัมเบรียน แต่ในเดือน ก.ค. 1997 กัตตูโซ่ในวัย 19 ปีก็ได้ย้ายไปซบเรนเจอร์ส ยอดทีมจากลีกสก็อตแลนด์ผู้ที่ดึงตัวกัตตูโซ่เข้าเมืองกลาสโกวนั้นคือ วอลเตอร์ สมิธ ยอดกุนซือที่คุมทีมอยู่ในขณะนั้น แต่เมื่อปี 1998 ที่เขาได้ออกจากทีมไป และเป็น ดิก แอดโวคาต ที่เข้ามาคุมทีมแทนนั้น ตัวดิกไม่ได้ประทับใจกัตตูโซ่เท่าไหร่นัก และถูกจับไปเล่นในตำแหน่งอื่น นั่นคือแบ็คขวา ซึ่งนั่นทำให้ในที่สุด ในเดือน ต.ค. 1998 กั๊ตจังก็ต้องอัปเปหิตัวเองมายังลีกบ้านเกิด และเป็นซาแลนิตาน่า ทีมซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเซเรีย อาร์ ในปีดังกล่าว รับตัวกัตตูโซ่เข้าทีมด้วยราคา 4 ล้านยูโร แต่แม้ว่าฟอร์มของกัตตูโซ่จะดีมากขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่อาจช่วยทีมให้รอดพ้นการตกชั้นได้

เอซี มิลาน

ฟอร์มการเล่นของกัตตูโซ่ไปเข้าตาทีมเอซี มิลาน

หลังจากตกชั้นกับซาแลนิตาน่า ฟอร์มการเล่นของกัตตูโซ่ไปเข้าตาทีมเอซี มิลาน ยอดทีมในลีกเดียวกัน จึงจัดการรวบตัวเข้าทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 ด้วยราคาค่าตัว 8 ล้านยูโร กัตตูโซ่ลงเล่นให้กับทีมมิลานครั้งแรกในวันที่ 15 ก.ย. 1999 ซึ่งทีมมิลานออกไปยันเสมอ เชลซี ยอดทีมแห่งเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และก็มักจะออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอเขาลงเล่นในศึกมิลานดาร์บี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 1999 และแมทช์ดังกล่าวก็สร้างความประทับใจจนทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟนๆ ทีมมิลานได้อย่างทันทีทันใด จากความเป็นผู้ใหญ่ที่เกินตัวและความดุดันที่กัดนักเตะที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกองหน้าระดับโลกของอินเตอร์ มิลาน อย่างโรนัลโด้ ไม่ยอมปล่อย ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับทีมมิลาน กัตตูโซ่ลงเล่นในบทบาทมิดฟิลด์จอมขยันและผู้เก็บกวาดเอาชนะการแย่งบอลมาตลอด จนกระทั่งการที่คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือมากความสามารถชาวอิตาลี ก้าวเข้ามาคุมทัพ และจัดการดึงตัวยอดเพลย์เมคเกอร์ชาวอิตาเลียนอย่างอันเดรีย ปีร์โล่ มาเล่นกับเขาในแดนกลาง บทบาทหน้าที่ของเขาก็เปลี่ยนไป โดยปีร์โล่ จะรับหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุก ในขณะที่กัตตูโซ่จะสนับสนุนปีร์โล่อยู่ในแนวลึก เป็นดั่งมิดฟิลด์ตัวรับ และสองมิดฟิลด์คู่หูนี้ก็ร่วมกันสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติภายใต้การคุมทีมของอันเชลอตติ ไม่ว่าจะเป็น การคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย แชมป์รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ในปี 2003 รวมถึงแชมป์สคูเด็ตโต้ หรือแชมป์ลีกเซเรียอา ของอิตาลี และแชมป์ซูเปอร์โคปปา อิตาเลีย ในปี 2004 อีกด้วย กัตตูโซ่ขยายสัญญาตัวเองกับทีมมิลานในเดือน มิ.ย. 2003 และในเดือน ต.ค. 2004 เขาก็ช่วยทีมมิลานให้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนที่จะแพ้ให้กับ “เร้ดส์ แมชชีน” ลิเวอร์พูล ยอดทีมจากลีกอังกฤษ ไปในการดวลจุดโทษ ซึ่งผลรวมในเวลาคือเสมอ 3 – 3 ทั้งที่ครึ่งแรกนำอยู่ 3 – 0

กัตตูโซ่ลงเล่นเกมที่ 300 ให้กับสโมสรเอซีมิลาน ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยผลในนัดดังกล่าว จบลงด้วยการเสมอกันอย่างไม่มีประตู 0 – 0 กับทีมลีลล์ ยอดทีมจากฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2006 หลังจากจบแมทต์ดังกล่าว กัตตูโซ่ตัดสินใจขยายสัญญาของตัวเองกับทีมออกไปอีก จนไปถึงปี 2011 ณ วันที่ 1 ก.พ. 2007 และแล้ว ในวันที่ 23 พ.ค. 2007 ทีมเอซีมิลานที่กัตตูโซ่สังกัดก็คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองของเขาในอาชีพนักฟุตบอล โดยเป็นการเอาชนะทีมลิเวอร์พูล ถอนแค้นได้สำเร็จจากเมื่อปี 2004 เฉือนชนะไป 2 – 1 และหลังจากที่ช่วยทีมชาติคว้าแชมป์โลก 2007 ได้สำเร็จแล้ว ในวันที่ 27 ธ.ค. 2007 นั้น กัตตูโซ่เข้ารับการเทรนกับทีมเรนเจอรส์ สโมสรเก่าของเขา ในด้านการเรียกความฟิต ซึ่งเป็นช่วงที่ลีกเซเรีย อาร์ ยังพักเบรกหนีหนาวอยู่ และในช่วงดังกล่าว ภรรยาของเขาก็กลับมายังสก็อตแลนด์เพื่อเยี่ยมครอบครัวในช่วงคริสต์มาสอีกด้วย และในช่วงปลาย ธ.ค. กัตตูโซ่ก็ได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นไขว้หน้าข้อเข่า ในนัดที่มิลานเอาชนะคาตาเนียไป 1 – 0 ในเกมลีก แต่อาการบาดเจ็บดังกล่าว ไม่ทำให้กัตตูโซ่ยอมแพ้แต่อย่างใด เขายังคงลงเล่นต่อ จนครบเวลา 90 นาที ก่อนที่เกมจะจบลงและถูกส่งตัวไปให้แพทย์วินิจฉัยอาการต่อ ซึ่งอาการบาดเจ็บดังกล่าว ส่งผลให้เขาต้องเข้ารับการผ่าต่อในที่สุด ในวันที่ 19 ธ.ค. 2008 ที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม โดยในตอนแรกนั้น เขาได้รับการวินิจฉัยว่าต้องพักนานถึง 6 เดือนด้วยกัน แต่ทว่า ร่างกายของเขาฟื้นฟูเร็วจนกลับมามีชื่อติดม้านั่งสำรองได้อีกครั้งในวันที่ 10 พ.ค. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ 1 เดือน ตามกำหนดการณ์

กัตตูโซ่ออกมายืนยันว่าเขาจะไม่ขยายสัญญากับทีมเอซี มิลาน

ในวันที่ 22 ส.ค. 2009 เขาลงเล่นนัดที่ 400 ให้กับทีมมิลาน ในนัดเปิดฤดูกาล 2009 – 10 ของศึกเซเรีย อาร์ โดยเป็นการพบกับ ซิเอน่า ซึ่งกัตตูโซ่ สวมปลอกแขนรับหน้าทีกัปตันทีม และต่อมา ทางสโมสรเอซี มิลานก็ได้ออกแถลงการณ์อย่างชัดเจนว่า กัตตูโซ่ จะอยู่กับทีมต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2012 อันเนื่องมาจากการขยายสัญญาออกไปอกี 1 ปี ในฤดูกาลที่ 2010 – 11 ถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีที่สุดของชีวิตการค้าแข้งของกัตตูโซ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การที่เขาทำประตูได้ หลังจากไม่มีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดมาเป็นเวลา 3 ปีด้วยกัน และเป็นการทำประตูด้วยเท้าซ้าย ข้างที่เขาไม่ถนัด อีกทั้งยังเป็นลูกยิงนอกกรอบเขตโทษ ซึ่งนั่นก็เป็นประตูเดียวในนัดนั้น ช่วยให้ทีมเอซี มิลาน เอาชนะคู่แข่งจอมคว้าแชมป์อย่าง “ม้าลาย” จูเวนตุส ไปได้ 1 – 0 ในวันที่ 5 มี.ค. 2011 และต่อมา ในเวลาที่ไม่นานกว่ากันมากนัก กัตตูโซ่ ก็ได้ฉลองชัยกับการทำประตูของตัวเองอีกครั้ง ในนัดที่ทีมปีศาจแดงดำเอาชนะกายารี่ไปได้ 4 – 1 ด้วยการโหม่งระยะไกล แต่เป็นการเอาชนะผู้รักษาประตูของกายารี่ ซึ่งวิ่งออกมานอกเขต จนส่งลูกบอลเข้าประตูไปได้สำเร็จ และในปีนี้ กัตตูโซ่ เป็นหนึ่งในขุนพลที่ได้ฉลองความสำเร็จจากแชมป์สคูเด็ตโต้ หลังจากที่นัดสุดท้าย เสมอกับโรม่าไปโดยไร้สกอร์ 0-0 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. กัตตูโซ่ประสบปัญหาทางสายตาในช่วงต้นเดือน ก.ย. 2011 ซึ่งเป็นไม่กี่วันก่อนที่ฤดูกาล 2011 – 12 จะเริ่มต้น โดยทีมเอซี มิลานลงแข่งกับทีมดังเมืองโรมอย่าง ลาซิโอ และเขาก็ชนกับ อเลสซานโดร เนสต้า เพื่อนร่วมทีมของเขาเอง จนได้รับบาดเจ็บที่จา ส่งผลให้ถูกเปลี่ยนตัวออกทันที ตั้งแต่นาทีที่ 20 เท่านั้น และได้รับการวินิจฉัยว่า เส้นประสาทเส้นที่ 6 ของเขามีปัญหา และนั่นส่งผลให้เขาเห็นภาพซ้อน แน่นอนว่าปัญหาอาการบาดเจ็บดังกล่าวส่งผลอย่างรุนแรงในการเล่นฟุตบอล ซึ่งก็เกือบจะทำให้เขาต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปเลย หลังจากที่เขาเปิดใจว่า เขามองเห็นซลาตัน อิบราฮิโมวิช ยอดนักล่าตาข่ายเพื่อนร่วมทีมของเขา เป็น 4 คน และมองไม่เห็นเนสต้า เซนเตอร์ที่เขาวิ่งชน ในวันที่ 11 พ.ค. 2012 กัตตูโซ่ออกมายืนยันว่าเขาจะไม่ขยายสัญญากับทีมเอซี มิลานออกไปอีก ซึ่งนั่นจะทำให้สัญญาของเขาที่มีต่อทีมปีศาจแดงดำ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งจะทำให้เขาสามารถออกจากทีมได้ทันทีที่จบฤดูกาล

เอฟซี ซิยง

กัตตูโซ่ก็ตัดสินใจมาร่วมทีมซิยง ทีมจากลีกสวิตเซอร์แลนด์

ในวันที่ 15 มิ.ย. 2012 หลังจากออกจากทีมมิลาน กัตตูโซ่ก็ตัดสินใจมาร่วมทีมซิยง ทีมจากลีกสวิตเซอร์แลนด์ จากตอนแรก เขามีข่าวว่าน่าจะไปร่วมทีมเรนเจอส์ ทีมเก่าของเขาที่สก็อตแลนด์ แต่ดีลดังกล่าวต้องล่มไปด้วยความยุ่งยากในการจัดการเรื่องการเงินของสโมสร ซึ่งหลังจากลงเล่นในสโมสรจนเข้าสู่ปีใหม่ ในวันที่ 25 ก.พ. 2013 กัตตูโซ่ ซึ่งมีใบประกาศการเป็นผู้จัดการทีมอยู่แล้ว ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผจก. ทีมคนใหม่ของสโมสร แทนที่วิคตอร์ มูนยอส ที่ลดบทบาทลงไปเป็นสเกาท์เซอร์หรือแมวมองแทน หลังจากการคุมทีมแพ้สโมสร ธุน ไป 0-4 ในศึกสวิสส์ ซูเปอร์ลีก

ความรุนแรง

ในช่วงเดือน ก.ย. 2003 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งทีมเอซีมิลาน เจอกับทีมอาแจ็กซ์ นัดดังกล่าวกัตตูโซ่ได้รับใบแดงไล่ออกจากสนามจากการใช้หลังมือตบเข้าที่เบ้าหน้าของ “พระเจ้า” ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงทีมชาติสวีดิช พฤติกรรมของเขายังคงสร้างปัญหาต่อมาอยู่เรื่อยๆ ในเดือน ธ.ค. 2005 หลังจากการเป่านกหวีดสิ้นสุดการแข่งขันในนัดที่เอซี มิลานพ่ายแพ้ให้กับทีมชาลเก้ ของลีกบุนเดสลีกา 2 – 3 ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก กล้องจับภาพได้ว่าเขาไปพูดจาส่อเสียดกับคริสเตียน โพลเซ่น อดีตมิดฟลืด์หงส์แดงซึ่งลงเล่นแดนกลางให้กับชาลเก้อยู่ในขณะนั้น ซึ่งในเลกแรก โพลเซ่นมีปัญหากับกาก้ามาก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม กัตตูโซ่ให้การปฏิเสธการกระทำดังกล่าว โดยอ้างว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นอะไรที่เกินความเป็นจริง เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2011 ระหว่างเกมแชมเปี้ยนส์ลีกของมิลาน ที่เจอกับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ทีมดังเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ กัตตูโซ่ผลักคอของ โจ จอร์แดน ทีมโค้ชของสเปอร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างสนาม โดยกล้องจับภาพได้ถึงการโต้เถียงกันของทางจอร์แดน และกัตตูโซ่ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการเข้าปะทะกันในเกม และหลังจากจมเกม กัตตูโซ่ซึ่งถอดเสื้อแล้ว หลังจากจับมือกับนักเตะสเปอร์ ก็ปรากฏว่าเขาเดินเข้าไปโต้เถียงกับจอร์แดนอีกครั้ง และครั้งนี้เขาโขกหัวใส่จอร์แดนด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาโดนขวางและยับยั้งเหตุการณ์ทั้งจากทางสเปอร์ และทีมตัวเอง “ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ตอนนั้น ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวกับสิ่งที่ผมทำลงไป ผมรับผิดชอบความผิดนั้น” กัตตูโซ่ในวัย 33 ปีกล่าว แต่ก็ยังพูดถึงทางจอร์แดนว่า จอร์แดนเป็นฝ่ายยั่วยุเขาตลอดทั้งเกม แต่ไม่ยอมตอบว่า จอร์แดนยั่วยุว่าอะไร อย่างไรก็ตาม ในหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ปรากฏข้อความว่าโจ จอร์แดน พูดจาเหยียดกัตตูโซ่ โดยเรียกกั๊ตจังว่าเป็น “”fucking Italian bastard” จากที่นั่งข้างสนาม ในวันต่อมา ทางยูฟ่าก็ประกาศบทลงโทษจากการกระทำของกัตตูโซ่ที่มีของจอร์แดน โดยเปรียบเทียบปรับจากการ “ไม่มีความเป็นนักกีฬามืออาชีพ” กัตตูโซ่ต้องรับโทษแบนจากศึกแชมเปี้ยนส์ลีกถึง 5 นัด โดย 1 นัดเป็นการแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ และอีก 4 นัดเป็นบทลงโทษกรณีจอร์แดน ทั้งนี้ ทางจอร์แดน ก็โดนโทษแบนด้วยเช่นกัน

ในวันที่ 2 ธ.ค. 2012 กัตตูโซ่ ในเกมสวิสส์ซูเปอร์ลีก เขาคว้าใบเหลืองจากมือของนิโกลัย ฮานนี่ กรรมการของเกมดังกล่าว ก่อนจะส่งคืนกลับในนามทีมชาติ กัตตูโซ่ติดทีมชาติอิตาลีรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่ปี 1995 ในศึกยูฟ่ายูโรเปี้ยน รุ่นอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งครั้งนั้นยอดทีมแดนมะกะโรนีจบที่อันดับสองของรายการ เนื่องจากแพ้ให้กับทีมกระทิงดุ สเปน ไป 1-4 และกัตตูโซ่ยังติดทีมอิตาลีรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี ในรายการยูฟ่ายูโรเปี้ยนรุ่นอายุไม่ถึง 21 ปี ซึ่งในรายการดังกล่าว กัตตูโซ่ช่วยทีมคว้าแชมป์รายการไปครอบครองได้ โดยนัดสุดท้ายเอาชนะสาธารณะรัฐเชคไปได้ 2-1 กัตตูโซ่ติดทีมชาติ 73 ครั้งในระดับทีมชุดใหญ่ และมีส่วนร่วมในการลงเล่นทัวร์นาเม้นท์โอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ฟุตบอลโลก 2002 ยูโร 2004 ฟุตบอลโลก 2006 ยูโร 2008 ศึกคอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 2009 และฟุตบอลโลกปี 2010 ในวัย 22 ปี อิตาลีภายใต้การคุมทีมของดิโน่ ซอฟฟ์ เลือกกัตตูโซ่ลงสนามเป็นนัดแรกในนัดกระชับมิตร ซึ่งอิตาลีเปิดบ้านเอาชนะสวีเดนไปได้ 1 – 0 เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2000 เขาถูกเลือกลงเป็นตัวจริงในช่วงท้ายปีดังกล่าว ภายใต้การคุมทีมของ โจวานนี่ ตราปัตโตนี เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ซึ่งกัตตูโซ่ทำประตูในนัดดังกล่าว โดยเป็นการยิงระยะไกลนอกกรอบเขตโทษ ให้ทีมอิตาลีเอาชนะอังกฤษไปได้ 1-0 และนั่นก็เป็นประตูแรก และประตูเดียวของเขาในนามทีมชาติ ในฟุตบอลโลกปี 2002 เขาได้ลงสนามในฐานะตัวสำรอง 2 ครั้งด้วยกัน นัดแรกเป็นนัดเปิดกลุ่ม เอาชนะอีกัวดอร์ไป 2-0 นัดที่ 2 พ่ายแพ้อย่างเต็มไปด้วยข้อกังขาให้กับเกาหลีใต้ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วม ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของรายการ ในรายการต่อมาเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในรอบแบ่งกลุ่มกับทีมชาติโคนมเดนมาร์ก เสมอกัน 0 – 0 และนัดเสมอสวีเดน 1 – 1 แต่ไม่ได้ลงในนัดเอาชนะบัลแกเรีย 2 – 1 อันเนื่องจากสะสมใบเหลือครบโควต้าในสองนัดแรก แต่แม้ว่าจะชนะ 2 – 1 แต่ก็ไม่เพียงพอ ทีมชาติอิตาลีต้องตกรอบแรกตามอาถรรพ์ไปในที่สุด

กัตตูโซ่ติด 23 ขุนพลลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 และเป็นหนึ่งในคีย์แมนที่ทำให้ทีมชาติอิตาลีคว้าชัยในทัวร์นาเม้นท์นี้ ภายใต้กายนำทีมของมาร์เซลโล่ ลิปปี้ เขาได้รับตำแหน่งแมนออฟเดอะแมทช์ไป 1 ครั้งในนัดชนะทีมชาติยูเครน 3 – 0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศของรายการ เขาและคู่หู ปีร์โล่ โชว์ฟอร์มเป็นหัวใจในแดนกลางของอิตาลี ซึ่งกัตตูโซ่สนับสนุนการเล่นของปีร์โล่ได้เป็นอย่างดี ฝ่ายหนึ่งสร้างสรรค์เกม อีกฝ่ายเป็นตัวตัดเกม ขณะที่ปีร์โล่เป็นหนึ่งในจอมแอสซิสต์ของรายการ กัตตูโซ่ก็ได้รับสถิติในเอาชนะได้ 31 ครั้ง และผ่านบอลสำเร็จถึง 351 ครั้งในความพยายามทั้งหมด 392 ครั้ง นอกจากนี้ ฝีเท้าในการแอสซิสต์ของเขาก็ไม่ธรรมดา เขาแอสซิสต์ให้ฟิลิปโป้ อินซากี้ ทำประตูได้ในนัดที่อิตาลีเอาชนะเชคไป 2-0 ในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย วันที่ 22 มิ.ย. ในรายการดังกล่าว กัตตูโซ่มีชื่อเสียงที่ไม่ดีออกมาอีกครั้ง หลังจากการฉลองชัยชนะหลังจากที่อิตาลีได้แชมป์ โดยเขาถอดกางเกงและวิ่งรอบสนามในสภาพนุ่งกางเกงในตัวเดียว จนกระทั่ง จนท. ของทางยูฟ่า ต้องมาสั่งให้เขานุ่งกางเกงกลับไป อย่างไรก็ดี เขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นต์ด้วย ในรายการยูโร 2008 อิตาลีภายใต้การคุมทัพของโรเบอร์โต้ โดนาโดนี่ กัตตูโซ่ลงเล่นในนัดแพ้เนเธอแลนด์ 0 – 3 และนัดชนะฝรั่งเศส 2 – 0 ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ถูกแบนในรอบก่อนรองชนะเลิศในนัดที่พ่ายแพ้ให้กับสเปน ซึ่งเป็นแชมป์ในปีดังกล่าว ไป 2 – 4 ซึ่งเป็นการยิงจุดโทษ หลังจากเสมอกันในเกม 0 – 0 ในวันที่ 19 พ.ย. 2008 เขาทำหน้าที่กัปตันทีมเป็นครั้งแรก โดยได้รับปลอกแขนจากฟาบิโอ คันนาวาโร่ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 61 ในนัดกระชับมิตรซึ่งอิตาลีเจอกับทีมชาติกรีซ และแม้ว่าเขาจะเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ แต่ลิปปี้ ก็ได้ใช้งานกัตตูโซ่ ลงเล่นช่วยทีมในรายการฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่น 2009 ซึ่งอิตาลีตกรอบไปตั้งแต่รอบแรก ในเดือน มิ.ย. 2010 เขาประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติ หลังจากจบทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งเขาได้ลงช่วยทีมในนัดเจอกับสโลวเกีย และนัดดังกล่าวก็เป็นนัดสุดท้ายของเขาในนามทีมชาติ เพราะอิตาลี ถูกเขี่ยตกรอบตั้งแต่รอบแรก

สไตล์การเล่น

ตลอดอาชีพการค้าแข้ง กัตตูโซ่จะได้เล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง หรือตัวรับ เขาได้รับการโยกไปเล่นฝั่งขวาบางครั้ง เช่นเดียวกับตำแหน่งฟูลแบ็ค วิงแบ็ค หรือปีก อันเนื่องมาจากความสามารถอันหลากหลายของเขา เขาเล่นได้แม้กระทั่งตำแหน่งเซ็นเตอร์ แม้เขาจะไม่ได้เป็นเลิศทางด้านทักษะ และมีข้อด้อยในเรื่องของส่วนสูง แต่สภาพร่างกายของกัตตูโซ่นั้นเป็นเลิศ และด้วยการเล่นอันดุดัน ทำให้การเข้าสกัดแต่ละครั้ง เป็นไปอย่างหนักหน่วง และมีความขยันเป็นเลิศ เขายังมีลูกยิงสุดแรง ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไวเป็นเลิศ รวมทั้งเซนซ์การคาดการณ์ที่ดีผิดมนุษย์ และนั่นเป็นคุณสมบัติที่ดี ต่อตำแหน่งหลักที่เขาเล่น ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดของโลก การเล่นแบบบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ ชนิดที่มีพลังงานล้นเหลือ แถมยังมีความเร็ว ทักษะการอ่านเกมที่ดีเยี่ยม และสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตอนที่จับคู่กับอันเดรีย ปีร์โล่ ทั้งระดับสโมสรและระดับทีมชาติ ตำแหน่งในแนวลึกของกัตตูโซ่นั้นสนับสนุนการเล่นของปีร์โล่ได้เป็นอย่างดี คอยทำลายล้างเกมรุกอีกฝ่าย มากไปกว่านั้น ในบางครั้งเขาสามารถเข้าสกัดและแย่งบอลมาสร้างสรรค์เกมได้ด้วยตัวเอง และกลับมายืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับเช่นเดิมได้อีกด้วย ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเขาในสนาม และสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งดุดัน ทำให้เขาได้รับสมญานามว่า “ริกิโอ้” (แปลว่าคำราม หรือเห่า) และสุดท้าย ทักษะการเล่นบอลของเขานั้น เขามีความใจสู้จนถึงที่สุด มีการตัดสินใจที่ดี และภาวะความเป็นผู้นำที่เต็มเปี่ยม

บทบาทผู้จัดการทีม

กัตตูโซ่ เริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมในปี 2011 โดยเข้าคอร์สการเป็น ผจก. เพื่อรับใบประกาศจากยูฟ่า โดยเขาก้าวเข้ามาในจุดเริ่มต้นของการคุมทีม โดยที่เขายังคงเป็นนักเตะ และยังลงเล่นให้กับทีมเอซี มิลาน ยังมิได้แขวนสตั๊ดแต่อย่างใด ที่สุดแล้ว เขาก็สอบผ่านได้ในเดือน ก.ค. ปีเดียวกัน จนกระทั้งปี 2013 เขาก็ได้ทำหน้าที่โค้ชให้กับทีมแรก คือ เอฟซีซิยง โดยเขาเป็น ผจก. และเป็นนักเตะด้วย ตามมาด้วยการคุมทีมปาแลร์โม่ โอเอฟไอ เครเต้ เอซี ปิซ่า 1909 เอซีมิลาน ชุดเล็ก และปัจจุบันคือ ทัพใหญ่ของเอซีมิลาน

เอฟซี ซิยง

กัตตูโซ่ถูกแต่งตั้งให้เป็น ผจก. คนใหม่ของทีมซิยง

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2013 กัตตูโซ่ถูกแต่งตั้งให้เป็น ผจก. คนใหม่ของทีมซิยง หลังจากที่ทาง ผจก. คนก่อน วิคเตอร์ มูนยอส ถูกเปลี่ยนบทบาทให้เป็นฝ่ายสเก้าท์ หลังจากการคุมทีมแพ้ทีมธุน 4 – 0 ในสวิสส์ ซูเปอร์ลีก ซึ่งกัตตูโซ่ ถือเป็น ผจก. คนที่ 5 ของซิยงในฤดูกาลที่ 2012 – 13

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2013 กัตตูโซ่นำทีมซิยงคว้าชัยชนะในฐานะ ผจก. ทีมได้เป็นครั้งแรก โดยเป็นการบุกไปเอาชนะทีมโลซานเน่ 2 – 0 ในศึกสวิสส์ คัพ แต่ท้ายที่สุดแล้ว กัตตูโซ่ ก็ถูกสโมสรไล่ออก เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2013 (ข่าวบางสำนักกล่าวว่า เป็นการยกเลิกสัญญา จากกันด้วยดีทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่การไล่ออกแต่อย่างใด)

ปาแลร์โม่

เขาก็ตกเป็นข่าวอย่างหนักหน่วงในการเข้าคุมทีมปาแลร์โม่

อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกไล่ออกจากซิยง แต่ในเดือนเดียวกัน เขาก็ตกเป็นข่าวอย่างหนักหน่วงในการเข้าคุมทีมปาแลร์โม่ หลังจากทีมดังในแคว้นซิซิลี ต้องตกชั้นลงไปเล่นในเซเรีย บี ซึ่งในวันที่ 3 มิ.ย. 2013 ทางมูซิริโอ ซามปารินี่ ประธานของทีมปาแลร์โม่ ก็ออกมายืนยันด้วยตนเองว่า เขามีการตกลงกับทางกัตตูโซ่เป็นที่เรียบร้อย แต่ยังคงเป็นสัญญาปากเปล่า ยังไม่มีการเซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการ หลังจากมีการบรรลุข้อตกลงในการจบสัญญา จูเซปเป้ ซานนิโน่ ผจก. คนเก่า แต่อย่างไรก็ตาม จากปากเปล่า ก็กลายเป็นความจริง มีการเซ็นสัญญาให้กัตตูโซ่ มีสถานะ ผจก. คุมทีมปาแลร์โม่ ในวันที่ 19 มิ.ย. หลังจากทำการยกเลิกสัญญากับทีมซิยง ไปเป็นที่เรียบร้อย กัตตูโซ่แต่งตั้งให้ ลุยจี้ ลิคซิโอ้ เป็นผู้ช่วยข้างกายเขา ซึ่งลุยจี้นั้นช่วยงานกัตตูโซ่มาตั้งแต่ตอนคุมทีมซิยง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตการคุมทีมที่มีฉายา “รอสซาเนโร่” ก็ช่างสั้นยิ่งนัก เพราะเขาถูกไล่ออกในวันที่ 25 ก.ย. 2013 โดยเขาคุมทีมไปทั้งหมด 6 นัด ชนะแค่ 2 นัก เสมอ 1 นัด และพ่ายแพ้ไปถึง 3 นัด ในเกมลีก สิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงระหว่างฤดูกาล 2013 – 14 นั้น กัตตูโซ่ ได้เข้าคอร์สเพื่อสอบยูฟ่าโปรไลเซนซ์ ซึ่งเขาผ่านการสอบในเดือน ก.ย. 2014 ในที่สุด

โอเอฟไอ เครเต้

กัตตูโซ่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผจก. ของทีม โอเอฟไอ เครเต้

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2014 กัตตูโซ่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผจก. ของทีม โอเอฟไอ เครเต้ ทีมจากซูเปอร์ลีก ประเทศกรีก ขณะคุมทีมเครเต้ ในช่วงแรกๆ ของการคุมทีม มีข่าวลือออกมาว่าทางสต๊าฟและนักเตะของสโมสรไม่ได้รับค่าจ้าง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเงินของประเทศกรีก แต่ในฐานะ ผจก. ทีม กัตตูโซ่ออกมาประกาศออกสื่อชัดเจนว่า เขาคาดหวัง 100% ว่านักเตะและทุกคนจะทำเพื่อชัยชนะของทีม โดยไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาย้ำอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า เขาไม่แคร์เรื่องเงิน สิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจก็คือ ผลงานในเกมเท่านั้น เขาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด พ่นคำสาบแช่งทั้งยังทุบโต๊ะออกสื่อ

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2014 กัตตูโซ่ไขก๊อกยื่นใบลาออกจากฐานะ ผจก. ทีมเครเต้ด้วยตนเอง หลังจากความพ่ายแพ้ให้แก่ทีม แอสเตราส ตรีโพลี ไป 203 ในบ้านของตนเอง โดยที่ก็ยังมีข่าวลือซุบซิบกันว่า แท้จริงแล้วสาเหตุของการลาออกนั้น ก็คือเรื่องของการเงิน อย่างไรก็ตาม ในวันถัดมา เขาก็เปลี่ยนการตัดสินใจ หลังจากได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหาร และผู้สนับสนุนสโมสร จนทำให้เขาอยู่คุมทีมต่อในที่สุด และท้ายที่สุดแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2014 กัตตูโซ่ก็ได้ลาออกจากทีมเครเต้อย่างเป็นทางการ ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด แต่ก็คือเรื่องสถานะการเงินของสโมสรนั่นเอง ในช่วงเดือน ม.ค. 2015 เขาสมัครเป็น ผจก. ทีมแฮมิลตัน อคาเดมิคัล หลังจากที่ ผจก. คนเก่า อเล็กซ์ เนล ออกจากทีมไปจนทำให้ตำแหน่ง ผจก. ทีมว่างลง

ปิซ่า

กัตตูโซ่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสถานะ ผจก. ทีมปิซ่า

กัตตูโซ่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสถานะ ผจก. ทีมปิซ่า ยอดทีมของเลก้า โปร หรือกัลโช่ เซเรีย ซี เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2015 และในวันที่ 12 มิ.ย. 2016 เขาก็นำทัพพาทีมปิซ่า เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย บี เป็นผลสำเร็จในที่สุด หลังจากนัดสุดท้ายที่ปิซ่าเอาชนะทีมฟอกเจียด้วยสกอร์รวม 5 – 3 ในรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้นของเลก้าโปร แต่อย่างไรก็ดี ในวันที่ 31 ก.ค. เขาก็ออกจากทีมปิซ่าอย่างทันทีทันใด ซึ่งการออกจากทีมของกัตตูโซ่นั้น ทางสโมสรปิซ่าได้ออกแถลงการณ์ เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้น ในอีกหนึ่งเดือนถัดมา เขาก็กลับมารับหน้าที่เฮดโค้ชของทีมอีกครั้ง

เอซี มิลาน (ชุดเยาวชน)

ในเดือน พ.ค. 2017 กัตตูโซ่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ ทีมเก่าของคือ นั่นคือ ปีศาจแดงดำแห่งเมืองมิลาน เอซี มิลาน แต่เป็นโค้ชในชุดไพรมาเวร่า หรือทีมชุดเยาวชน นั่นคือ รุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปีของสโมสร ซึ่งเขาถือเป็นอดีตผู้เล่นคนที่ 3 ของทีมจากชุดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2007 ที่ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทัพเยาวชน ต่อจาก “พี่กุ้ง” ฟิลิปโป้ อินซากี้ อดีตเพชฌาตร่างผอมของทีม ในปี 2013 – 14 และตามด้วยคริสเตียน บรอคชี่ อดีตมิดฟิลด์ตัวรับของทีมคุมทีมเยาวชน ในช่วงปี 2014 – 16 ซึ่งทั้งคู่ล้วนเคยมีประสบการณ์ ได้รับการไว้วางใจให้ขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ แต่จบไม่สวยเท่าไหร่นัก โดนให้ออกกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่อดีตนักเตะชื่อดังของทีมอย่าง คลาเรน ซีดอร์ฟ และซินิซ่า มิไฮโลวิช แบ็คซ้ายจอมฟรีคิกผู้เคยลงเล่นให้กับทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง อินเตอร์ มิลาน ตามลำดับ หลังจากรอบที่ 10 ในศึกกัมปิโอนาโต นาซิโอนาเล่ ไพรมาเวร่า (จบเมื่อวันที่ 26 พ.ย.) มิลานก็จบที่อันดับ 3 จาก 16 ทีมในลีกเยาวชน

เอซี มิลาน (ชุดใหญ่)

กัตตูโซ่ตกลงกับสโมสรในการจรดปากกาขยายสัญญาการคุมทีม

หลังจากทำผลงานเข้าตาบอร์ดบริหารของทีม ในที่สุด เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2017 หลังจากที่บอร์ดบริหารตัดสินใจไล่วิสเซนโซ่ มอลเตลล่า ออกจากสถานะ ผจก. ทีม ทางบอร์ดก็ได้แต่งตั้งให้กัตตูโซ่ เลื่อนจากการคุมทีมเยาวชน ขึ้นมาคุมบังเหียนทีมชุดใหญ่ในที่สุด และนั่นเป็นเหตุให้กั๊ตจัง ต้องโบกมือลาหน้าที่โค้ชคุมทีมเยาวชนรุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี กั๊ตจังได้รับการบันทึกสถิติว่าพาทีมคว้าชัยชนะนัดแรกในนัดที่เปิดบ้านเจอกับโบโลญญ่า และเอซี มิลาน เฉือนเอาชนะไปได้ 2–1 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อาร์ เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2017 ในเดือน เม.ย. 2018 กัตตูโซ่ตกลงกับสโมสรในการจรดปากกาขยายสัญญาการคุมทีมไปจนถึงปี 2021 ในที่สุด

ชีวิตส่วนตัวของกัตตูโซ่

กัตตูโซ่ แต่งงานกับโมนิกา โรมาโน่ สาวสกอตติชเชื้อสายอิตาเลียน ซึ่งเป็นคนที่กั๊ตจังเจอขณะลงเล่นให้กับเรนเจอรส์ในการลงเล่นโชว์แฟนๆ ที่โตรอนโต แคนาดา ทั้งคู่ตกลงคบหาดูใจ และออกเดทกันเป็นระยะเวลายาวนาน ก่อนตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ตั้งชื่อว่า แกเบรียล เกิดวันที่ 20 มิ.ย. 2004 แล้วจึงให้กำเนิดลูกชาย ชื่อว่าฟรานเซสโก เกิดวันที่ 8 พ.ย. 2007 ทั้งนี้ โมนิก้าเป็นพี่สาว (หรือน้องสาว) ของคาร์ล่า โรมาโน่ แห่งลอส แองเจเลส จีเอ็มทีวี ในเดือน ม.ค. 2010 กัตตูโซ่เปิดร้านขายปลาในเมืองโคลิเกลียโน่ คาลาโบร ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเขาเอง และสำหรับในเรื่องของทางศาสนานั้น กัตตูโซ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาธอลิก