ย้อนประวัติศาสตร์ สโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล

ย้อนประวัติศาสตร์ สโมสรฟุตบอล ลิเวอร์พูล

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพตั้งอยู่ในเมืองลิเวอร์พูล ปัจจุบันเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูลเคยได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 5 ครั้ง มากกว่าทุกสโมสรในประเทศอังกฤษ เคยได้แชมป์ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 3 ครั้ง แชมป์ดิวิชั่น 1 18 ครั้ง แชมป์เอฟเอคัพ 7 ครั้ง แชมป์ลีกคัพ 8 ครั้ง และแชมป์ฟุตบอลคอมมูนิตี้ชิลด์ 15 ครั้ง ลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นในปี 1892 และเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกในปีถัดมา โดยใช้สนามแอนฟิลด์เป็นสนามเหย้า ในช่วงปี 1970 ถึง 1980 ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีในประเทศอังกฤษ และในฟุตบอลยุโรป โดยบิล แชงค์ลี่และบ๊อบเพสลีย์ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกถึง 11 ครั้ง และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนอีก 7 ครั้ง หลังจากนั้นภายใต้ผู้จัดการทีม ราฟาเอล เบนิเตซ และกัปตันทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ในปี 2005

ในช่วงฤดูกาล 2016-17 ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีรายได้มากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 9 โดยมีรายได้ต่อปีถึง 420 ล้านยูโร และเป็นสโมสรที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 8 ของโลกคือ 1,944 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ลิเวอร์พูลยังเป็นสโมสรหนึ่งที่มีแฟนบอลยอดเยี่ยมที่สุดในโลก พวกเขามีคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน แฟนฟุตบอลของลิเวอร์พูลมีส่วนในเหตุการณ์หายนะด้านฟุตบอล 2 ครั้ง คือเหตุการณ์สนามถล่มที่เฮย์เซล ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 1985 โดยมีแฟนบอลเสียชีวิต 35 คน ส่วนใหญ่เป็นแฟนบอลของยูเวนตุส และหลังจากนั้นในปี 1989 ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ ทำให้มีแฟนบอลของลิเวอร์พูลเสียชีวิตถึง 96 คน และส่งผลให้ฟุตบอลอังกฤษถูกแบนจากการแข่งขันในรายการยุโรปนานถึง 5 ปี ก่อนหน้านี้สโมสรลิเวอร์พูลใช้เสื้อสีแดงและกางเกงสีขาวในการแข่งขัน จนกระทั่งปี 1964 ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสีแดงทั้งชุดจนถึงปัจจุบัน และมีเพลงประจำสโมสรคือ เพลง You Will Never Walk Alone

History

ลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นหลังจากเกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างผู้บริหารของทีมเอฟเวอร์ตันและจอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของสโมสรและเจ้าของพื้นที่ที่แอนฟิลด์ หลังจากเอฟเวอร์ตันใช้สนามลิเวอร์พูลอยู่ 8 ปี ในปี 1982 เอฟเวอร์ตันก็เปลี่ยนไปใช้สนามที่กูดิสัน ปาร์ค และโฮลดิ้งก็ก่อตั้งลิเวอร์พูลขึ้นโดยใช้สนามแอนฟิลด์เป็นสนามแข่ง โดยตั้งชื่อในตอนนั้นว่า Everton FC and Athletic Ground ltd. ต่อมาในเดือนมีนาคมปี 1892 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Liverpool FC และหลังจากนั้น 3 เดือน สมาคมฟุตบอลก็ให้การยอมรับ สถานะของทีม หลังทีมได้แชมป์ แลนคาเชียร์ ลีก และได้เข้าร่วมฟุตบอลลีกดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-94 หลังจบฤดูกาลสโมสรคว้าอันดับที่ 1 พร้อมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 โดยสโมสรได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ในปี 1901 และอีกครั้งในปี 1906

ลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นหลังจากเกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างผู้บริหารของทีมเอฟเวอร์ตัน

ลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในปี 1914 โดยแพ้ต่อทีมเบิร์นลี่ย์ 1 ประตูต่อ 0 และได้แชมป์ฟุตบอลลีกในปี 1922 และ 1923 หลังจากนั้นก็ไม่คว้าถ้วยแชมป์อีกเลย จนถึงฤดูกาล 1946-47 เมื่อสโมสรคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 5 ภายใต้การคุมทีมของอดีตนักเตะเวสต์แฮมอย่าง จอร์จ เคย์ และในปี 1950 ได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยอีกครั้ง แต่ก็แพ้ให้กับคู่แข่งอย่างอาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1953-54 หลังจากลิเวอร์พูลตกรอบฟุตบอลเอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้ต่อทีมนอกลีกอย่าง วอร์เคสเตอร์ ซิตี้ 1 ประตูต่อ 2 สโมสรก็ได้แต่งตั้งบิล แชงค์ลีย์ เป็นผู้จัดการทีม โดยเขาได้ดัดแปลงห้องเก็บรองเท้าของแอนฟิลด์ เป็นที่ประชุมโค้ช ที่นี่ บิล แชงค์ลีย์, โจอี้ ฟาแกน, รูเบน เบนเนตต์ และบ๊อบ เพสลีย์ ใช้เพื่อการประชุมก่อนการแข่งขัน

Liverpool เลื่อนกลับขึ้นมาดิวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1962 และได้แชมป์ในปี 1964 เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี ในปี 1965 สโมสรได้แชมป์เอฟเอคัพเป็นครั้งแรก ในปี 1966 ลิเวอร์พูลได้แชมป์ดิวิชั่น 1 พร้อมกับได้เข้ารอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ แต่ก็แพ้ต่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนกระทั่งฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลได้แชมป์ฟุตบอลลีกและฟุตบอลยูฟ่าคัพ และได้แชมป์เอฟเอคัพในปีถัดมา หลังจากที่บิล แชงค์ลีย์ เลิกคุมทีมฟุตบอล ลิเวอร์พูลก็ได้แต่งตั้งผู้ช่วยของเขา คือ บ๊อบ เพสลีย์ มาเป็นผู้จัดการทีมแทน โดยเพสลีย์ถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 2 ที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ยูฟ่า คัพได้ในฤดูกาลเดียวกัน ฤดูกาลต่อมาสโมสรคว้าแชมป์ลีก และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพเป็นครั้งแรก น่าเสียดายที่แพ้นัดชิงเอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีกครั้งในปี 1978 ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1979 ในระหว่างที่เพสลีย์เป็นผู้จัดการทีม ช่วงเวลา 9 ฤดูกาลกับลิเวอร์พูล เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ถึง 21 แชมป์ ได้แก่แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 ครั้ง, ยูฟ่าคัพ 1 ครั้ง, แชมป์ลีก 6 ครั้ง และแชมป์ฟุตบอลลีก คัพ อีก 3 ครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้เลย

Liverpool เลื่อนกลับขึ้นมาดิวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1962

ในปี 1983 เพสลีย์เลิกคุมทีม เขาถูกแทนที่ด้วยผู้ช่วยของเขาคือ โจอี้ ฟาแกน ในฤดูกาลแรกของผู้จัดการทีมคนใหม่ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ฟุตบอลลีก ฟุตบอลลีกคัพ และยูโรเปี้ยนคัพ ถือเป็นสโมสรแรกของฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้า 3 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียวกัน ในปี 1985 ลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ โดยเจอกับคู่แข่งอย่างยูเวนตุส ที่สนามเฮย์เซล ก่อนเริ่มการแข่งขัน แฟนของลิเวอร์พูลได้ข้ามรั้วไปปะปนกับแฟนยูเวนตุส ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน จนเป็นเหตุให้มีแฟนบอลเสียชีวิตถึง 39 คน จนมีชื่อเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า โศกนาฏกรรมเฮย์เซล ผลการแข่งขันในครั้งนั้น เป็นลิเวอร์พูลที่แพ้ต่อยูเวนตุส 0 ประตูต่อ 1 และสมาคมฟุตบอลยุโรป ได้ลงโทษห้ามสโมสรฟุตบอลอังกฤษลงแข่งขันในฟุตบอลยุโรปเป็นระยะเวลา 5 ปี และห้ามสโมสรลิเวอร์พูลแข่งขันในฟุตบอลยุโรปเป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อนที่จะได้รับการลดโทษเหลือเพียง 6 ปี

ฟาแกน ได้อำลาทีมไป สโมสรได้แต่งตั้ง เคนนี่ ดัลกลิช ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม โดยเขายังเป็นผู้เล่นอยู่ในขณะนั้น ในช่วงที่ดัลกลิชเป็นผู้จัดการทีม สโมสรได้แชมป์ฟุตบอลลีก 3 ครั้งและแชมป์เอฟเอคัพ 2 ครั้ง โดยได้ดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลลีกและบอลถ้วยใน ฤดูกาล 1985-86 วันที่ 15 เมษายน 1989 ในฟุตบอลรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูลพบกับทีมน็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ล้น ทำให้มีแฟนบอลกว่า 100 คนพลัดตกลงมาจากอัฒจันทร์ชั้น 2 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ 96 คนจนได้รับการขนานนามเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า โศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทางรัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยในการเข้าชมมากขึ้น จึงมีนโยบายให้มีการติดเก้าอี้ที่นั่งในสนาม เพื่อความปลอดภัยของผู้ชม และไม่แออัดมากเกินไป

ในฤดูกาล 1988-89 ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล ด้วยการมีคะแนนเท่ากับอาร์เซน่อล ผลต่างประตูรวมเท่ากัน แต่อาร์เซน่อลมีประตูได้ที่มากกว่า ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายทำได้แค่อันดับที่ 2 ในฤดูกาลนั้น

ในฤดูกาล 1988-89 ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล ด้วยการมีคะแนนเท่ากับอาร์เซน่อล

หลังจากโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ ดัลกลิชก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1991 เขาถูกแทนที่ด้วยเกรแฮม ซูเนส ภายใต้การคุมทีมของซูเนส ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกในปี 1992 และได้เข้าชิงฟุตบอลเอฟเอ คัพ แต่ผลงานในลีกเริ่มตกต่ำลง ทำได้เพียงแค่อันดับที่ 6 ใน 2 ฤดูกาลต่อมา จากผลงานที่ย่ำแย่ในเดือนมกราคมปี 1994 ซูเนสถูกไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีม และถูกแทนที่ด้วย รอย อีแวนส์ ในปี 1995 ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกคัพ และได้อันดับที่ 3 ในปี 1996 และ 1998 ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดที่ อีแวนส์ได้ทำไว้ ในฤดูกาล 1998-99 ลิเวอร์พูลได้แต่งตั้ง เจอร์ราร์ด ฮูลิเย่ร์ มาเป็นผู้จัดการทีมร่วมกับอีแวนส์ จนถึงปี 2001 อีแวนส์ ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม ทำให้ฮูลิเย่ร์ได้เป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวตัว ในช่วงฤดูกาล 2001-02 ฮูลิเย่ร์คุมทีมจนได้ที่ทริปเปิ้ลแชมป์ได้แก่ เอฟเอ คัพ, ลีกคัพ และยูฟ่าคัพ ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 ในลีก และในปี 2003 พวกเขาได้แชมป์ลีกคัพอีกครั้ง

หลังจบฤดูกาล 2003-04 ฮูลิเย่ร์ถูกแทนที่ด้วยราฟาเอล เบนิเตซ ฤดูกาลแรกของเบนิเตซ เขานำทีมคว้าอันดับที่ 5 ของตาราง และในฤดูกาล 2004-05 ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเจอกับทีมเอซี มิลาน ครึ่งแรก เอซี มิลานนำไปก่อน 3 ประตูต่อ 0 ก่อนที่ครึ่งหลังลิเวอร์พูลจะทำ 3 ประตู ทำให้จบเกมเสมอกัน 3 ประตูต่อ 3 และเป็นลิเวอร์พูลที่เอาชนะในช่วงดวลจุดโทษ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครองได้สำเร็จ ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลได้อันดับที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก และคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ในปี 2006 โดยเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด จากลูกจุดโทษ หลังจากที่เสมอกันในเกม 3 ประตูต่อ 3 หลังจากนั้น นักธุรกิจชาวอเมริกา จอร์จ ยิลเล็ตต์ และ ทอม ฮิคส์ เข้ามาเป็นเจ้าของทีม ด้วยการเทคโอเวอร์ด้วยมูลค่า 218.9 ล้านปอนด์ ในปี 2007 ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง โดยเจอกับเอซี มิลานที่เคยเจอเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ครั้งนี้เป็นลิเวอร์พูลที่แพ้ไปด้วยประตู 2 ประตูต่อ 1 ในฤดูกาล 2018-19 ลิเวอร์พูลทำคะแนนในพรีเมียร์ลีกได้ 86 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนมากที่สุดที่เคยทำได้ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูล แต่ก็ได้เพียงรองแชมป์ โดยแชมป์ในปีนั้นเป็นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ของพรีเมียร์ลีก ทำให้ไม่สามารถเข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนลีก ส่งผลให้เบนิเตซ ถูกไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีม และถูกแทนที่ด้วยผู้จัดการทีมจากฟูแล่มคือ รอย ฮอดจ์สัน หลังจากเริ่มฤดูกาล 2010-11 ลิเวอร์พูลมีปัญหาหนี้สินจนต้องประกาศขายสโมสร และเป็นทาง John W Henry ซึ่งเป็นเจ้าของทีม Boston Red sox และกลุ่มเฟนเวย์สปอร์ต เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมในเดือนตุลาคมปี 2010

หลังจากจบฤดูกาลด้วยความย่ำแย่ ฮอดจ์สันก็ถูกไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีม และทีมได้แต่งตั้งอดีตผู้เล่นของทีมและอดีตผู้จัดการทีมอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาคุมทีมต่อ ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ 8 คว้าแชมป์ลีกคัพ และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในฟุตบอล FA Cup การจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 ถือเป็นการจบที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทำให้ Liverpool ตัดสินใจปลด ดัลกลิช ออกจากการเป็นผู้จัดการทีม เขาถูกแทนที่ด้วยแบรเดน รอดเจอร์ และคุณทีมในฤดูกาล 2013-14 จบอันดับที่ 2 ของตาราง และ ได้โอกาสกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง ฤดูกาลนั้นทีมทำไปได้ 101 ประตู ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1895-96 ที่ทำได้ 106 ประตู ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง โดยจุดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 ทำให้ลิเวอร์พูลตัดสินใจปลดรอดเจอร์ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในเดือนตุลาคมปี 2015 และได้แต่งตั้ง เจอร์เก้น คลอปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เปิดฤดูกาลแรกของคลอปป์พาลิเวอร์พูลได้รอง แชมป์ลีกและรองแชมป์ยูฟ่ายูโรป้าลีก

2015 ได้แต่งตั้ง เจอร์เก้น คลอปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม