ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมพลังหนุ่มแห่งกรุงลอนดอน

Tottenham Hotspur

สโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าท็อตแน่มหรือว่า สเปอร์ส เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ลงแข่งในศึกการแข่งขันพรีเมียร์ลีกโดยใช้สนามเวมบลีย์เป็นสนามเหย้าของทีมในฤดูกาล 2018-19 จนกว่าสนามของทีมอย่างเป็นทางการนั้นจะถูกนำมาใช้ในปี 2019 โดยสนามเหย้าเดิมอย่างสนามไวท์ ฮาร์ท เลนจะถูกรื้อถอนซึ่งจะตามมาด้วยการสร้างสนามใหม่ ส่วนสนามซ้อมของทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นอยู่ในจัตุรัสกระทิงในย่านลอนดอนโบโร่โดยทีมไก่เดือยทองนั้นได้ลงเล่นอย่างเป็นทางการในการใส่เสื้อสีขาวและกางเกงสีน้ำเงินตั้งแต่ฤดูกาล 1898-99 ซึ่งสัญลักษณ์ของสโมสรนั้นเป็นรูปไก่ที่กำลังยืนเหยียบลูกฟุตบอลอยู่และมีคำขวัญของทีมซึ่งแปลมาจากภาษาละตินที่แปลว่า “กล้าที่จะทำอะไรบางอย่าง” สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นถูกก่อตั้งในปี 1882 โดยพวกเขาได้แชมป์เอฟเอ คัพเป็นครั้งแรกของสโมสรในปี 1901 ซึ่ง สเปอร์สถือเป็นทีมนอกลีกทีมแรกที่ทำได้ หลังจากที่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลในปี 1888 โดย สเปอร์สนั้นเป็นสโมสรแรกในศตวรรษที่ 20 ที่ได้แชมป์ลีก และเอฟเอ คัพ ในฤดูกาลเดียวกันโดยพวกเขาได้ทั้ง 2 แชมป์ในฤดูกาล 1960-1961 และหลังจากนั้นทางสโมสรก็ได้ป้องกันแชมป์เอฟเอ คัพได้อีกในปี 1962 และในปี 1963 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษที่ได้รับแชมป์ยูฟ่า คัพหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพโดยพวกเขาได้แชมป์ยูฟ่า คัพในปี 1972 และกลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ได้ 2 แชมป์ใหญ่ของยุโรปนอกจากนี้ทีมไก่เดือยทองนั้นได้แชมป์ถ้วยใหญ่อย่างน้อย 1 ถ้วยเสมอในการแข่งขัน 6 ทศวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 ถึงปี 2000 โดยพวกเขาได้แชมป์รองลงมาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพียงทีมเดียว ในทุกแชมป์การแข่งขัน โดย สเปอร์สนั้นได้แชมป์ลีกไป 2 สมัย,แชมป์เอฟเอ คัพ 8 สมัย,แชมป์ลีกคัพ 4 สมัย,แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 7 สมัยและหนึ่งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกหรืออีกชื่อหนึ่งคือยูโรเปี้ยน คัพ และได้ 2 แชมป์ยูฟ่า คัพ โดยสโมสรไก่เดือยทองนั้นเป็นสโมสรที่เป็นคู่อริกับทีมอาร์เซน่อลทีมจากกรุงลอนดอนมาอย่างยาวนานโดยเมื่อพวกเขาเจอกันจะถูกเรียกว่าศึกนอร์ธลอนดอนดาร์บี้(North London Derby)

ประวัติสโมสร

สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นถูกก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมปี 1882 และในช่วงแรกได้มีชื่อว่าสโมสรฟุตบอลฮ็อทสเปอร์สโดยกลุ่มนักเรียนที่นำโดยบ๊อบบี้ บัคเคิ้ลซึ่งเป็นกลุ่มของนักกีฬาคริกเก็ตและได้ก่อตั้งสโมสรแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเล่นกีฬากันในช่วงฤดูหนาว 1 ปี หลังจากนั้นสโมสรก็ได้รับความช่วยเหลือจากจอห์น ริปเชอร์ ซึ่งเป็นคุณครูสอนศาสนาที่โบสถ์ออล ฮอลโลว ซึ่งต่อมาก็ได้กลายมาเป็นประธานคนแรกของสโมสร ริปเชอร์ได้ช่วยเหลือและสนับสนุนเหล่าเด็กๆในช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งสโมสรและได้เป็นคนวางรูปแบบและแนวทาง ต่อมาในเดือนเมษายนปี 1884 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเพื่อหลีกเลี่ยงการสับสนกับอีกสโมสรหนึ่งซึ่งก็คือสโมสรลอนดอน ฮ็อทสเปอร์ส ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกเดียวกันนั่นคือบริเวณตอนเหนือของกรุงลอนดอน ซึ่งชื่อเล่นของสโมสรนั้นมีทั้งชื่อ สเปอร์สและดอกลิลลี่สีขาว(Lillywhites) ในตอนต้นของการก่อตั้งสโมสรนั้นได้มีการจัดการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับทีมในละแวกเดียวกัน โดยนัดแรกของสโมสรอย่างเป็นทางการที่ถูกบันทึกไว้นั้นเกิดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคมปี 1882 โดย สเปอร์สลงเล่นเจอกับทีมละแวกเดียวกันที่ชื่อว่า เดอะ เรดิคัลส์ ซึ่งทีมฮ็อทสเปอร์สนั้นแพ้ไป 2-0 และทีมได้ลงแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกในศึกการชิงแชมป์สโมสรของลอนดอนซึ่งพวกเขาเอาชนะไปได้ 5-2 ในนัดแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมปี 1885 ในการเจอกับลูกจ้างของบริษัทที่มีชื่อทีมว่าเซนต์ อัลบานส์ ซึ่งการแข่งขันของทีมฮ็อทสเปอร์สนั้นได้รับความนิยมจากผู้คนในละแวกลอนดอนและทำให้มีผู้เข้าชมมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดพวกเขาก็ได้ลงเล่นในระดับลีกครั้งแรกในรายการสั้นๆซึ่งประกอบไปด้วยทีมจากบริเวณทางใต้ของเกาะอังกฤษ ต่อมาทางสโมสรนั้นได้นำพาตัวเองเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมปี 1895 และในฤดูร้อนปี 1896 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สก็ได้เข้าร่วมในการแข่งขันศึกดิวิชั่น 1 ของลีกทางใต้ของประเทศอังกฤษ และในวันที่ 2 มีนาคม 1898 สโมสรก็ได้กลายมาเป็นบริษัทจำกัดในชื่อบริษัทฟุตบอลและการกีฬาท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส หลังจากนั้นแฟรงค์ เบรทเทลก็ได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรและเขายังเซ็นสัญญากับจอห์น คาเมร่อน ผู้ซึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งทั้งเป็นนักเตะและผู้จัดการทีมหลังจากเบรทเทลได้ออกจากสโมสรไปเพียง 1 ปี ซึ่งคาเมร่อนนี่เองที่เป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาของท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สโดยเขาช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์แรกของสโมสรมาครองได้นั่นก็คือแชมป์ลีกทางตอนใต้ของอังกฤษในฤดูกาล 1899-1900 ก่อนที่จะทำให้ สเปอร์สได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1901 โดยการเอาชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไป 3-1 ในการแข่งขันนัดรีเพลย์ของรอบชิงชนะเลิศหลังจากที่นัดแรกจบเกมส์ไปด้วยการเสมอ 2-2 ทำให้ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเป็นทีมนอกลีกทีมแรกที่ได้แชมป์หลังจากการก่อตั้งของฟุตบอลลีกในปี 1888

ในปี 1908 ทางสโมสรได้รับการเลื่อนชั้นให้มาอยู่ในการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชั่น 2 และได้เลื่อนชั้นอีกชั้นหนึ่งไปสู่ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลแรกของการแข่งขันซึ่งในฤดูกาลแรกในลีกสูงสุดนั้นพวกเขาสามารถจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์เลยทีเดียวและในปี 1912 ปีเตอร์ แมควิลเลี่ยม ได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรและหลังจากนั้นท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สก็ได้จบอันดับสุดท้ายในลีกเมื่อจบฤดูกาล 1914-15 และหลังจากนั้นฟุตบอลได้ถูกหยุดการแข่งขันลงเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ สเปอร์สได้ตกชั้นไปสู่ดิวิชั่นที่ 2 ซึ่งทำให้พวกเขาได้ไปเริ่มต้นใหม่หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านพ้นไปแต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สามารถกลับมาสู่การแข่งขันดิวิชั่น 1 ได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1919-20 ต่อมาในวันที่ 23 เมษายนปี 1921 แมควิลเลี่ยมได้ทำให้ สเปอร์สเป็นแชมป์เอฟเอ คัพครั้งที่ 2 ของสโมสรโดยการเอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์สไป 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ในการแข่งขันลีกเมื่อปี 1922 สเปอร์สามารถจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 โดยตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของลิเวอร์พูลอย่างไรก็ตามใน 5 ฤดูกาลถัดมาผลงานของทีม สเปอร์สก็ไม่ได้ดีนักโดยพวกเขาจบการฤดูกาลโดยอยู่แถวๆกลางตารางการแข่งขันจนในที่สุด สเปอร์สนั้นก็ตกชั้นในฤดูกาล 1927-28 หลังจากที่แมควิลเลี่ยมออกจากทีมไป ในช่วงทศวรรษ 1930 ถึงทศวรรษ1940 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นเล่นอยู่ในดิวิชั่นที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ก่อนที่จะกลับมาสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาล 1933-1934 และฤดูกาล 1934-3 ต่อมาอดีตนักเตะของสเปอร์สอย่าง อาเธอร์ โรว์ลได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมในปี 1949 และเขาได้พัฒนาการเล่นที่ถูกเรียกว่ากดดันแล้วก็วิ่ง(push and run)ซึ่งถูกพิสูจน์ว่าเป็นการทำทีมที่ประสบความสำเร็จในช่วงต้นของการเป็นผู้จัดการทีมของเขาโดยเขาทำให้ทีมนั้นกลับมาสู่การแข่งขันลีกสูงสุดได้อีกครั้งภายหลังจากที่เขาทำทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1949-50 และในที่สุดท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกของสโมสรในฤดูกาล 1950-51 หลังจากนั้นโรว์ลได้ลาออกจากทีมเมื่อเดือนเมษายนปี 1955 หลังจากที่เขามีปัญหาเรื่องสุขภาพและความเครียดจากการเป็นผู้จัดการของสโมสรก่อนที่เขาจะจากไปเขาได้เซ็นสัญญากับนักเตะคนหนึ่งที่ทำให้สเปอร์สประสบความสำเร็จมากที่สุดนั่นก็คือแดนนี่ แบลนช์ฟลาวเวอร์ ผู้ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ครั้งขณะที่เขาค้าแข้งอยู่กับสเปอร์

ต่อมา บิล นิโคลสัน ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อเดือนตุลาคมปี 1958 และเขากลายมาเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของสโมสร ซึ่งเขาช่วยให้ทีมนั้นได้แชมป์หลักๆในสามฤดูกาลที่เขาได้เข้ามาคุมทีมสเปอร์สโดยในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เขาพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์นั่นก็คือแชมป์ดิวิชั่น 1 และแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้ในปี 1961 และได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1962 และได้แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพในปี 1963 นิโคลสันได้เซ็นสัญญากับเดฟ แมคเคย์ และจอห์น ไวท์ ในปี 1959 ซึ่งทั้ง 2 คนนั้นถือเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลกับทีมและสามารถทำให้ทีมได้แชมป์ต่างๆรวมถึงการที่ทีมได้ตัว จิมมี่ กรีฟส์ นักเตะที่สำคัญกับสโมสรเป็นอย่างมากและเป็นนักเตะที่ทําประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันลีกสูงสุดของอังกฤษ ต่อมาในฤดูกาล 1960-1961 สเปอร์สเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเอาชนะ 11 นัดติดต่อกันแล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เสมอและเอาชนะไปได้ต่อเนื่องอีก 4 นัดซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลที่ดีที่สุดของลีกสูงสุดในอังกฤษ พวกเขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 17 เมษายนปี 1961 เมื่อพวกเขาเอาชนะทีมอันดับที่สองในขณะนั้นอย่างเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ในบ้านไปได้ 2-1 โดยเหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่ 3 นัดและในฤดูกาลเดียวกันพวกเขาก็ได้แชมป์เอฟเอ คัพอีก 1 สมัยด้วยการเอาชนะเลสเตอ ร์ซิตี้ในนัดชิงชนะเลิศซึ่งเป็นการได้ดับเบิ้ลแชมป์พร้อมกันเป็นครั้งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นครั้งแรกตั้งแต่ แอสตัน วิลล่าเคยทำได้ในปี 1897 และในปีถัดมาสเปอร์สได้แชมป์เอฟเอ คัพสองสมัยติดต่อกันในการเอาชนะเบิร์นลี่ย์ในนัดชิงชนะเลิศปี 1962 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1963 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สกลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ได้แชมป์ในระดับยุโรปด้วยการเอาชนะแอตเลติโก มาดริดทีมจากประเทศสเปนไปได้อย่างถล่มทลายด้วยสกอร์ 5-1 ในนัดชิงชนะเลิศและสเปอร์สกลายเป็นทีมจากเกาะอังกฤษทีมแรกที่สามารถคว้า 2 แชมป์ในระดับยุโรปเมื่อพวกเขาได้แชมป์ยูฟ่า คัพในฤดูกาล 1971-72 ซึ่งเป็นการสร้างทีมใหม่ซึ่งนำโดยมาร์ติน ชีเวอร์ส์,แพท เจนนิ่งและสตีฟ เพอร์รี่แมน นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์เอฟเอ คัพอีกครั้งในปี 1967 และได้ 2 แชมป์ลีก คัพในปี 1971 และ 1973 รวมทั้งหมดแล้วตลอดการคุมทีมของนิโคลสันเขาพาทีมคว้าแชมป์รายการหลักได้ถึง 8 ถ้วยตลอดระยะเวลาการเป็นผู้จัดการทีมกว่า 16 ปีของเขากับทีมไก่เดือยทอง

สเปอร์สกลับสู่ปัญหาอีกครั้งหลังจากที่ทีมได้ประสบความสำเร็จในช่วงต้นของปี 1970 และนิโคลสันได้ตัดสินใจที่จะลาออกจากทีมหลังจากการออกสตาร์ทฤดูกาลที่ค่อนข้างจะแย่ในฤดูกาล 1974-75 และหลังจากนั้นทีมก็ตกชั้นในที่สุดเมื่อฤดูกาล 1976-77 ซึ่งขณะนั้นผู้จัดการทีมก็ได้แก่คีธ เบอร์คินชอว์ โดยเบอร์คินชอว์ ได้พยายามนำทีมกลับมาสู่การแข่งขันลีกสูงสุดให้ได้โดยไวด้วยการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นการรวมนักเตะที่ยอดเยี่ยมอย่างเกล็น ฮอดเดิ้ล และสองนักเตะคู่หูจากประเทศอาร์เจนติน่าอย่าง ออสวัลโด อาร์ดิเลสและริคาร์โด บีญ่า ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญาที่เป็นที่ตกใจของคนในเวลานั้นเนื่องจากในวงการลูกหนังแดนผู้ดีในขณะนั้นไม่ค่อยมีผู้เล่นจากชาติอื่นอยู่ในทีมซักเท่าไร ซึ่งทีมที่ถูกสร้างใหม่โดยเบอร์คินชอว์ นั้นได้นำแชมป์เอฟเอ คัพเข้ามาสู่สโมสรในปี 1981 และปี 1982 รวมไปถึงแชมป์ยูฟ่า คัพในปี 1984 ในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสโมสรอย่างแท้จริง มีการพัฒนาสนามของสโมสรซึ่งก็คือสนามไวท์ ฮาร์ท เลนใหม่ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางของทีมโดยเออร์วิ่ง สโคล่าร์ได้เข้ามาควบคุมกิจการของสโมสรและพยายามทำให้สโมสรนั้นมีการตลาดที่ดีมากขึ้นเป็นทีมแรกๆของอังกฤษที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสโมสรฟุตบอลอังกฤษเพื่อเข้าสู่ตลาดการซื้อขายอย่างเต็มตัวอย่างไรก็ตามด้วยปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของสโมสรทำให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในบอร์ดบริหารซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนการควบคุมกิจการอีกครั้ง เทอร์รี่ เวเนเบิ้ลรวมกันสร้างการบริหารร่วมกับนักธุรกิจอย่างอลัน ซูการ์ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรในเดือนมิถุนายนปี 1991 และเวเนเบิ้ลนั้นได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรในปี 1987 และได้เซ็นนักเตะที่สำคัญสำคัญอย่าง พอล แกสคอยน์และแกรี่ ลินิเกอร์ ภายใต้การคุมทีมของเวเนเบิ้ลทำให้สเปอร์สได้แชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาล 1990-91 ซึ่งเป็นสโมสรแรกของฟุตบอลอังกฤษที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพถึง 8 สมัย

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่ร่วมกันผลักดันจนนำมาสู่การก่อตั้งพรีเมียร์ลีกและการสร้างสมาคมฟุตบอลอาชีพแทนที่ฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 เดิมซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษซึ่งสโมสรประสบความสำเร็จและมีนักเตะได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากอย่างเช่นเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม,เจอร์เก้น คลินส์มันน์และเดวิด ชิโนล่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่การก่อตั้งพรีเมียร์ลีกจนกระทั่งถึงปลายทศวรรษ 2000 สเปอร์สจบอันดับกลางตารางและได้แชมป์ประดับสโมสรอย่างต่อเนื่องโดยพวกเขาได้แชมป์ลีก คัพในปี 1999 ภายใต้การคุมทีมของจอร์จ เกรแฮมและได้แชมป์เอฟเอ คัพอีกครั้งในปี 2008 จากฮวนเด รามอส และหลังจากนั้นทีมก็ได้พัฒนาขึ้นภายใต้การคุมทีมของแฮร์รี่ เรดแนปป์ซึ่งทีมมีผู้เล่นอย่างแกเร็ธ เบลและลูก้า โมดริช ทำให้ทีมจบอันดับ 1- 5 ในช่วงต้นของทศวรรษ 2010 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 ซูการ์ได้ขายหุ้นของสโมสรสเปอร์สให้กับกลุ่มกีฬาอีนิค(ENIC)ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของโจ เลวิสและแดเนี่ยล เลวี่ กายมาเป็นเจ้าของสโมสรโดยเลวิสและเลวี่นั้นเป็นเจ้าของหุ้นของสโมสรมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์โดยเลวี่นั้นเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในการบริหารงานของสโมสรอย่างเต็มตัว ซึ่งผู้จัดการทีมปัจจุบันของท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์สนั้นคือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่นายใหญ่ชาวอาร์เจนติน่าซึ่งเข้ามาคุมทีมในเดือนพฤษภาคมปี 2014 และมีนักเตะที่ยอดเยี่ยมในทีมอย่างแฮร์รี่ เคน ทำให้ สเปอร์สจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดของพวกเขาตั้งแต่ปี 1962-63

สนามเหย้า

สเปอร์สนั้นในช่วงแรกเล่นอยู่กับสนามที่อยู่ในเขตปาร์กแลนด์ใกล้กับป่าท็อตแน่ม มาร์เชอร์ โดยสนามนี้ได้ถูกตระเตรียมไว้ให้เป็นสนามเหย้าของทีมแต่หลังจากนั้นก็มีปัญหาเรื่องการตกลงการใช้สนาม แต่อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยังได้เล่นในสถานที่แห่งนี้และเกมแรกของสเปอร์สที่ทำการแข่งขันและถูกบันทึกอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นใกล้กับท็อตแน่ม มาร์เชอร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 1883 ในการเจอกับบราวน์โลว์ โรเวอร์สซึ่งสเปอร์สเอาชนะไปได้ 9-0 และในปี 1887 สเปอร์สได้เล่นที่สนามนี้เป็นครั้งแรกในการเจอกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างอาร์เซน่อลที่รู้จักกันในตอนนั้นในชื่อรอยัล อาร์เซน่อล ซึ่ง สเปอร์สนำไป 2-1 จนกระทั่งมีการประกาศยกเลิกการแข่งขันเนื่องจากสนามมีไฟไม่เพียงพอซึ่งจะทำให้ทีมผู้มาเยือนเดินทางกลับลำบาก ซึ่งในช่วงแรกของการแข่งขันนั้นสเปอร์สเล่นในสนามที่เป็นของสาธารณะทำให้ไม่มีการเก็บบัตรเข้าชมขณะที่จำนวนผู้เข้ามาดูนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งปี 1888 ทางสโมสรได้เช่าสนามที่แอสพลิน ฟาร์ม ซึ่งถัดไปจากทางรถไฟแถวนอร์ทธัมเบอร์แลนด์โดยเสียค่าเช่าเป็นเงินจำนวน 17 ปอนด์ต่อปีและเริ่มมีการเก็บค่าเข้าชมจากผู้มาชมโดยนัดแรกที่เกิดขึ้นในสนามแห่งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 1888 ต่อมาจากการที่มีผู้คนเข้ามาดูอย่างหนาแน่นจนทำให้มีการเปลี่ยนห้องพักและสนามใหม่เพื่อพร้อมสำหรับผู้เข้าชมที่เพิ่มมากขึ้น ในปี 1894-95 ราคาค่าเช่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 60 ปอนด์ อย่างไรก็ดีอัฒจรรย์ของสนามสามารถบรรจุคนเพิ่มได้เพียงเล็กน้อย ในเดือนเมษายน 1989 แฟนบอลกว่า 14,000 คนต้องการที่จะดูการแข่งขันระหว่าง สเปอร์สกับวูลวิช อาร์เซน่อลทำให้อัฒจรรย์ได้ถล่มลงมาแต่ว่าโชคดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและทางสโมสรก็เห็นว่าสนามแห่งนี้ไม่สามารถจุผู้คนได้เพียงพออีกต่อไป ทำให้ สเปอร์สจำเป็นต้องหาสนามเหย้าแห่งใหม่ทำให้พวกเขาได้ย้ายไปเล่นที่ไวท์ ฮาร์ท เลนในปี 1899

White Hart Lane

สนามไวท์ ฮาร์ท เลนถูกสร้างขึ้นมาโดยกลุ่มทุนชาริงตั้นและสร้างขึ้นมาภายใต้ชื่อบ้านส่วนตัวนั่นก็คือชื่อ ไวท์ ฮาร์ทซึ่งตั้งอยู่ตรงถนนที่เรียกว่าท็อตแน่ม ในช่วงต้นนั้นสนามถูกบริหารโดยกลุ่มทุนชาริงตั้น โดยสนามนี้ถูกใช้โดยทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สหลังจากที่พวกเขาต้องรองรับการเข้ามาชมของผู้ชมที่มากขึ้น ซึ่งทีมแรกที่ได้มาเยือนสนามแห่งนี้และได้แข่งนั้นก็คือทีมน็อตตส์ เคาน์ตี้และมีผู้ชมมาชมมากกว่า 5,000 คนและเก็บค่าเข้าชมได้ทั้งหมดกว่า 115 ปอนด์ซึ่ง สเปอร์สามารถเอาชนะไปได้ 4-1 ต่อมาทีมควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์กลายมาเป็นทีมแรกในการแข่งขันอย่างเป็นทางการและในนัดนี้มีผู้ชมเข้าชมกว่า 10,000 คนโดยจบเกมส์ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์สได้แพ้ต่อ สเปอร์สไป 1-0 ต่อมาในปี 1905 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สในขณะนั้นได้มีเงินเพิ่มขึ้นมากพอที่จะซื้อที่ดินที่ว่างเปล่าเพื่อเป็นที่ของสโมสรของตนเองและหลังจากที่สเปอร์สได้เข้ามาร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีก สโมสรมีความจำเป็นต้องสร้างสนามใหม่และสนามถูกออกแบบโดยสถาปนิกที่ชื่อว่าอาร์ชิบีล ลีชท์ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างในเวลาถัดมากว่า 20 ปีและกำไรจากการได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1921 ทำให้ทีมได้มีการสร้างสนามใหม่ที่ถนนเพ็กซ์ทันและที่ปาร์กเลนและได้มีการสร้างสนามโดยใช้เงินกว่า 3,000 ปอนด์ใน 2 ปีถัดมา และสนามที่พวกเขาสร้างใหม่นี้สามารถจุผู้คนได้มากถึง 30,000 คนซึ่งได้ทำการสร้างเสร็จในปี 1934 และในช่วงต้นทศวรรษ 1980 สโมสรได้มีการปรับปรุงสนามครั้งใหม่โดยอัฒจันทร์ฝั่งตะวันตกได้มีการแทนที่ด้วยโครงสร้างแบบใหม่และฝั่งตะวันออกได้มีการปรับปรุงตามข้อจำกัดของสนามที่สามารถเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ซึ่งทั้งสองฝั่งทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกต้องมีที่นั่งที่เหมาะสมและทางฝั่งทิศใต้ได้มีการพัฒนาในการติดจอเอาไว้ฉายฟุตบอลในสนามและการปรับปรุงเล็กๆน้อยๆนี้ทำให้มีความจุของสนามที่สามารถจุผู้คนได้ถึง 36,310 คน แต่อย่างไรก็ตามการขยายสนามของสนามไวท์ ฮาร์ท เลนนี้ ถึงแม้จะมีผลมากแต่เมื่อเทียบกับทีมใหญ่ๆทีมอื่นๆในพรีเมียร์ลีกก็ถือว่าค่อนข้างที่จะน้อยทำให้ทางสโมสรได้มีการตัดสินใจที่จะมีการสร้างสนามแห่งใหม่เพื่อเพิ่มขนาดของสโมสร ทำให้สเปอร์สนั้นต้องเล่นเกมยุโรปที่สนามเวมบลีย์ตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมาซึ่งสนามไวท์ ฮาร์ท เลนเดิมนั้นได้ถูกทำลายเสร็จสิ้นลงเมื่อเดือนมิถุนายน 2017

ในเดือนตุลาคม 2008 สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส มีแผนที่จะสร้างสนามแห่งใหม่ทางตอนเหนือของสนามไวท์ ฮาร์ท เลนเดิม ซึ่งความประสงค์จะสร้างครั้งนี้ถูกร่วมกับโปรเจคการพัฒนาของนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ ซึ่งมีความตั้งใจที่จะสร้างในเดือนตุลาคมปี 2009 อย่างไรก็ดีมีการถกเถียงกันเรื่องแผนการสร้างและหลังจากนั้นได้มีการถอนความประสงค์ในการสร้างสนามใหม่ออกไป การสร้างสนามใหม่ได้กลับมาพูดถึงอีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2010 และหลังจากนั้นก็ได้มีการทำข้อตกลงกันว่าทางทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สจะสร้างสนามใหม่เพื่อรองรับความยิ่งใหญ่ของทีมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และหลังจากนั้นก็ได้มีการเสนอต่อสภาของเมืองเพื่อที่จะขออนุมัติในการสร้างสนามจนกระทั่งช่วงต้นของปี 2015 ทางสโมสรได้ยื่นแบบแผนและโครงสร้างของสนามต่อสภาเฮริ่งเกย์ ในวันที่ 17 ธันวาคม 2015 และจะให้เริ่มมีการก่อสร้างในปี 2016 มีแผนการกำหนดใช้ว่าจะใช้ในปี 2018-19 และในระหว่างการก่อสร้าง สเปอร์สจะเปิดสนามเหย้าให้ใช้แข่งนั่นก็คือสนามเวมบลีย์โดยจะใช้ในฤดูกาล 2017-18 และฤดูกาล 2018-19 โดยสนามใหม่จะถูกเรียกว่าสนามท็อตแนมฮอต สเปอร์ส ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว

สัญลักษณ์สโมสร

ตั้งแต่ปี 1921 ในเอฟเอ คัพนัดชิงชนะเลิศได้มีการนำเอารูปไก่เข้ามาเป็นสัญลักษณ์โดยแฮร์รี่ ฮ็อทสเปอร์สซึ่งชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อสโมสรได้ตั้งสัญลักษณ์เป็นไก่ ซึ่งหมายถึงการพยายามต่อสู้ให้ได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งทางสโมสรได้ใช้สัญลักษณ์รูปไก่นี้มาตั้งแต่ปี 1900 และหลังจากนั้นก็ได้มีการเพิ่มเติมเอกลักษณ์ของท้องถิ่นขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ในช่วงต้นของทีมและหลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาการออกแบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เอกลักษณ์ของทีมที่เห็นอย่างชัดเจนนั่นก็คือสัญลักษณ์รูปไก่ขึ้นเหยียบอยู่บนลูกบอลและในปี 2006 ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นโดยตราของทีมได้ถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินเพื่อให้สอดคล้องกับกางเกงของทีมฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส ในขณะนั้น

เจ้าของทีม

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นเป็นบริษัทที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องในฐานะบริษัททางด้านกีฬาเมื่อวันที่ 2 มีนาคมปี 1898 ทำให้ทางสโมสรนั้นมีรายรับและมีการแบ่งปันหุ้นมากกว่า 8,000 หุ้นซึ่งในช่วงต้นนั้นเจ้าของทีมส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของชาวเวลส์ซึ่งมีส่วนร่วมกับสโมสรจนกระทั่งปี 1930 และหลังจากนั้นก็ได้มีการเข้ามาลงทุนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤศจิกายน 1982 เออร์วิ่ง สโคล่าก็ได้ขอซื้อหุ้นของสโมสรเป็นจำนวน 25% ด้วยเงินกว่า 600,000 ปอนด์ร่วมกับคู่หูธุรกิจของเขาอย่างพอล โบบรอฟ ทำให้เขาทั้งสองนั้นได้สิทธิ์ในการควบคุมสโมสรอย่างสมบูรณ์ซึ่งตระกูลของสโคล่าที่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรนั้นเป็นกลุ่มทุนที่ทำธุรกิจทางด้านแลกเปลี่ยนเงินตราและทำให้สเปอร์สเป็นทีมแรกที่เข้าสู่ตลาดหุ้น โดยหุ้นมูลค่ากว่า 3.8 ล้านปอนด์ถูกขายออกไปอย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตามทีมก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จจากการนำทีมเข้าสูตลาดหุ้นเท่าไรนักเนื่องจากมีหนี้สินที่สูงขึ้นจนเมื่อเดือนมิถุนายน 1991 เทอร์รี่ เวเนเบิ้ลนักธุรกิจที่ร่วมทุนกับอลัน ชูการ์ก็ได้เข้ามาซื้อสโมสรโดยพวกเขาแบ่งการลงทุนออกเป็นคนละ 3.25 ล้านปอนด์ ซูการ์ทำเงินได้มากถึง 8 ล้านปอนด์ ในช่วงเดือนธันวาคมปี 1991 และได้สิทธิ์ในการควบคุมสโมสรอย่างสมบูรณ์ ต่อมาในเดือนเมษายนปี 1993 เวเนเบิ้ลได้ถูกไล่ออกจากสโมสรหลังจากที่มีคดีความที่ติดตัวทำให้ซูการ์นั้นจำเป็นต้องขายสโมสรออกไปและในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 กลุ่มทุนที่เข้ามาซื้อเป็นกลุ่มทุนที่เรียกว่าอีนีค(ENIC)ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่มาจากประเทศสหราชอาณาจักร ต่อมาในช่วงปี 2001 ถึงปัจจุบัน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ถูกดูแลโดยนักธุรกิจชาวอังกฤษ 2 คนนั่นก็คือโจ เลวิสและแดเนี่ยล เลวี่ ซึ่งทั้งสองคนนี้ได้พัฒนาทีมให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมายภายใต้การบริหารงานที่รัดกุมและใช้เงินอย่างคุ้มค่าและเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2009 ทางสโมสรประกาศว่ามีความต้องการที่จะสร้างสนามใหม่เพื่อรองรับการเข้ามาของผู้ชมที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

การสนับสนุน

แฟนบอลของทีมสเปอร์สมีวัฒนธรรมที่แข็งแรง ยกตัวอย่างเช่น เพลงเชียร์นั่นก็คือเพลง “กลอรี่ กลอรี่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส” ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นในปี 1961 หลังจากที่สเปอร์สได้ดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 1960-61 และทางสโมสรได้เข้าไปเล่นยูโรเปี้ยน คัพเป็นครั้งแรกและทีมที่เจอทีมแรกในยุโรปของทีมไก่เดือยทองนั้นเป็นทีมจากโปแลนด์และหลังจากนั้นทีมไก่เดือยทองก็เอาชนะไปได้ 4-2 ในนัดที่ 2 นัดนี้เองที่แฟนบอลโปแลนด์ที่เข้ามาดูได้ยกย่องแฟนฟุตบอลของสเปอร์สว่าราวกับนางฟ้าเนื่องจากเหล่าแฟนบอลของทีมไก่เดือยทองนั้นสวมเสื้อสีขาวจนภายหลังได้มีการแต่งเพลงใหม่นั่นก็คือ “กลอรี่ กลอรี่ ฮาเลลูย่า”ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนบอลทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นภาคภูมิใจจนผู้จัดการทีมของสเปอร์สในขณะนั้นอย่างบิล นิโคลสันได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ในอัตชีวประวัติของเขาโดยเขากล่าวเอาไว้ว่า

“เพลงใหม่ของเรานั้นเป็นเพลงที่เพิ่งจะได้ยินในปี 1961-62 ซึ่งเป็นทำนองเพลง กลอรี่ กลอรี่ ฮาเลลูย่า ถูกร้องโดยผู้คนกว่า 60,000 คนที่สนามไวท์ ฮาร์ท เลนในศึกยูโรเปี้ยน คัพของเราผมไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่หรือว่าใครเป็นคนเริ่มต้นมันขึ้นมาแต่มันรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่เลย”

นอกจากนี้สเปอร์สยังมีแฟนบอลหัวรุนแรงซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในปี 1970 จนถึงปี 1980 รวมถึงเหตุจลาจลของแฟนทีมไก่เดือยทองที่ร็อตเตอร์ดัมในศึกยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศในปี 1974 ในการเจอกับเฟเยนูร์ดทีมจากประเทศเนเธอร์แลนด์แม้ว่าจะมีความรุนแรงจากแฟนบอลแต่การกระทำเหล่านั้นก็ถูกรายงานโดยตรงเข้าสู่สโมสรอย่างสม่ำเสมอท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส มีฐานแฟนบอลอยู่ที่สหราชอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่โดยแฟนบอลของทีมส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบลอนดอนตอนเหนือซึ่งพร้อมที่จะมาดูยังสนามเหย้าอย่างไรก็ตามในช่วงปี 1950 ถึง 1962 เป็นจำนวนถึง 5 เกมส์ที่สเปอร์สมีจำนวนคนมาดูในสนามมากที่สุดในอังกฤษ โดยสเปอร์สมีผู้ชมเข้ามาดูมากที่สุดในอังกฤษเป็นอันดับที่ 9 ในฤดูกาล 2008-09 และมีผู้ชมมาดูเป็นอันดับที่ 11 ในฤดูกาล 2017-2018 เมื่อท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สใช้สนามเวมบลีย์เป็นสนามเหย้าก็ทำให้ทีมมีสถิติผู้ชมมากเป็นเป็นอันดับที่ 2 ของพรีเมียร์ลีก โดยทีมไก่เดือยทองนั้นมีผู้สนับสนุนมากมายทั่วโลกและทางทีมสเปอร์สเชื่อว่าการที่ทีมมีแฟนบอลรอบโลกนั้นจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมได้เป็นอย่างมาก อีกสิ่งหนึ่งที่สนับสนุนทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สมาโดยตลอดนั่นก็คือชุมชนของชาวยิวที่อยู่ฝั่งตะวันตกของลอนดอนซึ่งให้การสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 1930 ซึ่งถูกเรียกว่าพวกยิดหรือยิดโดส โดยผู้ที่เหยียดชาติพันธ์ ตัวอย่างของชาวยิวที่มีบทบาทในการพัฒนาทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส เป็นอย่างมากนั้นก็คือเดวิด คาเมร่อนผู้ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร

ทีมคู่ปรับ

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ได้มีคู่ปรับค่อนข้างหลายทีมในแถบลอนดอนซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบลอนดอนตอนเหนือยกตัวอย่างเช่น อาร์เซน่อล ความเป็นคู่อริเกิดขึ้นในปี 1913 เมื่ออาร์เซน่อลย้ายเข้ามายังสนามหลักของพวกเขานั่นก็คือสนามไฮบิวรี่และหลังจากนั้นอาร์เซน่อลก็ถูกเลื่อนชั้นมาสู่ดิวิชั่น 1 และทำให้สเปอร์สเชื่อว่าอาร์เซน่อลนั้นเป็นคู่ปรับของพวกเขาและหลังจากนั้นก็มีทีมจากลอนดอนที่เป็นคู่ปรับของสเปอร์สอยู่หลายทีม ยกตัวอย่างเช่น เชลซีและเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในลอนดอนเท่านั้น

ทีมคู่ปรับ

ความรับผิดชอบต่อสังคม

ทางสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สนั้นได้มีการทำงานร่วมกับชุมชนมาตั้งแต่ปี 2006 โดยเป็นการร่วมมือระหว่างสภาฮาริ่งเกย์และชุมชนละแวกที่อยู่อาศัยในการพัฒนาเครื่องมือ,เครื่องใช้ทางด้านกีฬาและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ซึ่งการเปิดศูนย์การเล่นกีฬานี้ได้รับการสนับสนุนโดยสมาพันธ์ฟุตบอลและทางทีมท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์สนั้นได้รับแรงสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรเมื่อยื่นเรื่องเข้าไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2007 และในเดือนมีนาคมปี 2007 ทางสโมสรได้ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำองค์กรช่วยเหลือเด็กในสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นองค์กรทางการกุศลที่เปิดให้ช่วยเหลือเด็กในรัสเตนเบิร์กประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นการรวมเงินบริจาคในการสนับสนุนความเป็นอยู่ของชุมชนที่มีเด็กยากไร้อาศัยอยู่และในปี 2006-2007 สเปอร์สเป็นทีมที่มียอดเงินบริจาคสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของอังกฤษเพื่อนำเงินไปใช้ในทางด้านการกุศลกว่า 45,458,889 ปอนด์รวมไปถึงการสร้างมูลนิธิท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์สซึ่งใช้เงินกว่า 4.5 ล้านปอนด์

ความสำเร็จของสโมสร (ข้อมูลถึงเดือนมกราคม ปี 2019)

แชมป์ภายในประเทศ

แชมป์ลีก

-พรีเมียร์ลีก(รวมสมัยดิวิชั่น 1) (2 สมัย)
1950-51,1960-61

-แชมเปี้ยนชิพ(รวมสมัยดิวิชั่น 2 ) (2 สมัย)
1919-20,1949-50

แชมป์รายการถ้วย

-เอฟเอ คัพ (8 สมัย)
1900-01,1920-21,1960-61,1961-62,1966-67,1980-81,1981-82,1990-91

-อีเอฟแอล คัพ(รวมสมัยลีก คัพ) (4 สมัย)
1970-71,1972-73,1998-99,2007-08

-เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์(รวมสมัยเอฟเอ ชาร์ริตี้ ชิลด์) (7 สมัย)
1920-21,1950-51,1960-61,1961-62,1966-67,1980-81,1990-91

แชมป์ระดับยุโรป

-ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (1 สมัย)
1962-63

-ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก(รวมสมัยยูฟ่า คัพ) (2 สมัย)
1971-72,1983-84