หัวหอกดาวโรจน์เลือดผู้ดี มาร์คัส แรชฟอร์ด [Marcus Rashford]

หัวหอกดาวโรจน์เลือดผู้ดี มาร์คัส แรชฟอร์ด [Marcus Rashford]

มาร์คัส แรชฟอร์ด เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1997 เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันเขาเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าให้กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษด้วยเช่นกัน แรชฟอร์ด ได้เข้าร่วมเป็นนักเตะใน ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดเยาวชน ตั้งแต่ อายุ 7 ปี แรชฟอร์ดยิงได้ 2 ลูกตั้งแต่นัดแรกที่ลงเล่นให้ทีมในการแข่งขัน ยูโรป้าลีก ซึ่งลงเป็นตัวจริงแทน กองหน้าอย่างอ็องโตนี่ มาซียาล ที่เกิดอาการบาดเจ็บในช่วงฝึกซ้อม และในเกมแรกที่เล่นในพรีเมียลีก เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 นอกจากนั้นเขายังยิงได้ในนัดแรกที่ลงของเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมช, นัดลีกคัพ แมช และ นัดยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก แรชฟอร์ด สามารถยิงได้ในเกมทีมชาติ เมื่อเดือน พฤกษภาคม ปี 2016 และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในนัดแรกที่ลงให้กับทีมชาติชุดใหญ่

สโมสรอาชีพ

มาร์คัส แรชฟอร์ด ช่วงเริ่มต้นของอาชีพ

ช่วงเริ่มต้นของอาชีพ

แรชฟอร์ด เกิดที่ ไวเทนชอว์ ซึ่งอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ และเป็น เชื้อสายคิดติเที่ยน แรชฟอร์ดเริ่มเล่นฟุตบอล ด้วยวัย 5 ปี ให้กับ เฟลตเชอร์มอสเรนเจอส์ ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับสโมสรเยาวชนของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยวัย เพียง 7 ปี เมื่อแรชฟอร์ด โตขึ้น เขาได้เกิดความคลั่งไคล้ ในตัวนักเตะกองหน้า ชาว บราซิลคนหนึ่ง นั่นก็คือ โรนัลโด้ เกมแรกที่แรชฟอร์ดได้ดูนักเตะในดวงใจของเขา นั่นก็ คือเกมที่โรนัลโด้นั้น ยิงประตูได้ถึง 3 ลูก ในการแข่งขันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่สนามโอลแทรฟฟอร์ด ในปี 2003 โดยในเกมนั้น โรนัลโด้ ได้รับการยืนปรบมือจากแฟนบอลทั้งสองทีม ขณะที่เดินออกจากสนามอีกด้วย แรชฟอร์ด ยังกล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่โตมา ผมได้ดูเขาเล่น รวมถึงการแข่งขันของเขามากมายหลายนัด เขามักจะเล่นอย่างอิสระเสมอ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม เขาเล่นได้อย่างอิสระ และออกไปแสดงออกในความเป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่โรนัลโด้ทำนั้นคือการแสดงออกถึงการเล่นฟุตบอลที่ดีที่สุด

ฤดูกาล 2015 – 2016

ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 2015 แรชฟอร์ดได้มีชื่อเป็นตัวจริงเป็นครั้งแรก โดยมี หลุยส์ ฟานกัล เป็นผู้จัดการทีม ได้มีเกมการ แข่งขันกับทีมวัตฟอร์ต ซึ่งในเกมนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สามารถชนะวัตฟอร์ต 2-1 ด้วยกัน

ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2016 แรชฟอร์ด ถูกเพิ่มตัวในทีม ลงเล่นตัวจริงเป็นครั้งแรก ทดแทนอาการบาดเจ็บของ กองหน้าอย่าง อองโตนี่ มาร์กซียาล ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการอบอุ่นร่างกาย โดยในเกมนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แข่งขันกับมิดทิลแลนด์ ใน ศึกยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีม แรชฟอร์ดทำการยิงไปถึง 2 ประตู ในการลงเล่นนัดแรก แล้วจบการแข่งขันลงด้วยการชนะ 5-1 ลูกที่แรชฟอร์ดยิง ทำให้เขาเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยิงได้ในเกมการแข่งขันถ้วยยุโรป ทำลายสถิติก่อนหน้าของ จอร์จ เบส และหลังจากนั้น แรชฟอร์ดได้ทำประตูอีกครั้ง โดยยิงไป 2 ประตู และส่งลูกบอลให้เพื่อนยิงไป 1 ครั้ง ซึ่งเป็นการลงเล่นนัดแรกในพรีเมียลีก พบกับอาร์เซน่อล ชนะไป 3-2 จากการยิงของแรชฟอร์ดนั้นทำให้เขาเป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยิงได้ด้วยอายุที่น้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียลีก ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็น เฟดเดอริโก้ มาเชด้า และ แดนนี่ เวลเบค ตามลำดับ

ในวันที่ 20 มีนาคม ปี 2016 แรชฟอร์ดยิงประตูได้หนึ่งลูก ในเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมช ซึ่งเป็นทีมแรกที่ชนะในการไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ ตั้งแต่ ปี 2012 แรชฟอร์ดอายุได้เพียง 18 ปี 141 วัน แรชฟอร์ด ทำสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่สามารถยิงได้ในเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมช ในยุคของพรีเมียลีค ระหว่างการแข่งขัน เอฟเอคัพ รอบ 6 แข่งขันกับ ทีมเวสต์แฮม เมื่อวันที่ 13 เมษายน ปี 2016 แรชฟอร์ดทำประตูโค้งสุดมหัศจรรย์ ทำให้ทีม ชนะไปได้ 2-1 ทำให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ถ้วย เอฟเอคัพ ครั้งที่ 12 และเป็นถ้วยแรกของแรชฟอร์ดอีกด้วย แรชฟอร์ดจบฤดูกาลนี้ด้วย การยิงไป 8 ปะตู จากการลงเล่น 18 เกม

วันที่ 30 พฤษภาคม แรชฟอร์ด ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาอยู่กับทีมไปถึงปี 2020 ด้วยเงื่อนไขที่สามารถขยายออกไปอีกปี

ฤดูกาล 2016 -2017 ความสำเร็จในยุโรป

สำหรับฤดูกาลใหม่ แรชฟอร์ดได้เป็นส่วนหนึ่งของ ทีมชุดใหญ่ เขาได้สวมใส่เสื้อ หมายเลข 19 จากการมอบหมายของผู้จัดการทีมคนใหม่ อย่าง โชเซ่ มูริญโญ่ ลูกแรกที่ แรชฟอร์ด ยิงประตูในฤดูกาลนี้ เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม ปี 2016 พบกับ ทีมฮัลซิตี้ ซึ่งเขาสามารถยิงประตูได้ในนาทีที่สองของช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และเขาสามารถยิงได้ 3 ลูก ในเดือนถัดมา นั่นก็คือเกมลีกที่แพ้ วัตฟอร์ต ไป 3-1 เมื่อวันที่ 18 กันยายน ต่อจากนั้นอีกเกมที่ชนะ นอร์ธแฮมตัน ทาวน์ ในถ้วย อีเอพแอล รอบสาม และเกมที่ 3 คือเกมที่ชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 เมื่อวันที่ 24 กันยายน และในเดือนถัดมา เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้แข่งขัน กับนักเตะชาวโปรตุเกส นั่นก็คือ เรนาโต้ ซานเชส ในการชิงรางวัล โกลเด้นบอย สำหรับนักเตะยุโรปที่มีอายุ ต่ำกว่า 21 ปี ในวันที่ 24 ตุลาคม อย่างไรก็ตามเขาแพ้คะแนน จึงทำให้เขาตกรอบ จนกระทั่ง วันที่ 7 มกราคม ปี 2017 เขาสามารถยิงประตู ได้ใน นาทีที่ 4 ในถ้วย เอฟเอ แข่งขันกับ แจพ สแตม รีดดิ้ง และจบลงด้วยผลคะแนน 4-0

แรชฟอร์ด ได้ถ้วยที่ 3 ของเขา เมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ในการแข่งขัน ถัวยอีเอฟแอล นัดชิงชนะเลิศ เขาได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง ลงมาในนาทีที่ 77 ซึ่งได้รับชัยชนะ ด้วยคะแนน 3-2 เหนือ ทีมเซาธ์แฮมตัน ต่อจากนั้นเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการคว้าชัยต่อ ทีมเชลซี ด้วยคะแนน 2-0 ในวันที่ 16 เมษายน ในวันนั้น เขาได้ยิงลูกแรก หลังจากผ่านไป 7 นาที จากการผ่านบอล ของ แอนเดอร์ เอเรร่า หลังจากเกมนั้น แรชฟอร์ดได้ยิงประตูสำคัญให้กับทีมอีกครั้งใน 4 วันต่อมาในเกมที่พบกับ แอนเดอร์เลสต์ นาทีที่ 107 ซึ่งเป็นรอบรองชนะเลิศของ ถ้วย ยุโรป้าลีก ชนะด้วยคะแนน 2-1 ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ารอบถัดไป แรชฟอร์ดเริ่มเล่นในถ้วยยุโรป้าลีก รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 24 พฤษภคม แข่งขันกับทีมในลีกฮอลแลนด์ นั่นก็คือ อาแจ็กซ์ ซึ่งเกมนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สามารถชนะได้ด้วยคะแนน 2-0 ทำให้แรชฟอร์ดได้ถ้วยเป็นถ้วยที่ 4 และถือเป็นถ้วยยุโรป ถ้วยแรกของเขาอีกด้วย เนื่องจากการเซ็นสัญญา ของ ซลาตัน อิบราฮิมโมวิก ทำให้ส่วนใหญ่แรชฟอร์ดได้ประจำในตำแหน่งปีก ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงเล่นมากที่สุดในทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขาลงเล่นไปถึง 53 ครั้ง

ฤดูกาล 2017 -2018

ฤดูกาล 2017 -2018

แรชฟอร์ดได้ลงเล่นครั้งแรกในฐานะนักเตะชุดใหญ่เป็นฤดูกาล 2 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2017 ลงแข่งขันกับ ทีมเรอัล มาดริด ในถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์คัพ เขาลงมาเป็นตัวสำรอง ในนาทีที่ 46 แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ไป ด้วยคะแนน 2-1 5 วันต่อมาแรชฟอร๋ดได้เล่นในเกมที่เป็นเจ้าบ้าน ซึ่งเอาชนะ เวสต์แฮม ด้วยคะแนน 4-0 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ในเกมนั้นแรชฟอร์ดยังสามารถส่งลูกให้ โรเมลู ลูกากู ยิงได้อีกด้วย ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม เขาสามารถยิงประตูแรกของฤดูกาลได้ ทำให้สามารถเอาชนะ ต่อทีม เลสเตอร์ซิตี้ ได้ ด้วยคะแนน 2-0 ซึ่งเขาลงมาเพียง 3 นาทีหลังจากเปลี่ยนตัว

เมื่อวัน 12 กันยายน แรชฟอร์ดสามารถยิงประตูได้ในเกมที่แข่งขันกับทีม บาเซล ซึ่งเป็น ถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีครั้งแรกของเขา ในเกมนั้นเขายิงได้ในลูกที่ 3 ทำให้สามารถ เอาชนะไปได้ ด้วยคะแนน 3-0 ซึ่งทำถือว่าเป็น 6 เกมการแข่งขัน ที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมแรก และต่อมาในวันที่ 20 กันยายน มีการแข่งขันถ้วย อีเอฟแอล คัพ รอบที่ 3 ซึ่งแรชฟอร์ดสามารถส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีมยิงได้ในลูกที่ 4 ทำให้สามารถเอาชนะทีม เบอร์ตัน อัลเบียน ด้วยคะแนน 4-1

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ในปี 2017 แรชฟอร์ดสามารถเข้ามาเป็นอันดับที่สาม ของการแข่งขันรางวัลโกลเด้น บอย ซึ่งตามหลังผู้ชนะอย่าง คิลเลี่ยน เอมบับเบ้ และ นักเตะบาร์เซโลน่า อย่าง อุสมาน เด็มเบเล่

ต่อมา วันที่ 28 ตุลาคม แรชฟอร์ดมีส่วนร่วมกับประตูถึง 12 ลูก ใน 16 เกม ซึ่งแยกเป็นการ ยิงประตู 7 ลูก และการส่งบอลให้เพื่อนทำประตูไป 5 ครั้ง ประตูล่าสุดที่เขาทำได้ นั่นก็คือเกมการแข่งขันที่พบกับ ทีมฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม และ การส่งให้เพื่อนทำประตูลูกล่าสุด เป็นเกมการแข่งขันที่พบกับ ทีมสวอนซี ซิตี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม

หลังจากนั้น วันที่ 10 มีนาคม ปี 2018 แรชฟอร์ดสามารถทำประตูได้ถึง 2 ประตู ในเกมที่ชนะ ลิเวอร์พูล ด้วยคะแนน 2-1 ไปได้ ซึ่งเป็นนัดแรกที่เขาลงเล่นในฤดูกาลนั้น และในเกมการแข่งขันนัดสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม แรชฟอร์ดสามารถยิงประตูให้กับทีม เอาชนะ ทีมวัตฟอร์ด ไป 1-0 ที่สนามโอลแทรฟฟอร์ดอีกด้วย

ฤดูกาล 2018-2019

ในเดือนสิงหาคม 2018 เริ่มต้นฤดูกาล 2018-2019 แรชฟอร์ดได้สวมเสื้อหมายเลข 10 หลังจากทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ปล่อย ผู้เล่นหมายเลข 10 คนก่อนหน้า นั่นก็คือ ซลาตัน อิบราฮิมโมวิก ต่อมาในวันที่ 2 กันยายน แรชฟอร์ดถูกส่งออกจากสนาม เนื่องจากการปะทะที่ศรีษะ กับผู้เล่นทีม เบิรน์ลี่ ที่มีชื่อว่า ฟิล บาดลี่ย์ ซึ่งในเกมนั้น ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็กสามารถชนะเกมการแข่งขัน ไปได้ ด้วยคะแนน 2-0 ต่อมาในวันที่ 29 กันยายน แรชฟอร์ดสามารถทำประตูแรกของเขาในฤดูกาลนั้น ซึ่งเป็นลูกเดียวที่ยิงได้ในเกมนั้น ส่งผลให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แพ้ต่อ ทีมเวสต์แฮมไปด้วยคะแนน 3-1 ต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน เขาสามารถทำประตูได้อีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชนะทีมบอรน์มัธไปด้วยคะแนน 2-1 ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม แรชฟอร์ดก็ยังสามารถส่งลูกบอลให้เพื่อนทำประตูได้อีก ถึง 2 ลูก ซึ่งในเกมนั้นทีมเสมอกับทีม เซาธ์แฮมตั้น ด้วยคะแนน 2-2 จากประตูของโรเมลู ลูกากู และ แอนเดอร์ เอเรร่า ในวันเสาร์ต่อมาทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แข่งขันกับทีม ฟูลแล่ม เขาสามารถส่งลูกบอลให้เพื่อนร่วมทีมอย่าง แอชลีย์ ยัง และ ฆวน มาต้า ทำประตูได้ ก่อนที่จะสามารถเก็บชัยชนะไปด้วยคะแนน 4-1

ต่อมา วันที่ 12 ธันวา แรชฟอร์ดลงเล่นในฐานะตัวสำรอง ในนาทีที่ 57 เขาลงเล่นแทนนักเตะกองกลางทีมชาติบราซิลเลี่ยน อย่าง เฟร็ด และเขาสามารถทำประตูด้วยศรีษะ ไปในนาทีที่ 87 แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถคว้าชัย ต่อ ทีมวาเลนเซีย ที่เล่นอยู่ในลีกสเปนได้ ทำให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม ของถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม แรชฟอร์ดสามารถยิงประตูได้ ในนาที่ 3 ซึ่งเป็นการคุมทีมมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดครั้งแรกของผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง โอเล่ กุนนา โซลชา และในเกมนั้นทีมสามารถเอาชนะทีมคาร์ดิฟ ซิตี้ไปด้วยคะแนน 5-1 เลยทีเดียว

ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม แรชฟอร์ดสามารถทำประตูได้อีกครั้งในเกมที่พบกับทีม บอร์นมัธ ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายของแรชฟอร์ด ในปี 2018 และในเกมนั้นยังสามารถส่งลูกให้ พอล ป้อกบา ทำประตูได้อีกด้วย ทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะเกมการแข่งขันกับทีมบอร์นมัธ ด้วยคะแนน 4-1

ในระหว่างการแข่งขันเกมแรกในปี 2019 แรชฟอร์ดสามารถส่งลูกบอลให้เพื่อนทำประตูได้จากลูกตั้งเตะเป็นประตูแรกของเกมนั้น ต่อมาแรชฟอร์ดสามารถยิงได้อีกในลูกที่ 2 ซึ่งส่งผลทำให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะทีมนิวคาสเซิ่ลยูไนเต็ดไปด้วยคะแนน 2-0 ที่สนามเซนต์เจมส์พาร์ค ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม แรชฟอร์ดสามารถยิงประตูให้กับทีมได้ ซึ่งเป็นลูกเดียวในเกมนั้นทำให้ เอาชนะ ทีมอย่างท็อตแน่มฮ็อตเสปอร์ไปด้วยคะแนน 1-0 และหลังจากนั้น แรชฟอร์ดสามารถทำประตูลูกที่ 8 ของเขา ในฤดูกาลนี้ได้ ซึ่งเกิดขึ้นในเกมการแข่งขันวันที่ 19 มกราคม พบกับทีม ไบรท์ตันแอนด์โฮปอัลเบียน ด้วยคะแนน 2-1 จากนั้นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แรชฟอร์ดได้รับรางวัล นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอดเยี่ยมประจำเดือน มกราคม 2019 เช่นเดียวกับประตูที่เอาชนะ ท็อตแนมฮ็อตเสปอร์ ซึ่งลูกนั้นทำให้แรชฟอร์ดได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนอีกด้วย ในวันถัดมาหลังจากนั้น แรชฟอร์ด ลงเล่นเกมเป็นเกมที่ 100 ในลีกให้กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกด้วย และสามารถทำประตูให้กับทีม ส่งผลให้เอาชนะ ทีมเลสเตอร์ซิตี้ ด้วยคะแนน 1-0 การกระทำเช่นนั้นทำให้ แรชฟอร์ดกลายเป็นผู้เล่น ที่อายุน้อยที่สุด ที่เล่นครบ 100 เกมในลีกเป็นอันดับที่สอง รองลงมาจาก ไรอัน กิกส์

ทีมชาติอาชีพ

ยูฟ่า ยูโร 2016

ยูฟ่า ยูโร 2016

การแสดงความสามารถของแรชฟอร์ด ในฤดูกาลแรกที่ลงเล่นให้กับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดใหญ่ ทำให้เขาถูกเรียกตัวไปเพื่อเป็นตัวแทนสำหรับทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขันถ้วย ยูฟ่า ยูโร 2016 โค้ชฝึกสอนเยาวชน ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชื่อว่า นิคกี้ บัตต์ ไม่ให้ความสนใจสำหรับการเรียกตัวนี้ เนื่องจากแรชฟอร์ดยังเด็กเกินไป และมันมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อการพัฒนาของผู้เล่นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 16 พฤษภาคม แรชฟอร์ด ถูกใส่ชื่อในทีมผู้เล่น 26 คนสำหรับรายการการแข่งขันนี้ของ รอย ฮอดจ์สัน และต่อมาเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ ชุดยูโร 2016 ซึ่งน้อยกว่า 4 เดือนหลังจากเปิดตัวกับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม แรชฟอร์ดลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องพบกับทีมชาติ ออสเตรเลีย ที่ สเตเดียมออฟไลท์ และเขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมชาติได้ ส่งผลให้ทีมชาติอังกฤษ ชนะไป 2-1 แรชฟอร์ดได้กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดของทีมชาติอังกฤษ ที่สามารถทำประตูได้ในเกมเปิดตัว และเป็นอันดับสามที่อายุน้อยที่สุดของประวัติศาสตร์ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งคนที่อายุน้อยที่สุดที่ทำสถิตินี้คนก่อนหน้าคือ ทอมมี่ ลอว์ตัน ในปี 1938

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน แรชฟอร์ด ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง แทน อดัม ลัลลานา ในนาทีที่73 ซึ่งในเกมนั้น ทีมชาตือังกฤษ สามารถชนะเหนือทีมชาติ เวลล์ ไปได้ ด้วยคะแนน 2-1 ของถ้วยยูฟ่า ยูโร 2016 การเปิดตัวของเขา ในการแข่งขันถ้วยนี้ ทำให้แรชฟอร์ดเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดเหนือทุกคนในทีมชาติอังกฤษ มีอายุเพียงแค่ 18 ปี กับ 229 วัน และแรชฟอร์ดยังทำลายสถิติที่เป็นของ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งเล่นใน ยูฟ่า ยูโร 2004 ต่อมา 11 วันหลังจากนั้น ทีมชาติอังกฤษได้รับความพ่ายแพ้จากเกมแข่งขันที่พบกับทีม ชาติ ไอส์แลนด์ ด้วยคะแนน 2-1 ที่ นีส ประเทศ ฝรั่งเศส ซึ่งแรชฟอร์ดได้ลงเล่นในฐานะตัวสำรอง 4นาทีสุดท้าย สามารถ เลี้ยงผ่านผู้เล่นไปได้ถึง 3 ครั้ง ทำให้เขากลายเป็น นักเตะที่มีสถิติที่ดีที่สุดในทีมของการแข่งขันนัดนั้นอีกด้วย

2018 ฟีฟ่า เวิร์ลคัพ

แรชฟอร์ดสามารถทำประตูแรกของเขาในการแข่งขันให้กับทีมชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 4 กันยายน ปี 2017 โดยการยิงประตูชัยให้กับทีมชาติอังกฤษ ชนะเหนือทีมชาติ สโลวาเกีย ด้วยคะแนน 2-1 ในการแข่งขัน ฟีฟ่า เวิร์ล คัพ 2018 รอบคัดเลือก แรชฟอร์ดถูกใส่ชื่อเป็น 23 คนแรกของทีมชาติอังกฤษใน การแข่งขัน ฟีฟ่า เวิร์ล คัพ 2018 อีกด้วย ในการแข่งขันถ้วยนี้แรชฟอร์ด ได้ลงเล่นในเกมที่พบกับ ทีมชาติเบลเยี่ยม และได้ลงสนาม 5 นัดในฐานะตัวสำรอง ทุกเกมยกเว้นเกมที่พบกับทีม ปานามา ลูกที่ แรชฟอร์ดทำประตูได้ ซึ่งเป็นลูกเดียว โดยการยิง ลูกจุดโทษ ในเกมการแข่งขันที่พบกับ ทีมชาติโคลัมเบีย ทำให้อังกฤษเข้ารอบสู่รอบรองชนะเลิศได้ และท้ายสุด ทีมชาติอังกฤษ สามารถจบเป็นอันดับที่ 4 ถือว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990

ยูฟ่า เนชั่น ลีก ปี 2018 -2019

เมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 2018 แรชฟอร์ดสามารถทำประตูได้ใน สนามฟุตบอลเวมบลี่ย์ ให้กับทีมชาติอังกฤษ ศึกยูฟ่า เนชั่นลีก ทำการแข่งขันแพ้ให้กับทีมชาติ สเปน ด้วยคะแนน 2-1 สามวันถัดมา แรชฟอร์ดสามารถทำประตูให้กับทีมชาติในเกมกระชับมิตร กับทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ เอาชนะไปด้วยคะแนน 1-0 ที่สนามคิงพาวเวอร์ และในเดือนตุลาคม เป็นการพักเบรกการแข่งขันเพื่อเกมทีมชาติ แรชฟอร์ดได้ถูกส่งชื่อเป็นผู้เล่น เพื่อแข่งขันกับทีมชาติ โครเอเชีย ซึ่งเกมจบลงด้วยคะแนน 0-0 หลังจากอาทิตย์นั้น แรชฟอร์ดสามารถยิงประตู และส่งลูกบอลให้เพื่อนยิงประตูได้ ในเกมแข่งขันที่พบกับทีมชาติ สเปน เอาชนะไปด้วยคะแนน 3-2 จากนั้น เกมเนชั่นลีก รอบสุดท้ายของ ทีมชาติอังกฤษ วันที่ 18 พฤศจิการยน แรชฟอร์ดได้ลงเล่นในนัดที่ทีมชาติอังกฤษสามารถเอาชนะ ทีมชาติโครเอเชีย ได้ด้วยคะแนน 2-1 การชนะในนัดนี้ทำให้ อังกฤษเป็นทีมหัวตาราง และผ่านเข้าสู่ศึกเนชั่นลีก รอบสุดท้าย ในเดือน มิถุนายน 2019