คริสเตียน พูลิซิซ กับการแจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของ พูลิซิซ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาในเกมพรีเมียร์ลัก นัดที่ เชลซี บุกไปถล่ม เบิร์นลี่ย์ ที่สนามเทิร์ฟ มัวร์ 4-2 มันเป็นเหมือนการประกาศตัวแจ้งเกิดในฟุตบอลอังกฤษของ คริสเตียน พูลิซิซ ปีกดาวรุ่งทีมชาติสหรัฐอเมริกา ของ “สิงโตน้ำเงินคราม” อย่างไม่ต้องสงสัย

ในเกมดังกล่าว พูลิซิซ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดด้วยการซัดแฮตทริคจากการยิงด้วยเท้าซ้าย เท้าขวา และลูกโหม่ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดาวเตะวัย 21 ปี ต้องดิ้นรนอย่างหนักในการหาโอกาสลงเป็นตัวจริงในทัพ “สิงห์บลูส์” ภายใต้การคุมทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือชาวอังกฤษ

พูลิซิซ ย้ายจาก “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน มาเล่นกับ เชลซี เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 58 ล้านปอนด์ และในช่วงเริ่มต้นซีซั่น เขาต้องใช้เวลาอย่างมากในการปรับตัวกับฟุตบอลเมืองผู้ดี

ขณะเดียวกัน พูลิซิซ ไม่สามารถยิงประตูให้กับ เชลซี ได้เลยนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2 เดือนที่ผ่านมา และหลายคนมองว่า อดีตเด็กปั้น ดอร์ทมุนด์ ทำผลงานไม่คุ้มค่าตัว โดย แลมพาร์ด ก็เลือกที่จะให้โอกาสกับดาวรุ่งชาวอังกฤษอย้าง เมสัน เมาท์ และ คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย ในตำแหน่งตัวรุก

แข้งชาวสหรัฐฯ เปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยความกังวลว่า เขาไม่มีเวลาลงสนามมากพอ โดยอ้างว่ามันเป็นเรื่องน่าผิดหวังมากที่จะถูกมองข้ามอยู่เสมอในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังจากที่ได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงในลีกครั้งล่าสุดต้อนย้อนไปในเกมกับ ไบรท์ตัน เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ออกมาตอบโต้อย่างมีชั้นเชิง โดยนายใหญ่ เชลซี ระบุว่าเขาเลือกทีมตัวจริงจากฟอร์มการเล่นบนสนามเพียงอย่างเดียวเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่น ซึ่ง พูลิซิซ ยังคงทำได้ไม่ดีพออย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้

ผู้จัดการทีม เชลซี แสดงความให้เห็นอย่างรวดเร็วเช่นกันว่า พูลิซิซ จะมีเวลาหยุดพักช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาสั้นลง เนื่องจากไปเล่นในศึกโกลด์ คัพ 2019 กับทีมสหรัฐอเมริกา และอดีตตัวรุก “เสือเหลือง” ต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ และในพรีเมียร์ลีก

แต่แน่นอนว่า ไม่มีการตื่นตระหนกที่ เชลซี ในช่วงต้นซีซั่น พูลิซิซ พยายามดิ้นรนเพื่อสร้างผลกระทบให้กับทีมเหมือนกับที่ เอเด็น อาซาร์ ปีกทีมชาติเบลเยียม เคยทำเอาไว้ เมื่อเขาย้ายมาจาก ลีลล์ ในศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส ในช่วงฤดูร้อนปี 2012

ด้วยแรงกดดันจากแฟนบอล และการย้ายมาพร้อมกับเงินค่าตัวจำนวนมหาศาล อาซาร์ ยิงได้เพียง 2 ประตูในพรีเมียร์ลีก ในช่วง 2 เดือนแรกของเขาที่สโมสร ก่อนที่จะยิงประตูชัยในเกมลีก คัพ ที่ เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5-4 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2012

ประตูในเกมกับ แมนฯยูไนเต็ด นั้น จุดประกายให้ตัวรุกชาวเบลเยี่ยมกลายมาเป็นคนสำคัญที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และส่วนที่เหลือจากนั้น คือประวัติศาสตร์ ดังนั้นการไปเยือน “ปีศาจแดง” ในศึกคาราบาว คัพอีกครั้งในสัปดาห์นี้ มันก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ พูลิซิซ เช่นเดียวกัน

ความจริงไม่เคยเป็นเรื่องเลวร้ายเลย เมื่อผู้เล่นรู้สึกตื่นเต้นเกินจริง และ พูลิซิซ ก็เป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจถูกกดดันได้ว่า เขาต้องทำได้ดีกว่าเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ และการประสบความสำเร็จในยุโรปนั้น มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

พูลิซิซ ก็เป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล

อย่างไรก็ตาม พรีเมียร์ลีกนั้น ยากกว่า บุนเดสลีกา และ มิดฟิลด์สหรัฐฯ ยังคงหาทางปรับตัวของเขาในอังกฤษต่อไป แต่มันไม่มีอะไรใหม่สำหรับการได้รับการจัดอันดับว่า เขาเป็นนักเตะระดับท็อปที่จะต้องดิ้นรนในพรีเมียร์ลีกทันที หลังย้ายมาจากประเทศเยอรมัน

โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ หัวหอกทีมชาติบราซิล ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งถูกยกย่องว่า เป็นหนึ่งในกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกนั้น ยิงประตูได้เพียงลูกเดียวในช่วงทำครึ่งฤดูกาลแรกของเขากับพลพรรค “หงส์แดง” หลังย้ายมาจากฮอฟเฟ่นไฮม์ ในบุนเดสลีกา ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ ในช่วงฤดูร้อนปี 2015 และหลายคนมองว่าดาวเตะแซมบ้า เป็นการเซ็นสัญญาที่ผิดพลาด

เลรอย ซาเน่ ปีกทีมชาตเยอรมัน มีโอกาสลงสนามให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างจำกัด ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เทรนเนอร์ชาวสเปน หลังจากที่เขาย้ายมาจาก ชาลเก้ ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ ในปี 2016 และต้องรอจนถึงเดือนธันวาคม เขาถึงยิงประตูแรกให้กับ “เรือใบสีฟ้า”

ในปัจจุบัน เฟอร์มิโน่ กลายเป็นตัวหลักของ ลิเวอร์พูล และ ซาเน่ กลายเป็นกำลังสำคัญของ แมนฯซิตี้ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่มีนักเตะจากบุนเดสลีกา อีกหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก อาทิ เฮนริค มคิตาร์ยาน และ ชินจิ คากาวะ 2 อดีตกองกลาง ของ ดอร์ทมุนด์

คากาวะ ย้ายจาก ดอร์ทมุนด์ มาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2012 และจอมทัพชาวญี่ปุ่น ค้าแข้งอยู่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้เพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนจะโดนปล่อยตัวกลับไปยัง “เสือเหลือง” ขณะที่ มคิตาร์ยาน ย้ายมาเล่นกับ “ปีศาจแดง” ในปี 2016 และถูกปล่อยให้กับ อาร์เซน่อล ในปี 2018

ในส่วนของ พูลิซิซ นั้น ยังคงแสดงสัญญาณบางอย่างว่า เขามีบางสิ่งที่ต้องทำก่อนที่เขาจะลงสนามเพื่อจัดการกับความดุดัน และความหนักหน่วงในพรีเมียร์ลีกทุกสัปดาห์ และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกขอบคุณสำหรับการตัดสินใจของ แลมพาร์ด ที่ค่อยๆให้โอกาสเขาปรับตัวและลงสนาม

ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้ว ดอร์ทมุนด์ เล่นเพียง 45 เกมในทุกการแข่งขัน โดย พูลิซิซ ได้ลงสนามไป 30 เกมและเป็นตัวจริงเพียง 17 เกม ส่วนในฤดูกาลนี้กับ เชลซี เขาได้เล่นไป 15 เกม ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน 3 สำหรับการแข่งขัน “เสือเหลือง”

ในตอนท้ายของฤดูกาลนี้ เชลซี สามารถมีเกมแข่งขันได้มากกว่า 50 เกม และดูเหมือนว่า พวกเขาจะมีภาระน้อยกว่าเดิม เมื่อเทียบกับ 63 เกมที่พลพรรค “สิงโตน้ำเงินคราม” เล่นในการแข่งขันทั้งหมดของฤดูกาลที่ผ่านมา

พูลิซิซ จะได้รับโอกาสของเขา นั่นคือไม่ต้องสงสัย และมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่ ปีกสหรัฐฯ ได้ลงสนามไม่มากนักในช่วงต้นฤดูกาล เพราะตอนนี้ เขาอยู่บนเส้นทางสู่การเป็น 11 คนแรก ภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด ไปแล้ว

ฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของ พูลิซิซ ในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ และฟอร์มที่น่าประทับใจเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในบทบาทตัวสำรอง มันเป็นสัญญาณเชิงบวกของ อดีตเด็กปั้น ดอร์ทมุนด์ ภายในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

พูลิซิส กับการแจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีก