พลิกประวัติ ปีเตอร์ เช็ก (Petr Cech) มิสเตอร์เพอร์เฟ็คท์แห่งสาธารณรัฐเช็ก

พลิกประวัติ ปีเตอร์ เช็ก

ปีเตอร์ เช็ก (Petr Cech) คือผู้รักษาประตูชาวเช็ก ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เฝ้าเสาให้กับ อาร์เซน่อล สโมสรฟุตบอลใน พรีเมียร์ลีก เขาเกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 1982 ปัจจุบันมีอายุ 36 ปี

เช็ก เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับ ชเมล บลาซานี่ เมื่อปี 1999 โดยหลังจากได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องภายในฤดูกาลที่ 2 เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ สปาร์ต้า ปราก สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศในปี 2001 ก่อนจะสามารถยึดตำแหน่งมือหนึ่งเอาไว้ได้ด้วยวัยเพียง 19 ปี รวมถึงการสร้างสถิติอันสวยหรูจากการไม่เสียประตูในลีกเป็นระยะเวลานาน 903 นาที

จากผลงานอันยอดเยี่ยมเกินวัยก็ส่งผลให้เจ้าตัวมีโอกาสได้ย้ายออกไปเล่นในต่างประเทศ โดยเริ่มต้นออกเดินทางไปอยู่กับ แรนส์ สโมสรเล็กๆใน ลีกเอิง ด้วยค่าตัว 3.9 ล้านปอนด์ในปี 2002

ที่นั่น เช็ก ได้กลายเป็นดาวดวงเด่นของทีมที่อยู่ในระดับครึ่งล่างของตาราง จนกระทั่งฟอร์มการเซฟของเขาก็ไปเข้าตา เชลซี จนยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าตัว 7 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวนายทวารเจ้าของส่วนสูง 196 ซม.เข้ามาร่วมทีมในปี 2004

ตลอดระยะเวลา 11 ปีในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาทำหน้าที่เฝ้าปากประตูไปทั้งหมด 486 นัดจนกลายเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้กับ สิงห์บลูส์ มากที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 6 โดยเกียรติประวัติของเขาก็คือการช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง ลีก คัพ 3 ครั้ง รวมถึง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกอย่างละสมัย

เช็ก ยังเป็นเจ้าของสถิติเก็บคลีนชีตได้มากที่สุดของสโมสรรวมกัน 220 ครั้ง ก่อนจะตัดสินใจอำลา เชลซี เพื่อไปอยู่กับ อาร์เซน่อล ในปี 2015 ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ และมีส่วนช่วยให้ต้นสังกัดปัจจุบันคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ได้ชูถาด คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 2 ครั้ง

เช็ก ลงทำหน้าที่ให้กับทีมสาธารณรัฐเช็กเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2002 และกลายเป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดตลอดกาล 124 ครั้ง เขาเคยมีโอกาสเข้าร่วมในทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก 2006 รวมถึงใน ศึกยูโร 2004, 2008, 2012 และ 2016

เขาได้รับการโหวตให้ติดอยู่ในทีมยอดเยี่ยมของ ยูโร 2004 จากการพา สาธารณรัฐเช็ก ผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ ในขณะที่ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้กวาดรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมและรางวัล โกลเด้น บอล ของประเทศตนเองได้มากที่สุดอีกด้วย

ด้วยฟอร์มการเซฟที่เหนียวหนึบจึงทำให้ เช็ก ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของโลก ซึ่งสามารถการันตีได้จากสถิติอันยอดเยี่ยมมากมายทั้ง การเก็บคลีนชีตใน พรีเมียร์ลีก ได้ครบ 100 ครั้งจากการลงสนามเพียง 180 เกม หรือการสร้างสถิติเก็บคลีนชีตในหนึ่งฤดูกาลมากที่สุด 24 ครั้ง และการเป็นเจ้าของสถิติรักษาคลีนชีตได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก 202 ครั้ง

เช็ก ยังเป็นนายด่านเพียงคนเดียวที่คว้ารางวัล ถุงมือทองคำ ของ พรีเมียร์ลีก ได้จาก 2 สโมสร และยังเป็นเจ้าของสถิติร่วมในการคว้ารางวัลนี้ได้ถึง 4 ครั้งในฤดูกาล 2004-05, 2009-10, 2013-14 และ 2015-16 เขายังได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของโลกในปี 2005 จาก สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศ (IFFHS) และยังคว้ารางวัลนายทวารยอดเยี่ยมจากรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำซีซั่น 2004-05, 2006-07 และ 2007-08 รวมถึงการรันสถิติไม่เสียประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้ยาวนานที่สุด 1,025 นาทีระหว่างฤดูกาล 2004-05 อีกด้วย

เขาได้รับฉายาเริ่มต้นจากเพื่อนร่วมทีมที่ เชลซี ว่า Mr. Zero จากความสามารถในการรักษาคลีนชีตได้แบบรัวๆ ก่อนจะมีนิคเนมใหม่ว่า Tankman ซึ่งที่มาจากเครื่องป้องกันศีรษะหลังได้รับอุบัติเหตุในสนามจนถึงขั้นกะโหลกร้าว นอกจากนี้บรรดาเพื่อนร่วมทีมสาธารณรัฐเช็กยังตั้งฉายาให้เขาอีกว่า Mr. Perfect จากผลงานการเซฟอันยอดเยี่ยมในการแข่งขันระดับทีมชาติ

จุดเริ่มต้น เส้นทางในระดับสโมสร

จุดเริ่มต้น เส้นทางในระดับสโมสร

เช็ก เกิดในเมืองพัลเซ่น ที่เป็นอาณาเขตของ เชโกสโลวาเกีย ในเวลานั้น เขาเริ่มหัดเล่นฟุตบอลกับ วิคตอเรีย พัลเซ่น ในวัย 7 ขวบโดยเริ่มต้นในตำแหน่งศูนย์หน้าก่อนจะขยับลงมาเป็นผู้รักษาประตูในภายหลัง ก่อนจะมาเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ ชเมล บลาซานี่ ในปี 1999 และมีโอกาสประเดิมสนามด้วยวัยเพียง 17 ปีในเดือนตุลาคมปีนั้นจากเกมที่พ่ายให้กับ สปาร์ต้า ปราก 3-1

ในเดือนมกราคม 2001 เขาตกลงเซ็นสัญญายาว 5 ปีครึ่งกับ สปาร์ต้า ปราก พร้อมเงื่อนไขที่จะยังคงอยู่กับ บลาซานี่ ไปจนจบฤดูกาล 2001-01 จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2001 เช็ก ก็สามารถทำลายสถิติของ ธีโอดอร์ รีมันน์ อดีตนายทวารทีมชาติเชโกสโลวาเกีย ที่สามารถป้องกันประตูไว้ได้ยาวนาน 855 นาทีจากการแข่งขันในเกมลีกของประเทศ ก่อนจะสร้างสถิติใหม่ไว้ได้ที่ตัวเลข 903 นาที

แม้จะไม่ได้สัมผัสแชมป์ใดๆกับ สปาร์ต้า แต่ด้วยผลงานอันโดดเด่นจึงทำให้เขาได้รับความสนใจจาก อาร์เซน่อล แต่เนื่องจากอุปสรรคในเรื่องของ เวิร์ค เพอร์มิต จึงทำให้ ทีมปืนใหญ่ ตัดสินใจถอนสมอออกจากดีลนี้

แรนส์

และแล้วในเดือนกรกฎาคม 2002 เขาก็บรรลุข้อตกลงในสัญญายาว 4 ปีสำหรับการย้ายไปร่วมทีม แรนส์ ด้วยค่าตัว 5.5 ล้านยูโร โดยระหว่างซีซั่นเปิดตัวในฝรั่งเศส เขาสามารถคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จาก เลกิ๊ป สื่อกีฬาชื่อดังของแดนน้ำหอมได้ในการเผชิญกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จนกระทั่งย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคม 2003 ที่ แรนส์ ยังคงจมอยู่ท้ายตารางแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถรอดพ้นการตกชั้นได้จากการเอาชนะ มงต์เปลลิเย่ร์ ได้ในนัดปิดฤดูกาล

เชลซี

ข้อเสนอแรกในการดึงตัว เช็ก จาก เชลซี ถูกปฏิเสธไปในเดือนมกราคม 2004 ก่อนที่ แรนส์ จะยอมใจอ่อนตอบรับเงินค่าตัว 7 ล้านปอนด์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จนกระทั่งเขามาตกลงเซ็นสัญญายาว 5 ปีในเดือนกรกฎาคม 2004 ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูที่แพงที่สุดของสโมสรภายในเวลานั้น

อย่างไรก็ตามดีลผู้รักษาประตูทีมชาติเช็กก็กลายเป็นหนึ่งในการซื้อ-ขายของเหล่าสโมสรฟุตบอลในอังกฤษที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องการทุจริต ก่อนที่สุดท้ายจะมีรายงานข้อสรุปออกมาในเดือนมิถุนายน 2007 ว่าไม่มีหลักฐานของการชำระเงินที่ผิดหลักข้อกฎหมายแต่อย่างใด

ฤดูกาล 2004-05

ในขณะที่ เช็ก ก้าวเท้าเข้ามาอยู่กับ เชลซี พวกเขามี คาร์โล คูดิชินี่ เป็นตัวเลือกอันดับแรกอยู่ แต่เหมือนชะตาได้ลิขิตไว้ คูดิชินี่ เกิดมีอาการบาดเจ็บที่ข้อศอกในระหว่างช่วงปรีซีซั่น จนทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ตัดสินใจดัน เช็ก ขึ้นมาและกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสามารถยึดตำแหน่งมือหนึ่งได้ในทันที

เช็ก เปิดตัวใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างสวยหรูจากการเก็บคลีนชีตได้ในชัยชนะ 1-0 เหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จนกระทั่งวันที่ 5 มีนาคม 2005 เขาก็ได้สร้างสถิติใหม่ในพรีเมียร์ลีกจากการไม่เสียประตูยาวนาน 1,025 นาที แซงหน้าสถิติเดิมของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก่อนจะโดน ลีออน แม็คเคนซี่ หัวหอก นอริช ซิตี้ ยิงผ่านมือเข้าไป

โดยหลังจากถูก เธียร์รี่ อองรี กดไป 2 เม็ดในเกมที่เสมอ 2-2 กับ อาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2004 เช็ก ก็เดินหน้ารักษาคลีนชีตต่อจนสามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับ พรีเมียร์ลีก ก่อนจะมาคว้า รางวัลถุงมือทองคำ ได้หลังจบฤดูกาลนั้นจากสถิติ 21 คลีนชีตในลีก รวมถึงการเสียไปเพียงแค่ 15 ประตูตลอดทั้งซีซั่นที่กลายเป็นสถิติใหม่เช่นกัน

เชลซี เช็ก

ฤดูกาล 2005-06

สิงห์บลูส์ สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ในฤดูกาลถัดมา โดยที่ เช็ก ลงสนามในลีกไปทั้งหมด 34 เกมและเสียประตูไปทั้งหมดแค่ 22 ลูก จนกระทั่งเดือนมกราคม 2006 เขาก็ได้รับรางวัลผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของโลกประจำปี 2005 จาก IFFHS ก่อนที่เดือนถัดมาจะตัดสินใจต่อสัญญาเพิ่มไปอีก 2 ปีที่จะทำให้เขาอยู่กับสโมสรไปจนถึงปี 2010 และภายในปีนั้นเขายังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีในบ้านเกิดของตนเองอีกด้วย

ฤดูกาล 2006-07

เช็ก ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่หัวไหล่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2006 หลังมีปัญหาสะสมมาตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนจะหยุดพักไป 2 เดือนและกลับมาลงสนามได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม

ภายในฤดูกาลนั้นมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะระหว่างเกมกับ เร้ดดิ้ง ที่ มาเดจสกี้ สเตเดี้ยม ในวันที่ 14 ตุลาคม 2006 ต้นเหตุมาจากจังหวะที่เขาปะทะเข้ากับ สตีเฟ่น ฮันท์ มิดฟิลด์ชาวไอริชของเจ้าถิ่นในบริเวณกรอบเขตโทษตั้งแต่นาทีแรกของเกม โดยเข่าขวาของ ฮันท์ กระแทกเข้ากับศีรษะของ เช็ก เข้าอย่างจังในจังหวะที่นายทวารทีมเยือนพยายามพุ่งออกมาคว้าบอล

หลังได้รับการปฐมพยาบาลอยู่นานหลายนาที เขาก็ถูกหามออกจากสนามโดยมี คาร์โล คูดิชินี่ ลงมาทำหน้าที่แทน อย่างไรก็ตามนายทวารมือสองที่ถูกเปลี่ยนลงมาก็อยู่ได้ไม่จบเกม เมื่อเกิดเหตุปะทะกับผู้เล่นของ เร้ดดิ้ง ในช่วงท้ายเกมจนต้องถูกหามออกไปอีกคน โดยที่ จอห์น เทอร์รี่ ต้องหันมาสวมถุงมือเป็นผู้รักษาประตูจำเป็นในช่วงเวลาที่เหลือ

จากอาการบาดเจ็บที่ดูจะไม่ได้ซีเรียสอะไรมากนักในเบื้องต้น แต่สุดท้าย เช็ก กลับต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการกะโหลกศีรษะร้าว โดยที่ทางแพทย์ได้ออกมาเปิดเผยในภายหลังว่ามันรุนแรงจนเกือบจะคร่าชีวิตเขาไปด้วยซ้ำ และมันยังส่งผลให้เขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงอีกด้วย

ทางฝ่าย โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ออกมาโจมตี ฮันท์ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกทีมของเขาต้องบาดเจ็บสาหัส และพูดถึงจังหวะพุ่งเข้าใส่ของ ฮันท์ ว่าเป็นการกระทำที่น่าละอาย นอกจากนี้เขายังฟาดงวงฟาดงาไปถึงหน่วยทีมแพทย์ที่ประจำอยู่ในสนาม และ ไมค์ ไรลี่ย์ ผู้ตัดสินในเกมวันนั้น หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีนักวิเคราะห์เกมหลายคนรวมถึงอดีตนายทวารต่างทยอยออกมาให้ความเห็นว่า ผู้รักษาประตูควรได้รับการปกป้องมากกว่านี้

เช็ก สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ 24 ตุลาคม 2006 และมีแผนการเบื้องต้นที่จะกลับมาลงฝึกซ้อมเบาๆได้ในสัปดาห์ต่อมา อย่างไรก็ตาม เชลซี ได้ออกมาประกาศแจ้งในภายหลังว่า เขายังคงต้องรักษาตัวต่อไปอีก 3 เดือนภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะ ในขณะที่เจ้าตัวก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ได้เลย

ในที่สุด เช็ก ก็กลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมลีกที่เผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2007 ที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้ของ เชลซี 2-0 โดยที่เขาสวมใส่เฮดการ์ดรักบี้ที่เป็นแบรนด์เชื้อสายมาจาก นิวซีแลนด์ ลงทำหน้าที่ในเกมนั้น ซึ่งจากโลโก้ที่โชว์อยู่ก็ทำให้มีประเด็นกับ พูม่า และ อดิดาส ผู้เป็นสปอนเซอร์ชุดกีฬาให้กับ ทีมสาธารณรัฐเช็ก และ เชลซี ตามลำดับ

สุดท้ายปัญหานี้ก็ได้มีการแก้ไขโดย อดิดาส ตัดสินใจผลิตเฮดเกียร์ขึ้นมาให้เขาใช้ในเกมระดับสโมสร และมีการตกลงกันว่าเขาจะใส่เครื่องป้องกันศีรษะที่ไม่มีแบรนด์สำหรับเกมทีมชาติ และแม้เจ้าตัวจะหายสนิทจากอาการบาดเจ็บในภายหลังแต่เขาก็ยังคงสวมใส่เฮดการ์ดลงสนามอยู่เสมอ

การรีเทิร์นกลับมาของเขาในครั้งนี้สามารถสร้างความประทับใจได้จากสถิติไม่เสียประตูในลีกได้ยาวนานถึง 810 นาที จนกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2007 เขาก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกจากผลงานการเก็บคลีนชีตได้ติดต่อกันถึง 8 นัด

ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจาก ทิม ฟลาวเวอร์ส เมื่อปี 2000 โดยสถิติของเขาถูกเบรกลงในเกมที่บุกไปเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 4-1 จากลูกยิงตีเสมอของ คาร์ลอส เตเวซ ในช่วงครึ่งเวลาแรก

เช็ก ยังทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติในเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2007 ที่พบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งตัวเขาและ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ต่างครองสถิติร่วมในการเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่รักษาคลีนชีตได้ในเกมตัดสินที่ เวมบลีย์ หลังการปรับปรุงใหม่ แต่สุดท้ายก็กลายเป็น เช็ก ที่ได้บวกสถิติไร้พ่ายเพิ่มขึ้นมา หลังทีมของเขาเป็นฝ่ายเอาชนะคู่แข่ง 1-0

ฤดูกาล 2007 เช็ก

ฤดูกาล 2007-08

เช็ก ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการเสีย 2 ประตูในเกมที่เฉือนเอาชนะ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ 3-2 อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังเพียงพอสำหรับ เชลซี ที่สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นทีมที่ไร้พ่ายในบ้านต่อเนื่องกัน 64 นัดในลีก

ในเดือนพฤศจิกายน เขาได้รับบาดเจ็บที่บริเวณน่องขวาระหว่างเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ชาลเก้ 04 ก่อนที่ช่วงปลายเดือนถัดมาในเกมกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เขาจะถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงครึ่งหลังจากปัญหาที่สะโพก

ฤดูกาลนั้นถือเป็นปีที่น่าผิดหวังของ เชลซี เริ่มจากการพ่ายแพ้ต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ โดยประตูชัย 2-1 ของ สเปอร์ส ในช่วงต่อเวลาพิเศษมาจากจังหวะออกมาตัดบอลพลาดของ เช็ก ที่ปัดบอลไปโดนหน้าของ โจนาธาน วู้ดเกต กระดอนเข้าประตูไป

หลังจากนั้นเขาก็ทำหน้าที่เฝ้าเสาให้ทีมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมาพลาดเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมเลกสองที่พบกับ โอลิมเปียกอส จากปัญหาที่ข้อเท้าในระหว่างฝึกซ้อม และส่งผลให้เขาหมดสิทธิ์ลงช่วยทีมไปอีกหลายนัดโดยเฉพาะเกม ลอนดอน ดาร์บี้ กับ อาร์เซน่อล รวมถึงเกมยุโรปรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ เฟเนร์บาห์เช่ ทั้ง 2 นัด

ในช่วงต้นเดือนเมษายน ทางสโมสรประกาศว่า เช็ก ต้องเข้ารับการผ่าตัดแบบเร่งด่วนที่คางและริมฝีปากจากอุบัติเหตุปะทะกันกับ ทาล เบน ฮาอิม เพื่อนร่วมทีมในสนามซ้อมซึ่งส่งผลให้เขาต้องถูกเย็บไปทั้งหมด 50 เข็มและพลาดลงสนามไปอีก 2 เกม ก่อนจะกลับมาได้ในนัดที่เสมอกับ วีแกน แอธเลติก ในบ้าน 1-1

เช็ก มีโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ต้องดวลกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ ลุซนิกิ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ก่อนที่ สิงห์บลูส์ จะไปไม่ถึงฝั่งฝันหลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษตัดสิน

ฤดูกาล 2008-09

เช็ก ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับใหม่ที่จะทำให้เขาอยู่กับ เชลซี ไปจนถึงช่วงหน้าร้อนปี 2013 โดยที่ทีมของเขาออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการเสียไปเพียงแค่ 7 ประตูจาก 17 เกม แถมยังรักษาคลีนชีตได้ถึง 11 ครั้ง โดยที่มีเขาลงเฝ้าเสาอยู่รวม 10 นัดในจำนวนเหล่านั้น

ในเดือนพฤศจิกายน 2008 ทีมเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่ถล่ม ซันเดอร์แลนด์ 5-0 และกลายเป็นนัดที่ 100 ของ เช็ก ที่ลงทำหน้าที่โดยไม่เสียประตู เขายังมาฉลองการลงสนามเกมที่ 200 ให้กับ เชลซี ด้วยการช่วยให้ทีมเฉือนเอาชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในรายการ แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะโชว์ฟอร์มเป็นพระเอกในการบุกไปเก็บ 3 คะแนนเต็มจาก แอสตัน วิลล่า ที่ วิลล่า พาร์ค โดยการป้องกันจังหวะสำคัญๆจาก กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ และ แกเร็ธ แบร์รี่

ต่อเนื่องด้วยการเซฟลูกยิงของ พอล ชาร์เนอร์ ในเกมที่เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ วีแกน 2-1 จนทำให้ทีมกลับมารั้งอยู่ในอันดับที่ 2 เขาเดินหน้าโชว์ฟอร์มเก็บคลีนชีตได้อีกใน 2 เกมถัดมาที่พบกับ พอร์ทสมัธ และ โคเวนทรี จนทำให้ทีมยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกรวมถึงผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกในรายการ เอฟเอ คัพ

ด้วยลีลาซูเปอร์เซฟของเขาก็คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ เชลซี บุกไปเอาชนะ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ได้ถึง 3-1 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 สุดท้ายจนกุมความได้เปรียบและส่งผลให้ทีมไปได้ไกลจนถึงรอบรองชนะเลิศ

ระหว่างช่วงเดือนเมษายนในเกมที่เปิดรังรับการมาเยือนของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ในขณะที่ทีมออกนำคู่แข่งไปแล้ว 4-0 กุส ฮิดดิ้งค์ ตัดสินใจถอด ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ออกมาพัก ก่อนที่ โบลตัน จะฮึดยิงรัวไล่ตามขึ้นมาเป็น 4-3 ภายในช่วงเวลาแค่ 10 นาที จนกลายเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับแนวรับของพวกเขารวมถึงการทำหน้าที่ของ เช็ก

อย่างไรก็ตามเขาสามารถเรียกศรัทธากลับมาได้ด้วยการเซฟจุดโทษของ มาร์ค โนเบิ้ล ในเกมที่เฉือนเอาชนะ เวสต์แฮม 1-0 ที่ โบลีน กราวน์ และยังรักษาคลีนชีตได้อย่างต่อเนื่องในเกมถัดมาที่บุกไปยันเสมอ บาร์เซโลน่า 0-0 ในบอลถ้วยยุโรป

หลังจากลงเตะนัดปิดฤดูกาลด้วยการบุกไปเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-2 ได้ที่ สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ก็ทำให้ เช็ก สร้างสถิติร่วมกับ เชลซี ด้วยการเป็นทีมที่มีแนวรับแข็งแกร่งที่สุดของ พรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด จากการเสียไปเพียงแค่ 24 ประตูตลอดทั้งฤดูกาล และแม้จะพลาดท่าเสียประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์นัดชิง เอฟเอ คัพ แต่ เช็ก ก็ยังมีส่วนช่วยให้ทีมพลิกกลับมาเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1 และกลายเป็นโทรฟี่ใบที่ 7 ของเขากับสโมสร

ฤดูกาล 2005 เช็ก

ฤดูกาล 2009-10

เช็ก เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้อย่างสวยหรู ทีมประเดิมแชมป์แรกด้วยการปราบ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จากการช่วยเซฟจุดโทษของ ไรอัน กิ๊กส์ และ ปาทริซ เอวร่า หลังเสมอกันในเวลา 2-2 เขายังมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะรวด 6 นัดแรกในลีกจนทำให้ขึ้นไปนั่งแท่นเป็นจ่าฝูง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 26 กันยายน 2009 เขาก็ถูกไล่ออกจากสนามหลังพุ่งออกไปรวบ ฮูโก้ โรดาเยก้า จนล้มคว่ำในกรอบ 18 หลาพร้อมๆกับการเสียจุดโทษ ก่อนที่ทีมจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ วีแกน ไป 3-1 จนเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับ ปีศาจแดง

ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2010 เขามีอาการบาดเจ็บที่น่องหลังเกมฟาดแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน ในถ้วย UCL จนหมดสิทธิ์ลงสนามไปรวม 5 นัด ก่อนจะมาประกาศศักดาสร้างสถิติรักษาคลีนชีตครบ 100 ครั้งในเกม พรีเมียร์ลีก จากการพบกับ โบลตัน ที่เอาชนะไปด้วยสกอร์ 1-0

สุดท้ายแล้ว เช็ก ก็สามารถคว้ารางวัลถุงมือทองคำเป็นครั้งที่สอง หลังโชว์ฟอร์มเก็บไปทั้งหมด 17 คลีนชีตในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งที่ 3 ร่วมกับ เชลซี นอกจากนี้เขายังช่วยเซฟสำคัญในการป้องกันลูกจุดโทษของ เควิน พรินซ์ บัวเต็ง ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ จนช่วยให้ทีมเป็นฝ่ายเอาชนะ พอร์ทสมัธ 1-0 และคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่

ฤดูกาล 2010-11

ระหว่างการฝึกซ้อมในช่วงปรีซีซั่น ปัญหาที่น่องของเขาตั้งแต่เกมกับ อินเตอร์ มิลาน ในซีซั่นที่แล้วกลับกำเริบขึ้นมา และจากผลการสแกนอย่างละเอียดก็ตรวจพบอาการกล้ามเนื้อฉีกขาดจนทำให้ต้องพักยาวไป 3 สัปดาห์ และส่งผลให้เขาอดลงสนามช่วยทีมในเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่พ่ายให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1

เช็ก กลับมาประเดิมสนามด้วยการเก็บคลีนชีตในนัดที่เปิดบ้านไล่ถลุง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 6-0 เขายังมาช่วยให้ทีมไม่เสียประตูจากการเอาชนะ อาร์เซน่อล 2-0 และบุกไปเสมอ 0-0 กับ แอสตัน วิลล่า ในช่วงเดือนตุลาคม

ในวันที่ 7 มีนาคม 2011 เขาลงเล่นนัดที่ 300 ให้กับ เชลซี ในเกมลีกที่บุกไปเอาชนะ แบล็คพูล 3-1 จนกระทั่งช่วงท้ายฤดูกาลที่เขาได้รับการโหวตจากแฟนๆให้เป็นนักเตะยอดแห่งปีของสโมสรเป็นครั้งแรกจากคะแนนเสียงกว่า 28,000

ฤดูกาล 2011-12

เช็ก ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการออกไปเยือน สโต๊ค ซิตี้ และแบ่งแต้มกันไปในเกมที่ไร้สกอร์ ก่อนที่ 4 วันให้หลังเขาจะได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าในระหว่างฝึกซ้อมและคาดว่าจะต้องพักยาวไปนานร่วมเดือน สุดท้ายเขากลับมาได้ในอีก 3 สัปดาห์ต่อมาในเกมที่บุกไปเฉือน ซันเดอร์แลนด์ 2-1 และมารักษาคลีนชีตให้ทีมเป็นนัดแรกได้ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เปิดบ้านสอนเชิง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 2-0

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2012 เขาได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสาธารณรัฐเช็กประจำปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการคว้ารางวัลครั้งที่ 5 ของเขาในรายการนี้ ในวันที่ 24 มีนาคมเขาลงเล่นให้ทีมในลีกเป็นนัดที่ 250 ก่อนจะจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 กับ สเปอร์ส ในถิ่น เดอะ บริดจ์

ในวันที่ 19 พฤษภาคม เช็ก ช่วยเซฟจุดโทษจาก อาร์เยน ร็อบเบน อดีตเพื่อนร่วมทีมรวมถึงอีก 2 ประตูที่ป้องกันได้ในการดวลจุดโทษตัดสินกับ บาเยิร์น มิวนิค ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า และกลายเป็นการครองบัลลังก์จ้าวยุโรปสมัยแรกของ เชลซี โดยที่เจ้าตัวยังคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดนี้อีกด้วย

จากการได้ครอบครองถ้วยบิ๊กเอียร์ก็ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นชาวเช็กคนที่ 4 ที่คว้ารางวัลชนะเลิศในรายการนี้ ก่อนที่ทางสโมสรจะตบรางวัลด้วยการมอบสัญญาฉบับใหม่ระยะเวลา 4 ปีที่จะทำให้เขาอยู่โยงกับทีมไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2015-16

ฤดูกาล 2012 เช็ก

ฤดูกาล 2012-13

เช็ก ลงสนามนัดแรกในเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่พ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ 3-2 โดยไม่สามารถป้องกันประตูจาก ยาย่า ตูเร่, คาร์ลอส เตเวซ และ ซามีร์ นาสรี่ เอาไว้ได้ เขายังลงทำหน้าที่ในเกม ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่เผชิญหน้ากับ แอตเลติโก้ มาดริด ที่ สต๊าด หลุยส์ เดอซ์ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการถูกถล่มเละเทะ 4-1 ไปได้

ในวันที่ 12 ตุลาคม เขาได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมแทน จอห์น เทอร์รี่ ที่ติดโทษแบนห้ามลงสนาม 4 นัด จนกระทั่งวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 เขาก็มีส่วนช่วยให้ สิงห์บลูส์ คว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ได้เป็นสมัยแรกจากการเอาชนะ เบนฟิก้า 2-1 ในนัดตัดสินที่ อัมสเตอร์ดัม อารีน่า

ฤดูกาล 2013-14

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม เช็ก ลงสนามในเกมลีกนัดที่ 300 ให้กับ เชลซี และจบลงด้วยชัยชนะ 4-1 เหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จนกระทั่งวันที่ 11 มกราคม 2014 เขาสามารถรักษาคลีนชีตให้ทีมได้เป็นนัดที่ 209 รวมทุกรายการจากชัยชนะ 2-0 เหนือ ฮัลล์ ซิตี้ พร้อมทำลายสถิติดั้งเดิมที่เคยทำไว้ของ ปีเตอร์ โบเน็ตติ
ในวันที่ 18 มีนาคม เขาฉลองการลงเล่นเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 100 จากนัดที่เปิดบ้านไล่ต้อน กาลาตาซาราย 2-0 จนทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูคนที่ 4 ที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในทำเนียบนี้ต่อจาก อิเกร์ กาซิยาส, บิคตอร์ บัลเดส และ โอลิเวอร์ คาห์น

ในวันที่ 22 เมษายน ระหว่างเกมรอบตัดเชือกในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามด้วยอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ โดยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้ออกมาพูดถึงอาการของเขาว่าน่าจะถึงขั้นปิดฤดูกาลไปก่อนใครเพื่อน
แต่แม้ เช็ก จะพลาดโอกาสลงสนามไปหลายนัดในช่วงท้ายซีซั่น แต่เขาก็ยังมีผลงานตลอดทั้งปีที่ดีเพียงพอจะคว้ารางวัลถุงมือทองคำร่วมกับ วอยเซียค เชสนี่ ของ อาร์เซน่อล ที่เก็บกันไปคนละ 16 คลีนชีตตลอดทั้งฤดูกาล

ฤดูกาล 2014-15

เริ่มมีการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งมือหนึ่งภายในทีม หลังการก้าวเข้ามาอย่างเต็มตัวของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ซึ่งสาเหตุหลักก็น่าจะมาจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่หัวไหล่, หลัง และหัวเข่าของ เช็ก โดยที่เขาต้องรอจนถึงวันที่ 24 กันยายน ถึงจะมีโอกาสลงสนามเป็นนัดแรกในเกม ลีก คัพ รอบที่ 3 กับ โบลตัน ที่ เชลซี เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-1

เขาได้ลงสนามในเกมลีกนัดแรกในช่วงต้นเดือนตุลาคม จากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยของ กูร์กตัวส์ ในช่วงครึ่งหลังของเกมที่เอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 2-0 และได้รับโอกาสออกสตาร์ทเป็นครั้งที่สองในเกมยุโรปที่ช่วยให้ทีมถล่ม มาริบอร์ 6-0 จนกระทั่ง กูร์กตัวส์ ไม่พร้อมจะลงสนามอีกครั้งจึงทำให้เขาได้เป็นตัวจริงในลีกครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ก่อนจะช่วยรักษาคลีนชีตไว้ด้วยสกอร์ 2-0

แม้จะตกอยู่ในสถานะมือรอง แต่ มูรินโญ่ ก็ยืนยันที่จะไม่ปล่อยตัวเขาออกไปในช่วงเดือนมกราคม 2015 เนื่องจาก มาร์ค ชวาร์เซอร์ ผู้รักษาประตูมือสามตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ และในระหว่างเดือนนั้น เขาก็กลับมาออกสตาร์ทให้ทีมในเกมที่พบกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ สวอนซี ซิตี้ โดยสามารถรักษาคลีนชีตให้ทีมได้ทั้ง 2 นัด

จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2015 เช็ก ก็ถูกส่งลงมาทำหน้าที่ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ที่ต้องเผชิญหน้ากับ สเปอร์ส ก่อนจะช่วยให้ เชลซี ไม่เสียประตูและคว้าชัยไปด้วยสกอร์ 2-0 จนกลายเป็นถ้วยแชมป์ใบที่ 3 ของเขาในรายการนี้

อาร์เซน่อล

“ในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้วมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป และผมก็เข้าใจดีว่าผมไม่ใช่ตัวเลือกอันดับ 1 อีกต่อไป แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเดินจากมา จนมาถึงระหว่างฤดูกาลที่มันเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้นว่าสถานการณ์ของผมคงไม่มีอะไรที่ดีขึ้น และผมก็รู้ตัวดีว่านี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาในอาชีพของผมที่ต้องการจะอยู่บนม้านั่งสำรอง ผมจึงตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปและมองหาสิ่งท้าทายใหม่ๆ” จากข้อความใน ทวิตเตอร์ ของ เช็ก ที่พูดถึงสาเหตุในการย้ายทีมของเขา

เช็กเล่นในฤดูกาล 2015

ฤดูกาล 2015-16

เช็ก ตัดสินใจเซ็นสัญญายาว 4 กับ อาร์เซน่อล ทีมคู่ปรับร่วมเมืองของต้นสังกัดเดิมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2015 ด้วยค่าตัวในการย้ายทีม 10 ล้านปอนด์ และการจากไปด้วยสัญญายืมตัวของ วอยเซียค เชสนี่ ที่ไปอยู่กับ โรม่า จึงทำให้เขาถูกวางให้เป็นมือหนึ่งของทีมเหนือ ดาวิด ออสปิน่า

เขาสามารถคว้าแชมป์แรกร่วมกับทีมใหม่ได้อย่างรวดเร็วจากรายการ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่เฉือนเอาชนะ เชลซี 1-0 แต่กลับเปิดตัวในเกมลีกไม่สวยเมื่อทีมพ่ายแพ้คาบ้านให้กับ เวสต์แฮม 2-0 ในนัดเปิดฤดูกาล ก่อนจะได้ประเดิมเกมยุโรปกับ ไอ้ปืนใหญ่ ด้วยการรักษาคลีนชีตในการเปิดบ้านไล่ต้อน บาเยิร์น มิวนิค 2-0

เช็ก มาสร้างสถิติเก็บคลีนชีตใน พรีเมียร์ลีก เป็นนัดที่ 170 จากชัยชนะ 2-0 เหนือ บอร์นมัธ ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตอนช่วงปลายปี 2015 แถมยังเป็นการทำลายสถิติดั้งเดิมที่ เดวิด เจมส์ เคยทำไว้

เขามามีปัญหาบาดเจ็บที่น่องจนพลาดลงสนามในการพบกับ สวอนซี ตอนช่วงต้นเดือนมีนาคม 2016 และกลับมาอยู่บนม้านั่งสำรองได้ในนัดที่พบกับ วัตฟอร์ด เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอีกครั้งในนัดที่ถูก คริสตัล พาเลซ บุกมาตามตีเสมอ 1-1 ในช่วงท้ายเกม ก่อนจะมีส่วนช่วยให้ อาร์เซน่อล เก็บชัยชนะนัดที่ 500 ใน พรีเมียร์ลีก ได้จากชัยชนะ 2-0 เหนือ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

ฤดูกาล 2016-17

เช็ก สวมปลอกแขนกัปตันทีมในนัดเปิดฤดูกาลที่ถูก ลิเวอร์พูล บุกมาเฉือนเอาชนะไปแบบสุดมันส์ 4-3 ในระหว่างเดือนกันยายนเขาลงทำหน้าที่เฝ้าเสาในเกมที่เปิดบ้านถล่ม เชลซี ทีมเก่า 3-0 และได้ออกสตาร์ทในเกม เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศที่ อาร์เซน่อล สามารถผ่าน แมนฯ ซิตี้ เพื่อเข้าสู่ เวมบลีย์ ไปด้วยสกอร์ 2-1

เขามารับบทบาทหัวหน้าทีมอีกครั้งในเกมที่บุกไปเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-0 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2017 แต่กลับได้นั่งอยู่ข้างสนามในการเผชิญหน้ากับ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ อาร์เซน่อล สามารถคว้าแชมป์ไปครองพร้อมสร้างสถิติการเป็นแชมป์มากที่สุด 13 ครั้ง

ฤดูกาล 2017-18

เช็ก ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการช่วยให้ทีมครองแชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ จากการดวลจุดโทษชนะ เชลซี หลังเสมอกัน 1-1 ในช่วงเวลา 120 นาที เขาได้สวมปลอกแขนอีกครั้งในนัดเปิดฤดูกาลที่ทีมพลิกแซง เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบสุดระทึก 4-3 จนกระทั่งในวันที่ 11 มีนาคม 2018 เขาก็กลายเป็นผู้รักษาประตูที่รักษาคลีนชีตได้มากถึง 200 ครั้ง หลังสามารถเซฟจุดโทษของ ทรอย ดีนี่ย์ ได้ในเกมที่เปิดบ้านถล่ม วัตฟอร์ด 3-0

ฤดูกาล 2018-19

เช็ก ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการได้รับความไว้วางใจจาก อูไน เอเมอรี่ ให้เป็นตัวเลือกแรกในการเฝ้าอยู่หน้าปากประตู แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บที่ แฮมสตริง ระหว่างเกมที่เอาชนะ วัตฟอร์ด 2-0 ในช่วงปลายเดือนกันยายน ก็ทำให้เขาสูญเสียตำแหน่งมือหนึ่งให้กับ แบร์นด์ เลโน่ นับแต่นั้นมา จนกระทั่งเจ้าตัวได้ออกมาประกาศว่าจะขอแขวนถุงมือหลังจบฤดูกาลนี้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2019

เส้นทางในระดับทีมชาติของเช็ก

เส้นทางในระดับทีมชาติ

เช็ก เปิดตัวในระดับทีมชาติเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 1997 จากการลงเล่นให้กับทีมชุด U-15 ก่อนจะไต่เต้าขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2002 เขาเริ่มต้นฉายแววเด่นในวัย 20 ปีจากการลงแข่งขันในรายการ ยูโร 2002 รุ่น U-21 ที่สวมบทบาทฮีโร่ในการช่วยเซฟได้ถึง 3 ประตูจากการดวลจุดโทษตัดสินกับ ฝรั่งเศส ในนัดชิงชนะเลิศ จนทำให้ สาธารณรัฐเช็ก คว้าแชมป์รายการนั้นไปครอง

หลังจากเริ่มยึดตำแหน่งมือหนึ่งในทีมชาติชุดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง เขาก็ถูกเรียกตัวเป็น 1 ใน 23 ขุนพลทีมสาธารณรัฐเช็ก เพื่อลงทำศึก ยูโร 2004 ที่เขามีส่วนช่วยให้ทีมผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้กับ กรีซ ที่ไปได้ไกลจนถึงขั้นคว้าแชมป์ โดยที่เขามีรายชื่อติดอยู่ในทีมออลสตาร์ประจำทัวร์นาเมนต์อีกด้วย

สาธารณรัฐเช็ก สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายใน ฟุตบอลโลก 2006 ที่ถูกจัดขึ้นที่ เยอรมัน โดยที่ทีมถูกวางให้อยู่ในกลุ่ม E ร่วมกับ กาน่า, อิตาลี และ สหรัฐอเมริกา ที่แม้พวกเขาจะเริ่มต้นได้สวยจากการถล่ม สหรัฐอเมริกา 3-0 ในนัดเปิดสนาม แต่ก็กลับพ่ายแพ้ในอีก 2 นัดที่เหลือด้วยผลลัพธ์ 2-0 ทั้ง 2 เกมก่อนจะกระเด็นตกรอบไปอย่างรวดเร็ว

ในวันที่ 17 ตุลาคม 2007 เช็ก มีโอกาสสวมปลอกแขนนำเพื่อนร่วมทีมออกไปเยือน เยอรมัน ในเกม ยูโร 2008 รอบคัดเลือกกลุ่ม D ที่เขาสามารถรักษาคลีนชีตได้จากชัยชนะอันน่าทึ่ง 3-0 จนสามารถตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายที่ ออสเตรีย จับมือร่วมกับ สวิตเซอร์แลนด์ ช่วยกันรับหน้าเสื่อ

และก็เหมือนเคยในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย สาธารณรัฐเช็ก สามารถเอาชนะ สวิส ทีมเจ้าภาพ 1-0 ได้ในนัดแรก แต่กลับพ่ายแพ้ในอีก 2 นัดที่เหลือต่อ โปรตุเกส และโดยเฉพาะในนัดสุดท้ายที่แสนจะดราม่ากับ ตุรกี เมื่อทีมเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 2 ประตู แต่พอถึงช่วง 3 นาทีสุดท้ายจากจังหวะที่ เช็ก พลาดออกมาตัดบอลจากลูกครอสหลุดมือจน นิฮัต คาห์เวซี่ ได้โอกาสแปเข้าไปโล่งๆ ก่อน คาห์เวซี่ จะหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงประตูชัยให้ ตุรกี แบบสุดสวยในอีก 2 นาทีถัดมา

ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2012 เขาถูกเรียกตัวให้ติดอยู่ในทีมที่เดินทางไปลงเตะใน ยูโร 2012 ที่ โปแลนด์ และ ยูเครน เป็นเจ้าภาพร่วม หลังพ่ายให้กับ รัสเซีย แบบยับเยิน 4-1 ในนัดเปิดสนาม เช็ก ก็มาทำพลาดในนัดถัดมาจนถูก กรีซ ตีไข่แตกแต่ยังโชคดีที่ทีมเอาตัวรอดมาได้ด้วยสกอร์ 2-1 ก่อนที่เขาจะได้รับหน้าที่สวมปลอกแขนแทน โทมัส โรซิคกี้ ที่บาดเจ็บไปในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่เฉือนเอาชนะ โปแลนด์ 1-0 จนสามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์

เช็ก เดินนำเพื่อนร่วมทีมลงสนามในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับ โปรตุเกส ก่อนที่พวกเขาจะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านหลังโดนลูกโหม่งทีเด็ดของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่กลายเป็นประตูตัดสินเกมในนาทีที่ 79

ในวันที่ 26 มีนาคม 2013 เช็ก ฉลองครบรอบ 100 นัดให้กับทีมชาติด้วยการช่วยรักษาคลีนชีตจากชัยชนะ 3-0 เหนือ อาร์มีเนีย เขามาทำสถิติลงสนามเทียบเท่า คาเรล โพบอร์สกี้ ที่ 118 นัดในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2015 จากเกมที่พ่ายแพ้ให้กับ โปแลนด์ 3-1 ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานทีมชาติคนใหม่ในเดือนพฤษภาคมปีถัดมาจากเกมอุ่นเครื่องที่ถล่ม มอลตา 6-0

จนกระทั่งวันที่ 8 กรกฎาคม 2016 เช็ก ตัดสินใจอำลาทีมชาติ หลังผ่านการรับใช้ชาติมายาวนานร่วม 15 ปี และช่วยลงทำหน้าที่ไปทั้งหมด 124 เกม

สไตล์การเล่นของเช็ก

สไตล์การเล่น

หลังสามารถแจ้งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยังสมัยยังเป็นผู้เล่นดาวรุ่ง เช็ก ก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุด และยังได้รับการยอมรับนับถือถึงฟอร์มการเซฟที่คงเส้นคงวาทั้งภายในช่วงเวลาของเขารวมถึงในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะด้วยส่วนสูง, ความว่องไว, ความกล้าหาญ, สภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง, ทักษะการป้องกันที่มีรอบด้าน, สภาพจิตใจที่มั่นคง, การตัดสินใจที่ดี รวมถึงบุคลิกความเป็นผู้นำ อีกทั้งตลอดช่วงชีวิตการสวมถุงมือของเขายังแสดงให้เห็นเด่นชัดถึงปฏิกิริยาอันว่องไว ความสามารถในการเซฟลูกยิง การยืนตำแหน่ง สมาธิอันจดจ่อ การรับมือต่อลูกเปิดจากด้านข้าง รวมถึงการบัญชาการแนวรับในกรอบเขตโทษ

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มีจุดเด่นในการเล่นบอลด้วยเท้าเหมือนดั่งพวกผู้รักษาประตูเจเนอเรชั่นใหม่ที่ก้าวตามหลังขึ้นมา แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการเตะเปิดเกมได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง แม้จะถนัดเท้าซ้ายโดยธรรมชาติก็ตาม

จานลุยจิ บุฟฟ่อน ตำนานผู้รักษาประตูที่ยังคงเล่นอยู่ในปัจจุบันได้เคยพูดถึง เช็ก ไว้ว่า เป็นหนึ่งในนายทวารที่ดีที่สุดในยุคของเขา “ถ้าถามถึงผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้ดีที่สุด? ผมให้ เปเป้ เรน่า ถ้าในเรื่องลูกกลางอากาศ ผมมองไปที่ นอยเออร์ ถ้าความสามารถในการใช้มือ ก็ต้องเป็น กาซิยาส แต่ถ้าดีที่สุดในภาพรวม ผมขอเลือก เช็ก”

นอกจากนี้ทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ และ เยนส์ เลห์มันน์ อดีตกุนซือและผู้รักษาประตูของ อาร์เซน่อล ต่างก็เคยออกมายกย่องว่า เขาคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดตลอดกาล

ชีวิตส่วนตัว

เช็ก เกิดมาในครอบครัวของพ่อและแม่ที่เป็นอดีตนักกีฬา เขามีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ซาร์ก้า พี่สาว และ มิชาล พี่/น้องชายที่เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุได้เพียง 2 ขวบจากอาการติดเชื้อในโรงพยาบาล โดยก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปจริงจังกับการเล่นฟุตบอล เขาเคยเป็นนักแสดงเด็กที่มีผลงานในละครโทรทัศน์เมื่อช่วงปี 1991

เช็ก แต่งงานกับ มาร์ติน่า โดเลโซว่า แฟนสาวสัญชาติเดียวกันในเดือนมิถุนายนปี 2003 ก่อนจะมีพยานรักคนแรกเป็น อเดล่า ลูกสาวเมื่อเดือนมกราคมปี 2008 และ ดาเมี่ยน ลูกชายในเดือนมิถุนายนปีถัดมา โดยที่ทั้งคู่ลืมตาดูโลกขึ้นในประเทศบ้านเกิดของพ่อและแม่

เขายังมีความสามารถทางด้านดนตรีโดยเฉพาะในการตีกลอง เขายังมี ยูทูบ แชนแนล เป็นของตัวเองที่คอยอัพโหลดคลิปวิดีโอการตีกลองโคฟเวอร์บทเพลงของศิลปินชื่อดังต่างๆ ทั้ง Coldplay, Foo Fighters และ Queen

นอกจากการใช้ภาษาเช็กที่เป็นภาษาบ้านเกิดแล้ว เขายังมีความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน และ สเปน อีกด้วย

ชีวิตส่วนตัวของเช็ก