ปีศาจสีแดง แห่งเมืองแมนเชสเตอร์

ปีศาจสีแดง แห่งเมืองแมนเชสเตอร์

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟุตบอลคลับหรือที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ “แมนฯยูไนเต็ด” เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงระดับโลกสโมสรหนึ่งโดยมีสนามเหย้าคือสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในประเทศอังกฤษ มีฉายาว่า “ปีศาจแดง”(the Red Devils) โดยแมนฯยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่โลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษนั่นก็คือพรีเมียร์ลีก ทีมแมนฯยูถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้นๆของประเทศ สโมสรแมนฯยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นในปี 1878 โดยในขณะนั้นใช้ชื่อทีมว่านิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ฟุตบอลคลับ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 1902 และย้ายมาใช้สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นสนามเหย้าในปัจจุบันเมื่อปี 1910

แมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้มากกว่าทุกทีมในลีกผู้ดี โดยทีมปีศาจแดงสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศทั้งหมด 20 สมัย(ดิวิชั่น 1 และพรีเมียร์ลีก),แชมป์เอฟเอ คัพ 12 สมัย,แชมป์ลีก คัพ 5 สมัย,แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 21 สมัย ส่วนในเวทียุโรปนั้นแมนฯยูไนเต็ดก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกไปได้ 3 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 1 สมัย,แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในระดับโลกนั้นก็ไปคว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพและแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ(สโมสรโลก) อีกอย่างละ 1 สมัย ในปี 1998-1999 สโมสรแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นสโมสรแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษที่สามารถเป็นแชมป์ทั้ง 3 รายการสำคัญได้ในซีซั่นเดียว(พรีเมียร์ลีก,เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) และจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกได้ในฤดูกาล 2016-2017 ก็ทำให้พวกเขากลายเป็น 1 ใน 5 สโมสรที่สามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งสามรายการหลักของเวทียุโรป(ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก,ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ และยูฟ่า ยูโรป้า ลีก) และเป็นทีมเดียวในประเทศอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ได้ในทุกรายการที่ทำการลงแข่งขัน

ในปี 1958 ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมมิวนิคขึ้นกับทีมแมนฯยูไนเต็ดโดยเครื่องบินที่โดยสารผู้เล่นปีศาจแดงได้ตกลงมาเป็นผลให้ผู้เล่นของทีมเสียชีวิตทั้งหมด 8 คน และในปี 1968 ภายใต้การคุมทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ ทีมแมนฯยูไนเต็ดก็กลายเป็นสโมสรจากประเทศอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ(ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปัจจุบัน)มาครองได้ และในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันผู้โด่งดังชื่อของแมนฯยูก็เป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลกโดยท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันพาทีมแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 38 ถ้วยตั้งแต่เข้ามาคุมทีมปีศาจแดงระหว่างปี 1986-2013 ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ ลีก 13 สมัย,แชมป์เอฟเอ คัพ 5 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย

ประวัติสโมสร

สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นในปี 1878 โดยในขณะนั้นยังใช้ชื่อทีมว่าว่านิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ฟุตบอลคลับซึ่งสโมสรแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นมาจากกลุ่มพนักงานแผนกขนส่งและบรรทุกสินค้าของบริษัทรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์ซึ่งเป็นบริษัทรถไฟที่อยู่ในนิวตัน ฮีธพื้นที่ส่วนหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์ การแข่งขันแมตช์แรกของทีมเป็นการพบกับบรรดาทีมจากแผนกอื่นๆและจากบริษัทการรถไฟอื่นๆแต่ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ปี 1880 พวกเขาก็ได้บันทึกการแข่งขันแมตช์แรกอย่างเป็นทางการของพวกเขาโดยทีมนิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ฟุตบอลคลับนี้ได้แพ้ต่อทีมสำรองของสโมสรโบลตัน วันเดอร์เรอร์สไปยับเยินถึง 6-0 ซึ่งในการแข่งขันแมตช์ทางการครั้งนี้พวกเขาสวมใส่เสื้อที่มีสีเป็นของบริษัทการรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์นั่นก็คือสีเขียวและทอง หลังจากนั้นในปี 1888 นิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ฟุตบอลคลับก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันเดอะ คอมบิเนชั่นซึ่งเป็นลีกฟุตบอลระดับภูมิภาคในยุคแรกๆอย่างไรก็ตามลีกเดอะ คอมบิเนชั่นก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ไม่ดีซักเท่าไรหลังจากที่จัดการแข่งขันไปได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียวก็มีอันจะต้องยกเลิกการแข่งไป ซึ่งทางทีมนิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ก็ได้เข้าร่วมในรายการฟุตบอลอัลลิอันซ์ซึ่งเป็นรายการหนึ่งที่จัดตั้งโดยสมาคมฟุตบอลของอังกฤษ โดยรายการฟุตบอลอัลลิอันซ์นี้ก็ได้จัดขึ้นมา 3 ฤดูกาลก่อนที่จะถูกรวมกับฟุตบอลลีกของประเทศเป็นให้เกิดฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 ขึ้นในฤดูกาล 1892-1893 จากการเข้าร่วมลีกดิวิชั่น 1 ของทีมนิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ก็ทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากการเป็นทีมในการดูแลของบริษัทการรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์โดยได้นำ “แอลวายอาร์” ออกจากชื่อสโมสรเหลือเพียงแค่นิวตัน ฮีธแทน อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกเขาเข้าร่วมลีกดิวิชั่น 1 ไปได้แค่ 2 ฤดูกาลทีมนิวตัน ฮีธก็ได้ตกชั้นไปเล่นในลีกดิวิชั่น 2 แทน

ในเดือนมกราคม ปี 1902 ทีมนิวตัน ฮีธต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินของสโมสร โดยมีหนี้อยู่เป็นจำนวน 2,670 ปอนด์ (ประมาณ 270,000 ปอนด์หรือประมาณ 11 ล้านบาทในปัจจุบัน) ส่งผลให้สโมสรประสบปัญหาอย่างหนักมีสิทธิ์ที่จะถูกสั่งให้ยุบสโมสร โชคดีที่แฮร์รี่ สต๊าฟฟอร์ดกัปตันทีมในขณะนั้นได้พบกับนักธุรกิจท้องถิ่นของเมืองแมนเชสเตอร์จำนวน 4 คนซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ (ต่อมาได้เป็นประธานสโมสรของทีมนิวตัน ฮีธ) โดยทั้ง 4 คนได้ตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนเงินคนละ 500 ปอนด์เพื่อแลกกับผลประโยชน์ในตัวสโมสรรวมไปถึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรใหม่ โดยในวันที่ 24 เมษายน ปี 1902 โลกก็ได้รู้จักทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างแท้จริง ต่อมาภายใต้การคุมทีมของเออร์เนสต์ มังนัลล์ สโมสรก็จบที่รองแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในปี 1906 ทำให้ทีมแมนฯยูไนเต็ดได้กลับไปโลดแล่นในลีกดิวิชั่น 1 ในปีต่อมาก่อนที่ในปี 1908 ทีมแมนฯยูไนเต็ดจะคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรได้สำเร็จและในฤดูกาลต่อมามังนัลล์ก็พาทีมคว้าแชมป์ชาร์ริตี้ ชิลด์(คอมมิวนิตี้ ชิลด์ในปัจจุบัน)ได้เป็นครั้งแรกและจบฤดูกาลนั้นด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพเป็นครั้งแรกของสโมสร และต่อมาทีมแมนฯยูไนเต็ดก็สามารถคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เป็นสมัยที่ 2 ได้ในปี 1911 ก่อนที่จบฤดูกาล 1912 มังนัลล์จะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ดเพื่อไปเป็นผู้จัดการทีมให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้คู่ปรับร่วมเมืองของทีมปีศาจแดง

ในปี 1922 เป็นเวลากว่า 3 ปีกว่าที่กีฬาฟุตบอลจะกลับมาเตะได้อีกครั้งหลังจากที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น(ปี 1914-1918) ทีมแมนฯยูไนเต็ดก็ได้ตกชั้นไปสู่ดิวิชั่น 2 อีกครั้ง ซึ่งแมนฯยูไนเต็ดต้องใช้เวลากว่า 3 ปีกว่าที่จะกลับไปเล่นในดวิชั่น 1 อีกครั้งในปี 1925 ก่อนที่จะตกชั้นสู่ดิวิชั่น 2 อีกครั้งหนึ่งในปี 1931 ในตอนนั้นแมนฯยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่มีฟอร์มลุ่มๆดอนๆขาดความคงเส้นคงวา มีผลงานที่ย่ำแย่จนถึงขั้นรั้งตำแหน่งท้ายสุดของตารางลีดดิวิชั่น 2 ในปี 1934(อันดับ 20) ตามมาด้วยการเสียชีวิตของจอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ประธานสโมสรในขณะนั้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี 1927 ส่งผลให้ทางสโมสรแมนฯยูไนเต็ดประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักถึงขั้นที่จะถูกสั่งล้มละลายก่อนที่จะได้เจมส์ ดับเบิลยู กิ๊บสันเข้ามาเทคโอเวอร์และช่วยเหลือสโมสรจากการล้มละลายถึง 2,000 ปอนด์ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 1931 ก่อนที่ทางสโมสรจะเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้งอย่างไรก็ตามฤดูกาล 1938-1939 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของกีฬาฟุตบอลเนื่องจากว่าในช่วงปี 1939 นั้นได้เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นทำให้ประเทศในยุโรปได้รับผลกระทบจากสงครามซึ่งในฤดูกาล 1938-1939 ทีมแมนฯยูไนเต็ดก็ได้จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 14 ในลีกดิวิชั่น 1

หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 1945 การแข่งขันฟุตบอลก็กลับมาทำการแข่งขันกันอีกครั้ง ทีมแมนฯยูไนเต็ดได้แต่งตั้งให้เซอร์ แมตต์ บัสบี้มาเป็นผู้จัดการทีมซึ่งขณะนั้นเซอร์ แมตต์ บัสบี้ก็มีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเลือกผู้เล่นในทีม,การซื้อ-ขายนักเตะ รวมไปถึงรูปแบบการฝึกซ้อมของสโมสร ซึ่งเซอร์ แมตต์ บัสบี้ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงแรกที่มากุมบังเหียนในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดโดยการพาทีมแมนฯยูไนเต็ดจบรองแชมป์ใน 3 ปีติดต่อกัน คือปี 1947,1948 และ 1949 พ่วงด้วยแชมป์เอฟเอ คัพในปี 1948 ก่อนที่ในปี 1952 เซอร์ แมตต์ บัสบี้จะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ในรอบ 41 ปีด้วยผู้เล่นเฉลี่ยในทีมแค่เพียง 22 ปีเท่านั้น และสามารถพาทีมแมนฯยูไนเต็ดเป็นแชมป์ติดต่อกัน 2 ฤดูกาลติดต่อกันในฤดูกาล 1955-56 และ 1956-57 ทำให้บรรดาสื่อต่างๆขนานนามว่าเป็น “เดอะ บัสบี้ เบปส์”(the Busby Babes) ซึ่งมาจากการที่เซอร์ แมตต์ บัสบี้มุ่งเน้นที่จะปั้นบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งมาใช้งาน ในปี 1957 แมนฯยูไนเต็ดกลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ได้ลงทำการแข่งขันในศึกยูโรเปี้ยน คัพได้สำเร็จหลังจากที่ฤดูกาลก่อนหน้านี้เชลซีเกือบจะได้เป็นทีมแรกจากเกาะอังกฤษที่ได้ลงแข่งในรายการนี้ก่อนที่จะถูกปฏิเสธไปโดยทางลีกของประเทศอังกฤษ ผลงานในฤดูกาลแรกของทีมแมนฯยูไนเต็ดในเวทียูโรเปี้ยน คัพถือว่าทำได้ดี พวกเขาสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับเรอัล มาดริด อย่างไรก็ตามทีมปีศาจแดงก็ได้ถล่มทีมอันเดอร์เลชท์แชมป์ลีกเบลเยียมในปีนั้น 10-0 ซึ่งชัยชนะนี้ก็ยังคงเป็นชัยชนะมากที่สุดของทีมในรายการนี้

ต่อมาฤดูกาลถัดมา ระหว่างที่ผู้เล่นทีมแมนฯยูไนเต็ดกำลังเดินทางกลับมาที่สโมสรในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1958 หลังจากลงเล่นในเกมส์ยูโรเปี้ยน คัพรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบกับทีมเร้ด สตาร์ เบลเกรด เครื่องบินโดยสารที่บรรดาผู้เล่นของทีมโดยสารมาได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมนี ผลจากอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 คนโดยในจำนวนผู้เสียชีวิตนี้มีผู้เล่นของทีมปีศาจแดงอยู่ด้วย 8 คน ได้แก่ โรเจอร์ เบิร์น,เจฟฟ์ เบนท์,เดวิด เพ็กก์,เอ็ดดี้ โคลแมน,มาร์ค โจนส์,บิลลี่ วีแลน,ทอมมี่ เทย์เลอร์ และดันแคน เอ็ดเวิร์ดนอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บก็คือเซอร์ แมตต์ บัสบี้ผู้จัดการทีมของปีศาจแดงทำให้ผู้ช่วยผู้จัดการของทีมอย่างจิมมี่ เมอร์ฟี่ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวในระหว่างที่เซอร์ แมตต์ บัสบี้กำลังพักรักษาตัวอยู่พร้อมกับพาทีมแมนฯยูไนเต็ดผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการเอฟเอ คัพได้ก่อนที่จะปราชัยให้กับทีมโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส นอกจากนี้ถึงแม้ว่าทีมแมนฯยูไนเต็ดในขณะนั้นจะยังคงประสบกับเหตุการณ์เครื่องบินตกนี้เองทางยูฟ่าก็ยังคงส่งคำเชิญมาให้กับสโมสรเพื่อทำการลงแข่งในรายการยูโรเปี้ยน คัพฤดูกาล 1958-1959 ซึ่งมีแชมป์ลีกในปีนั้นอย่างวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์สเข้าร่วมได้ ถึงแม้ว่าทางเอฟเอจะอนุญาตให้ทีมแมนฯยูไนเต็ดลงแข่งขันได้แต่ก็มีการเตือนว่าทางแมนฯยูไนเต็ดไม่ควรที่จะส่งทีมลงแข่งในรายการยูโรเปี้ยน คัพเพราะว่าในขณะนั้นทีมไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะลงเล่นในรายการ หลังหายจากอาการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่มิวนิค เซอร์ แมตต์ บัสบี้ก็ได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 ด้วยการเซ็นผู้เล่นหน้าใหม่อย่างเดนิส ลอว์และแพท ครีแรนด์เข้ามาผสมผสานกับบรรดาผู้เล่นจากอะคาเดมี่ของสโมสรอย่างเช่นจอร์จ เบสต์จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้ในปี 1963 และในฤดูกาลถัดมาแมนฯยูไนเต็ดก็สามารถจบตำแหน่งรองแชมป์ได้ในรายการลีกก่อนที่ในปี 1965 และปี 1967 สโมสรจะสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ ต่อมาในปี 1968 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็จารึกชื่อสโมสรไว้ในฐานะทีมแรกจากประเทศอังกฤษ(ทีมที่สองจากสหราชอาณาจักร)ที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพมาครองได้ด้วยการเอาชนะเบนฟิก้าจากประเทศโปรตุเกสไปได้ 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในทีม 3 คนมีชื่อเป็นผู้เล่นแห่งปีของยุโรปได้แก่ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน,เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์ ก่อนที่ในปีต่อมาเซอร์ แมตต์ บัสบี้จะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมโดยผู้จัดการทีมสำรองซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นของทีมอย่างวิลฟ์ แม็คกวินเนสส์ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมแทน

หลังจากการเข้ามาคุมทีมได้เพียงแค่ฤดูกาลเดียวคือฤดูกาล 1969-1970 ด้วยการพาทีมแมนฯยูไนเต็ดจบอันดับที่ 8 รวมถึงมีผลงานเริ่มต้นฤดูกาล 1970-71 ที่ย่ำแย่ทำให้ทางสโมสรได้ทำการทาบทามเซอร์ แมตต์ บัสบี้กลับมาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้งหนึ่งและให้แม็คกวินเนสส์กลับไปเป็นผู้จัดการทีมของทีมสำรองดังเดิม อย่างไรก็ตามในเดือนมิถุนายน ปี 1971 แมนฯยูไนเต็ดก็ได้แต่งตั้ง แฟรงค์ โอฟาร์เรลล์ให้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แต่โอฟาร์เรลล์ก็คุมทีมได้ไม่นานนัก ระยะเวลาของเขากับสโมสรในฐานะผู้จัดการทีมนั้นมีเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้นก่อนที่ทางปีศาจแดงจะนำตัวทอมมี่ โดเชอร์ตี้มาคุมทีมแทนโอฟาร์เรลล์ในเดือนธันวาคม ปี 1972 ซึ่งการมาของโดเชอร์ตี้ก็ช่วยให้แมนฯยูไนเต็ดรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาลนั้นไปได้ก่อนที่ในปี 1974 ทีมแมนฯยูไนเต็ดจะตกชั้นไปตามด้วยการย้ายออกจากสโมสรของสามประสานตัวเก่งของทีมอย่างจอร์จ เบสต์,บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และเดนิส ลอว์ ถึงแม้จะขาดสามประสานตัวเก่งของทีมไปภายในแค่ระยะเวลาหนึ่งฤดูกาลแมนฯยูไนเต็ดก็สามารถกลับมาเล่นในลีกสูงสุดของประเทศได้พร้อมกับเข้าชิงถ้วยเอฟเอ คัพในปีเดียวกันแต่โชคร้ายที่พวกเขาทำได้แค่รองแชมป์หลังจากที่แพ้ให้กับเซาแธมป์ตันไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตามในปี 1977 ทีมปีศาจแดงก็แก้ตัวได้สำเร็จหลังจากที่พวกเขาเอาชนะลิเวอร์พูลทีมคู่ปรับไปได้ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้สำเร็จ โดเชอร์ตี้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมได้ไม่นานมากนักก็ต้องถูกไล่ออกไปหลังจากที่มีการแฉว่าโดเชอร์ตี้แอบไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพบำบัดคนหนึ่งของทีม ซึ่งคนที่เข้ามาแทนที่ก็คือเดฟ เซกตันที่มาเป็นผู้จัดการทีมของแมนฯยูไนเต็ดในช่วงซัมเมอร์ของปี 1977 ซึ่งถึงแม้ว่าในยุคของเซกตันนั้นทางสโมสรจะเซ็นสัญญาผู้เล่นมากมาย อาทิเช่น โจ จอร์แดน,กอร์ดอน แม็คควีน,แกรี่ ไบลี่ย์ และเรย์ วิลกิ้นส์ แต่ทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่คิดโดยแมนฯยูไนเต็ดทำได้แค่รองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1979-80 และแพ้ให้กับอาร์เซน่อลในนัดชิงเกมส์เอฟเอ คัพในปี 1979 ทำให้เซกตันโดนไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1981 ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นทีมปีศาจแดงภายใต้การคุมทีมของเดฟ เซกตันจะสามารถคว้าชัยชนะมาได้ถึง 7 นัดติดต่อกันก็ตาม ซึ่งคนที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทนเซกตันคือรอน แอตกินสันซึ่งทันทีที่แอตกินสันเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมก็ได้คว้าตัวไบรอัน ร็อบสันมาจากเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนด้วยราคาที่เป็นสถิติของเกาะอังกฤษในขณะนั้น ภายใต้การคุมทีมของแอตกินสัน เขาพาแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จในปี 1983 และ 1985 พร้อมกันนั้นในฤดูกาล 1985-1986 หลังจากการเริ่มต้นฤดูกาลอย่างสวยหรูด้วยผลงานชนะ 13 นัด และเสมออีก 2 นัดจาก 15 นัดแรกทำให้สโมสรมีความหวังที่จะกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้งก่อนที่จะจบฤดูกาลนั้นด้วยอันดับที่ 4 และในฤดูกาลถัดมาผลงานของทีมก็เป็นไปอย่างย่ำแย่มีโอกาสที่จะตกชั้นอีกครั้งก่อนที่ทางสโมสรจะตัดสินใจปลดแอตกินสันออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในเดือนพฤศจิกายน

ยุครุ่งเรือง : เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

หลังจากการปลดรอน แอตกินสันออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมนั้นเอง แมนฯยูไนเต็ดก็ได้แต่งตั้งเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมาเป็นผู้จัดการทีมโดยเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันนั้นมีผลงานการคุมทีมที่ยอดเยี่ยมมาก่อนในสมัยที่ยังเป็นผู้จัดการทีมให้กับอเบอร์ดีนสโมสรในลีกสูงสุดของประเทศสก็อตแลนด์ โดยในฤดูกาลแรกที่เข้ามานั้นเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันพาทีมขยับขึ้นมาจากพื้นที่โซนตกชั้นมาจบอันดับที่ 11 ในตอนจบฤดูกาล ก่อนที่ในฤดูกาล 1987-88 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะพาทีมจบด้วยการเป็นรองแชมป์และในฤดูกาลถัดมานั้นผลงานของทีมก็ยังไม่สู้ดีนักโดยการจบอันดับที่ 11 ของตารางพร้อมกับมีรายงานว่าทางบอร์ดบริหารของทีมมีแผนที่จะปลดเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันออกจากการเป็นผู้จัดการทีมแต่โชคดีที่ในปี 1990 เขาจะพาแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์เอฟเอ คัพมาครองด้วยการเอาชนะคริสตัล พาเลซ จากการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้นั้นทำให้ทางสโมสรตัดสินใจที่จะให้โอกาสเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในการพิสูจน์ตัวเองและดูเหมือนว่าบอร์ดบริหารของทีมจะตัดสินใจได้ถูกต้อง เพราะในฤดูกาลถัดมาแมนฯยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพเป็นสมัยแรกของสโมสรได้พร้อมกับได้สิทธิ์ในการลงเล่นในเกมส์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพที่พวกเขาจะต้องพบกับแชมป์จากถ้วยยูโรเปี้ยน คัพในปีนั้นอย่างเร้ด สตาร์ เบลเกรดก่อนที่จะเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่สามารถเอาชนะแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพไปได้ 1-0 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 1992 แมนฯยูไนเต็ดก็สามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการลีก คัพเป็นปีที่สองติดต่อกันซึ่งก็เป็นเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่พาลูกทีมคว้าแชมป์ไปครองได้โดยการเอาชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-0 ที่สนามเวมบลี่ย์ และในปีถัดมาฤดูกาล 1992-93 แมนฯยูไนเต็ดก็คว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1967 และในฤดูกาลถัดมา เซฮร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็พาทีมปีศาจแดงเป็นแชมป์ลีกกติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันพร้อมกับคว้าแชมป์เอฟเอ คัพในฤดูกาลนั้นไปครอง นับเป็นการคว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ครั้งแรกของสโมสร

และในฤดูกาล 1998-99 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็สร้างชื่อให้กับแมนฯยูไนเต็ดด้วยการคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” จากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก,แชมป์เอฟเอ คัพ และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(ชื่อใหม่ของรายการยูโรเปี้ยน คัพ)มาครองได้ในฤดูกาลเดียว โดยเกมส์ที่ถูกพูดถึงในฤดูกาลนั้นเป็นอย่างมากคือเกมส์ในรอบชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่พวกเขาพบกับบาเยิร์น มิวนิคยอดทีมจากประเทศเยอรมนี โดยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง ทีมปีศาจแดงกำลังตามหลังบาเยิร์น มิวนิคอยู่ด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่เท็ดดี้ เชอร์ริ่งแฮมและโอเล่ กุนนาร์ โซลชาสองกองหน้าของทีมทำสองประตูช่วยให้แมนฯยูไนเต็ดพลิกกลับมาเอาชนะบาเยิร์น มิวนิคไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 เกมส์ในนัดนี้ถือเป็นหนึ่งในเกมส์คัมแบ็คที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของแฟนบอลหลายๆคน ซึ่งผลจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองได้ทำให้แมนฯยูไนเต็ดได้สิทธิ์ในการลงแข่งขันรายการอินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ(รายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ที่จะนำเอาแชมป์สโมสรยุโรปกับแชมป์สโมสรอเมริกาใต้มาแข่งแบบนัดเดียวจบ)ที่จะจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทีมปีศาจแดงก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้จากการเอาชนะพัลไมรัส 1-0 จากผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้เองทำให้หลังจบฤดูกาล 1998-99 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านเซอร์จากทางสำนักพระราชวังของประเทศอังกฤษ

ภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันนั้นแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้อย่างมากมาย หลังจากการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 1998-99 แล้วในสองฤดูกาลถัดมา(ฤดูกาล 1999-2000 และฤดูกาล 2000-01) แมนฯยูไนเต็ดก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกมาครองอีกเช่นกัน แม้ว่าในฤดูกาล 2001-02 ทีมปีศาจแดงจะทำได้แค่จบอันดับที่ 3 แต่อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2002-03 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะแก้ตัวพาแมนฯยูไนเต็ดมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้อีกครั้งนับเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 4 ใน 5 สมัยของทีมนับตั้งแต่ฤดูกาล 1998-99 และในฤดูกาล 2003-04 ทีมปีศาจแดงก็สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้จากการเอาชนะมิลล์วอลล์ 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยมในเมืองคาร์ดิฟฟ์นับเป็นการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้เป็นสมัยที่ 11 ของสโมสร ต่อมาในฤดูกาล 2005-06 แมนฯยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาท์ในรายการยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษนับเป็นความล้มเหลวในเวทียุโรปในปีนั้นของทีมเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามแมนฯยูไนเต็ดจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ ลีกพร้อมกับคว้าแชมป์ลีก คัพมาครองได้สำเร็จจากการเอาชนะวีแกน แอธเลติกได้ในรอบชิงชนะเลิศ ต่อมาในฤดูกาล 2006-07 และ 2007-08 แมนฯยูไนเต็ดก็สามารถเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้ติดต่อกันอีกครั้งพร้อมกันนั้นในฤดูกาล 2007-08 ทีมปีศาจแดงยังสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองได้อีกสมัยจากการดวลจุดโทษเอาชนะเชลซีไปได้อย่างสนุกด้วยสกอร์ 6-5 ที่กรุงมอสโกประเทศรัสเซีย ซึ่งในเกมส์นั้นไรอัน กิ๊กส์ ผู้เล่นตำแหน่งปีกของทีมได้ทำสถิติลงเล่นเป็นนัดที่ 759 ในเสื้อสีแดงแมนฯยูไนเต็ดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแซงหน้าบ็อบบี้ ชาร์ลตันเจ้าของสถิติลงเล่นมากที่สุดให้กับสโมสรคนเก่า ตามมาด้วยการคว้าแชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิล์ด คัพ(สโมสรโลก)ได้ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2008 ก่อนที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกและแชมป์ลีก คัพมาครองได้ในฤดูกาล 2008-09 ซึ่งหลังจากจบฤดูกาลนั้นเองสโมสรก็ได้ทำการปล่อยตัวคริสเตียโน่ โรนัลโด้ปีกตัวเก่งชาวโปรตุเกสให้กับเรอัล มาดริดด้วยค่าตัวระดับสถิติโลกที่จำนวน 80 ล้านปอนด์ ถึงแม้ว่าทีมปีศาจแดงจะเสียผู้เล่นตัวเก่งของทีมไปแต่ในปี 2010 แมนฯยูไนเต็ดก็สามารถป้องกันแชมป์ลีก คัพได้เป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษด้วยการเอาชนะแอสตัน วิลล่าไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลี่ย์ ถึงแม้ว่าในฤดูกาลนั้นทีมจะไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกมาครองได้(ฤดูกาล 2009-10 เชลซีคว้าแชมป์ไปครอง)แต่อย่างไรก็ตามแมนฯยูไนเต็ดก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้อีกสองสมัยในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยปีศาจแดงสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งในฤดูกาลนี้เองทำให้แมนฯยูไนเต็ดแซงหน้าลิเวอร์พูลขึ้นมาเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดในเกาะอังกฤษด้วยจำนวน 19 สมัยก่อนที่จะมาทำเพิ่มได้อีกสมัยในฤดูกาล 2012-13 ทำให้แมนฯยูไนเต็ดทิ้งห่างลิเวอร์พูลมาเป็น 20 สมัย ก่อนที่หลังจบฤดูกาล 2012-13 แฟนบอลของทีมแมนฯยูไนเต็ดทั่วโลกต้องเสียใจหลังจากการประกาศรีไทร์ตัวเองออกจากกรเป็นผู้จัดการทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี 2013 นับเป็นการหันหลังให้กับการตำแหน่งผู้จัดการทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแต่อย่างไรก็ตามเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ยังคงรับตำแหน่งผู้อำนวยการและทูตของสโมสรอยู่

หลังจากการประกาศรีไทร์จากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ดของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สโมสรก็ได้ประกาศแต่งตั้งเดวิด มอยส์ผู้จัดการทีมของเอฟเวอร์ตันให้มาเป็นผู้จัดการแทนที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันโดยเซ็นสัญญาเป็นผู้จัดการทีมของแมนฯยูไนเต็ดถึง 6 ปี อย่างไรก็ตามมอยส์อยู่คุมทีมได้ไม่ถึงปีก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจากที่พาทีมปีศาจแดงทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังโดยมอยส์ไม่สามารถพาแมนฯยูไนเต็ดป้องกันแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้ (จบอันดับที่ 7 ในฤดูกาลนั้น) แถมยังไม่สามารถพาทีมเข้าไปลงเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995-96 หรือแม้แต่รายการยูฟ่า ยูโรป้า ลีกซึ่งหมายความว่าแมนฯยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรายการระดับทวีปได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 โดยคนที่มาคุมทีมแมนฯยูไนเต็ดแทนเดวิด มอยส์ก็คือไรอัน กิ๊กส์อดีตผู้เล่นระดับตำนานของทีมปีศาจแดงที่เข้ามารับช่วงคุมทีมต่อจนจบฤดูกาลนั้นก่อนที่ในวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2014 ทางสโมสรจะได้ประกาศแต่งตั้งให้หลุยส์ ฟาน กัลมาเป็นผู้จัดการทีมด้วยสัญญา 3 ปีโดยไรอัน กิ๊กส์ที่ได้รับบทผู้จัดการทีมชั่วคราวก่อนหน้าฟาน กัลป์นั้นจะได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยของฟาน กัลแทนและในอีก 9 วันต่อมาสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ได้สูญเสียมัลคอม เกลเซอร์ประธานสโมสรที่เสียชีวิตไปจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น

ผลงานในฤดูกาลแรกของฟาน กัลนั้นถือว่าประสบความสำเร็จจากการพาแมนฯยูไนเต็ดกลับไปลงเล่นในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อีกครั้งโดยการพาทีมปีศาจแดงจบอันดับที่ 4 ในพรีเมียร์ ลีกอย่างไรก็ตามฟาน กัลกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังแม้ว่าจะซื้อตัวผู้เล่นเข้ามาด้วยค่าตัวที่สูงมากก็ตามแต่ก็ทำได้แค่เพียงพาทีมกลับไปลงเล่นได้ถึงแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้นหลังจากที่จบอันดับ 3 ของกลุ่มคว้าตั๋วไปลงเล่นในรายการยูฟ่า ยูโรป้า ลีกแทนเช่นเดียวกับผลงานในพรีเมียร์ ลีกที่ทีมหมดโอกาสลุ้นแชมป์เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันหลังจากที่แมนฯยูไนเต็ดจบอันดับ 5 (ฤดูกาล 2015-16 เลสเตอร์ ซิตี้ได้แชมป์) อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2015-16 แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ดก็ยังพอได้ฉลองแชมป์กับเขาบ้างหลังจากที่ฟาน กัลป์พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้เป็นสมัยที่ 12 ของสโมสรนับเป็นแชมป์แรกของทีมหลังจากการรีไทร์ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแต่ถึงแม้ว่าฟาน กัลจะสามารถพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้แต่ด้วยผลงานที่น่าผิดหวังทำให้อีก 2 วันต่อมาจากที่แมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ทางสโมสรก็ได้ประกาศไล่หลุยส์ ฟาน กัลออกจากการเป็นผู้จัดการทีมก่อนที่จะประกาศแต่งตั้งโชเซ่ มูรินโญ่มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสรด้วยสัญญา 3 ปีในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2016 ซึ่งในฤดูกาลแรกในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดของมูรินโญ่นั้น แมนฯยูไนเต็ดทำได้เพียงแค่จบอันดับที่ 6 ในพรีเมียร์ ลีกแต่ก็สามารถคว้าแชมป์ถ้วยอีเอฟแอล คัพ(ชื่อใหม่ของรายการลีก คัพ)มาครองพร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกมาครองได้เป็นสมัยแรกของสโมสรตามมาด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์มาครองได้เป็นสมัยที่ 21 ของสโมสรซึ่งจากการคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกมาครองได้สำเร็จทำให้แมนฯยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้แม้ว่าจะไม่ได้จบฤดูกาลก่อนหน้าในอันดับท็อปโฟร์อย่างไรก็ตามแมนฯยูไนเต็ดก็จบเส้นทางในรายการยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนั้นแค่เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ปี 2018 โชเซ่ มูรินโญ่จะถูกไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ดพร้อมกันนั้นสโมสรก็ได้แต่งตั้งให้โอเล่ กุนนาร์ โซลชาอดีตผู้เล่นกองหน้ายุคทริปเปิ้ลแชมป์ของทีมปีศาจแดงมาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมจนกว่าจะจบฤดูกาลนี้ (2018-19)

สนามเหย้า

สนามนอร์ธ โร้ด

ปี 1878-1893 : สนามนอร์ธ โร้ด
สนามเหย้าสนามแรกของทีมแมนฯยูไนเต็ดที่ถูกใช้ตั้งแต่สมัยที่ทีมปีศาจแดงยังใช้ชื่อทีมว่านิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ ฟุตบอลคลับ เป็นสนามที่อยู่ติดกับทางรถไฟในเมือง โดยสนามนอร์ธ โร้ดแห่งนี้สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 12,000 คนแต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของทางสโมสรก็ได้ประเมินว่าสนามนอร์ธ โร้ดแห่งนี้มีสิ่งแนวยความสะดวกที่ไม่เพียงพอสำหรับสโมสรหากสโมสรต้องการที่จะเข้าร่วมฟุตบอล ลีกทำให้เกิดการขยายสนามขึ้นในปี 1887 และปี 1891 โดยทางสโมสรได้ใช้งบประมาณสำรองในการเพิ่มอัฒจรรย์โดยทำการซื้ออัฒจรรย์เพิ่มมา 2 อันโดยแต่ละอันสามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 1,000 คน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าในสมัยนั้นจะยังไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เข้าชมการแข่งขันในแต่ละเกมส์มากเหมือนสมัยนี้แต่ก็มีข้อมูลที่แสดงถึงจำนวนผู้ชมที่มากที่สุดที่เข้ามาดูทีมนิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ ฟุตบอลคลับโดยเกิดขึ้นในเกมส์ดิวิชั่น 1 ที่ทีมลงแข่งขันกับทีมซันเดอร์แลนด์เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปี 1893 โดยในนนัดนั้นมีผู้ชมประมาณ 15,000 คน นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเกมส์ที่มีการบอกว่ามีผู้ชมพอๆกับเกมส์ที่เจอกับซันเดอร์แลนด์นั่นคือเกมส์อุ่นเครื่องที่ทีมลงเล่นพบกับทีมกอร์ตัน วิลล่าเมื่อวันที่ 5 กันยายน ปี 1889

ปี 1893-1910 : สนามแบงค์ สตรีท
ในเดือนมิถุนายน ปี 1893 สโมสรแมนฯยูไนเต็ดที่ขณะนั้นใช้ชื่อว่านิวตัน ฮีธ ฟุตบอลคลับก็ได้ย้ายสนามเหย้ามาอยู่ที่แถวย่านเคลย์ตันหลังจากที่สนามนอร์ธ โร้ดนั้นถูกทางเจ้าของที่ซึ่งก็คือบริษัทการรถไฟไม่อนุญาตให้ใช้สนามได้อีกต่อไป ซึ่งในตอนแรกสนามแบงค์ สตรีทนั้นยังไม่มีอัฒจรรย์อยู่เลยก่อนที่ในฤดูกาล 1893-94 จะมีการเริ่มสร้างอัฒจรรย์ขึ้นมา เกมส์ลีกนัดแรกในถิ่นแบงค์ สตรีทเป็นการพบกับเบิร์นลี่ย์เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1893 ซึ่งขณะนั้นสนามแบงค์ สตรีทนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนักกว่าจะสนามจะเสร็จสมบูรณ์ดีก็ต้องรอไปถึง 3 สัปดาห์ก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์ในนัดที่นิวตัน ฮีธ ฟุตบอลคลับเปิดบ้านรับการมาเยือนของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งหลังจากนั้นทางสโมสรก็ได้พยายามขยายความจุของสนามให้มากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ประธานสโมสรคนใหม่อย่างจอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรเขาก็ได้ให้งบประมาณกว่า 500 ปอนด์เพื่อเพิ่มความจุของสนามแบงค์ สตรีทและภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี สนามแบงค์ สตรีทก็มีอัฒจรรย์ครบทั้ง 4 ด้านของสนามพร้อมกับสามารถที่จะจุผู้ชมได้มากถึง 50,000 คน

ปี 1910-ปัจจุบัน : สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
หลังจากการคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรในปี 1908 พร้อมกับการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ในปีถัดมาทำให้ประธานสโมสรในขณะนั้นอย่างจอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์นั้นตัดสินใจที่จะย้ายสนามเหย้าของทีมอีกครั้งเนื่องจากเดวี่ส์นั้นมีความรู้สึกว่าสนามแบงค์ สตรีทนั้นเล็กเกินไปไม่สามารถรองรับแฟนบอลที่น่าจะเพิ่มมากขึ้นของสโมสรได้รวมถึงไม่สามารถที่จะขยายความจุของสนามได้อีกต่อไป ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1909 หลังจากที่แมนฯยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพเป็นสมัยแรกของสโมสรได้ ชื่อของโอลด์แทรฟฟอร์ดก็กลายมาเป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ของแมนฯยูไนเต็ด ด้วยจำนวนเงินกว่า 60,000 ปอนด์ในการซื้อที่ดินเพื่อนำมาสร้างสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด พร้อมกับงบประมาณอีกราว 30,000 ปอนด์เป็นค่าก่อสร้างสนามทำให้สนามเหย้าแห่งใหม่ของทีมปีศาจแดงนั้นสามารถจุผู้ชมได้มากถึง 77,000 คน(แผนแรกของสโมสรนั้นต้องการที่จะทำให้สนามรองรับผู้ชมให้ได้ 100,000 คนแต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้ต้องมีการปรับปรุงในเรื่องของแผนความจุผู้ชมใหม่) จำนวนผู้ชมในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดที่มากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ปี 1939 ในเกมส์รองรองชนะเลิศเอฟเอ คัพที่วูล์ฟแฮมตัน วันเดอร์เรอร์ส พบกับ กริมสบี้ ทาวน์โดยมียอดผู้ชมในสนามอยู่ที่ 76,962 คน

อย่างไรก็ตามในสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1939-1945 สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดก็ได้รับความเสียหายจากการโดนระเบิดซึ่งหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงทางสโมสรก็ได้รับเงินชดเชยความเสียหายว่าประมาณ 22,278 ปอนด์ ซึ่งในช่วงที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดกำลังทำการซ่อมแซมสนามใหม่นั้นก็ได้ไปใช้สนามเหย้าร่วมกับแมนฯซิตี้ นั่นก็คือสนามเมนโร้ด โดยทางแมนฯยูไนเต็ดต้องจ่ายค่าเช่าสนามเป็นจำนวนเงิน 5,000 ปอนด์ต่อปีบวกกับการแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการขายตั๋วเข้าชมเกมส์ให้กับแมนฯซิตี้ หลังจากที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดกลับมาใช้งานได้อีกครั้งทางสโมสรก็ได้ยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนสนามเหย้าอีกเลยถึงกระนั้นก็ยังมีการปรับปรุงและพัฒนาสนามอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดนี้ถือเป็นสนามที่มีความขลังจนถึงขนาดที่ถูกขนานนามในชื่อว่า “โรงละครแห่งความฝัน”(The Treatre of Dreams) โดยสนามโอล์ดแทรฟฟอร์ดถือเป็นสนามที่มีความจุมากที่สุดในบรรดาสนามเหย้าของสโมสรทั้งหมดบนเกาะอังกฤษ(เป็นรองแค่สนามเวมบลี่ย์) โดยปัจจุบันมีความจุอยู่ที่ 74,994 ที่นั่ง(ข้อมูลปี 2017)

ทีมคู่ปรับ
คู่ปรับที่สำคัญของแมนฯยูนั้น ได้แก่ อาร์เซน่อล,ลีดส์ ยูไนเต็ด,ลิเวอร์พูล และแมนฯซิตี้

ลิเวอร์พูลนั้นเป็นคู่ปรับทีมสำคัญของแมนฯยูไนเต็ดซึ่งมาจากความขัดแย้งระหว่างเมืองลิเวอร์พูลและเมืองแมนเชสเตอร์ในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อเมืองแมนเชสเตอร์นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องของอุตสาหกรรมสิ่งทอในขณะที่เมืองลิเวอร์พูลนั้นก็มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ความเป็นคู่ปรับของทั้งสองทีมยังมาจากการประวัติศาสตร์อันยาวนานของสโมสรประกอบกับการที่ทั้งลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ดนั้นเป็นสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเกาะอังกฤษไม่ว่าจะทั้งการแข่งขันในประเทศรวมถึงในเวทียุโรป ทั้งสองทีมได้แชมป์สูงสุดของลีกอังกฤษรวมกัน 38 สมัย,แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมสมัยยูโรเปี้ยน คัพ) 8 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก(รวมสมัยยูฟ่า คัพ) 4 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 4 สมัย,แชมป์เอฟเอ คัพ 19 สมัย,แชมป์ลีก คัพ(อีเอฟแอล คัพในปัจจุบัน) 13 สมัย,แชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย,แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1 สมัย และ แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์รวมกันอีก 36 สมัย ซึ่งการพบกันในแต่ละครั้งของทั้งแมนฯยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลจะเรียกว่า “นัดแดงเดือด” ซึ่งจะได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก

ลีดส์ ยูไนเต็ดเป็นคู่ปรับของแมนฯยูไนเต็ดจากปัญหาในเรื่องของสงครามกุหลาบ(Wars of the Roses) ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองในประเทศอังกฤษ

อาร์เซน่อลเป็นคู่ปรับของแมนฯยูในเรื่องของผลงานของทั้งสองทีมเนื่องจากทั้งสองทีมก็เป็นสโมสรที่แย่งแชมป์ในประเทศกันมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงในยุคที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเป็นผู้จัดการทีมของแมนฯยูไนเต็ดส่วนอาร์เซน่อลก็มีอาร์เซน เวนเกอร์เป็นผู้จัดการทีมนั้นการเป็นคู่ปรับของทั้งสองทีมของทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองทีมได้แชมป์ลีกสูงสุดรวมกันกว่า 33 สมัย(เป็นรองเพียงแมนฯยูกับลิเวอร์พูลรวมกันที่ 38 สมัย) โดยแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์ไป 20 สมัยในขณะที่อาร์เซน่อลได้ไป 13 สมัย

แมนฯซิตี้เป็นคู่ปรับร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ของแมนฯยูไนเต็ด โดยการพบกันครั้งแรกของทั้งสองสโมสรเกิดขึ้นในปี 1881 โดยแมนฯยูไนเต็ดใช้สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นสนามเหย้าในขณะที่แมนฯซิตี้ใช้สนามซิตี้ออฟแมนเชสเตอร์สเตเดดี้ยมเป็นสนามเหย้า ทั้งสองสนามนี้มีพื้นที่ห่างกันประมาณ 6.4 กิโลเมตร ทั้งสองทีมพบกันทั้งหมด 177 ครั้งในทุกรายการ (ข้อมูลถึงวันที่ 22 ธันวาคม ปี 2018) แมนฯยูไนเต็ดเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะมากกว่าคู่ปรับร่วมเมืองโดยสามารถเอาชนะแมนฯซิตี้ไปได้ 73 ครั้งในขณะที่แมนฯซิตี้สามารถเอาชนะแมนฯยูไนเต็ดได้ 52 ครั้งและอีก 52 ครั้งที่เหลือจบด้วยผลเสมอ

สปอนเซอร์หลักและเจ้าของสโมสร

ในฤดูกาล 1982-83 แมนฯยูไนเต็ดได้จับมือเซ็นสัญญาให้บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังอย่างชาร์ปให้มาเป็นสปอนเซอร์แรกบนเสื้อแข่งของทีมปีศาจแดงซึ่งสัญญานี้ทำให้ทั้งแมนฯยูไนเต็ดและชาร์ปจะเป็นพาร์ทเนอร์กันเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีโดยเป็นสัญญามูลค่ากว่า 500,000 ปอนด์ซึ่งสูงมากในขณะนั้น ซึ่งหลังจากหมดสัญญาระยะ 5 ปีไปแล้วนั้นทั้งแมนฯยูไนเต็ดและชาร์ปต่างก็ต่อสัญญากันไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงฤดูกาล 1999-2000 โวดาโฟน บริษัทโทรคมนาคมชื่อดังเข้ามาเป็นสปอนเซอร์
หลักบนเสื้อแข่งของแมนฯยูไนเต็ดด้วยสัญญา 4 ปีมูลค่าสัญญาฉบับนี้กว่า 30 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าสัญญาฉบับแรกของทีมปีศาจแดงที่ทำกับชาร์ปถึง 60 เท่าโดยหลังหมดสัญญา 4 ปีระหว่างโวดาโฟนกับแมนฯยูไนเต็ดนั้นทางบริษัทโทรคมนาคมแห่งนี้ก็ได้ต่อสัญญาเป็นสปอนเซอร์หลักบนเสื้อแข่งของสโมสรต่อไปแต่โวดาโฟนได้เพิ่มมูลค่าสัญญาฉบับใหม่เป็น 36 ล้านปอนด์ ต่อมาในฤดูกาล 2006-07 เอไอจี บริษัทประกันภัยชื่อดังสัญชาติอเมริกาได้เข้ามาทำสัญญาเป็นสปอนเซอร์หลักบนเสื้อแข่งของสโมสรด้วยมูลค่าสัญญา 56.5 ล้านปอนด์เป็นระยะเวลา 4 ปีซึ่งทำให้สัญญาระหว่างเอไอจีและแมนฯยูไนเต็ดเป็นสัญญาสปอนเซอร์ที่แพงที่สุดในโลก และในฤดูกาล 2010-11 เอออน บริษัทประกันภัยอีกหนึ่งบริษัทที่มาจากสหรัฐอเมริกาได้มาทำลายสัญญาสปอนเซอร์บนอกเสื้อแข่งระหว่างแมนฯยูไนเต็ดกับเอไอจีลงหลังจากที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ใหม่ของทีมปีศาจแดงด้วยมูลค่าสัญญากว่า 80 ล้านปอนด์ ก่อนที่ในปี 2014 จะเปลี่ยนมาใช้สปอนเซอร์บนอกเสื้อแข่งเป็นเชฟโรเล็ตและยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับเจ้าของสโมสรปัจจุบันของแมนฯยูไนเต็ดเป็นของตระกูลเกลเซอร์ซึ่งเป็นตระกูลของนักธุรกิจชาวอเมริกาที่เข้ามามีบทบาทในการบริหารทีมแมนฯยูไนเต็ดตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งทางเจ้าของสโมสรอย่างตระกูลเกลเซอร์นั้นมีความต้องการที่จะนำแมนฯยูไนเต็ดเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อที่จะทำให้มูลค่าของสโมสรเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมและนั่นก็หมายถึงผลประโยชน์ของตระกูลเกลเซอร์ที่จะมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามการนำแมนฯยูไนเต็ดเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้นดูจะน่าผิดหวังหลังจากที่นักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีทออกมาแสดงความเห็นว่ายังไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ถึงอย่างนั้นก็ตามแมนยูไนเต็ดก็ยังคงเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสโมสรมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่าสโมสรกว่า 3พันหกร้อยแปดสิบเก้าล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลในปี 2017) ซึ่งความมีชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วโลกของแมนฯยูไนเต็ดนั้นเกิดขึ้นจากการปฏิวัติทีมขึ้นมาใหม่ของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ที่ทำให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์มาครองได้อย่างมากมายทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปยุโรป รวมไปถึงการที่แมนฯยูไนเต็ดเข้าไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ของลอนดอนในปี 1991 ซึ่งทำให้สโมสรสามารถระดมทุนได้มากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาสโมสรในเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้นนอกจากนี้การเข้ามาคุมทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ทำให้แฟนบอลรู้จักสโมสรแห่งนี้มากยิ่งขึ้นจากผลงานการทำทีมที่สามารถพาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ไปได้แทบจะทุกปีทำให้แฟนบอลติดภาพของแมนฯยูไนเต็ดว่าเป็นสโมสรที่เก่ง มีความสามารถสูง สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างมากมายรวมไปถึงผู้เล่นในทีมที่ต่างก็เป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม,ไรอัน กิ๊กส์,พอล สโคลส์ เป็นต้น โดยเฉพาะในรายของเดวิด เบ็คแฮมนั้นที่ถือว่าเป็นผู้เล่นที่ทำให้สโมสรแมนฯยูไนเต็ดเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกผ่านทางการออกรายการโทรทัศน์ การเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ นอกจากนี้ทางสโมสรยังมีช่องโทรทัศน์เป็นของตัวเองในชื่อช่อง เอ็มยูทีวี(MUTV) ซึ่งจัดทำขึ้นมาเพื่อที่จะขยายฐานแฟนคลับของสโมสรให้มากยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของสโมสร (ข้อมูลถึงเดือนธันวาคม ปี 2018)
แมนฯยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุโรปจากการคว้าแชมป์จำนวนมากทั้งจากรายการในประเทศรวมไปถึงรายการแข่งขันในเวทียุโรป โดยถ้วยแชมป์แรกของทีมเกิดขึ้นในปี 1886 ในรายการแมนเชสเตอร์ คัพซึ่งขณะนั้นแมนฯยูไนเต็ดยังใช้ชื่อทีมว่านิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ ฟุตบอลคลับอยู่ ต่อมาในปี 1908 ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เป็นสมัยแรกของสโมสรก่อนที่ในปีต่อมาปี 1909 ทีมปีศาจแดงจะสามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้เป็นสมัยแรกของสโมสร ต่อจากนั้นแมนฯยูไนเต็ดก็คว้าแชมป์มาอย่างมากมายโดยเฉพาะในยุคที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเข้าคุมทีมในสมัยทศวรรษ 1990 นั้นแมนฯยูไนเต็ดจะสามารถคว้าแชมป์มาได้หลายสมัย ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ ลีก 5 สมัย,แชมป์เอฟเอ คัพ 4 สมัย,แชมป์ลีก คัพ(ปัจจุบันเป็นอีเอฟแอล คัพ) 1 สมัย,แชมป์ชาร์ริตี้ ชิลด์(ปัจจุบันเป็นเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์) 5 สมัย,แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย,แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย,แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ อีก 1 สมัย นอกจากนี้แมนฯยูไนเต็ดยังเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดบนเกาะอังกฤษด้วยจำนวน 20 สมัย นับเฉพาะตอนที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อพรีเมียร์ ลีกนั้นก็สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้ถึง 13 สมัย,แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 21 สมัย และยังเป็นสโมสรแรกจากเกาะอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพมาครองได้ในปี 1968 พร้อมกันนั้นในปี 2008 ยังเป็นสโมสรแห่งแรกในเกาะอังกฤษที่ได้แชมป์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ(ชิงแชมป์สโมสรโลก)และยังเป็นสโมสรอังกฤษสโมสรเดียวที่คว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลมาครองได้โดยคว้าแชมป์ในปี 1999 แชมป์รายการล่าสุดของทีมปีศาจแดงคือแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2016-17

ซึ่งจากการที่แมนฯยูไนเต็ดสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกมาครองได้ในฤดูกาล 2016-17 ก็ทำให้สโมสรกลายเป็นทีมที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรยุโรปที่สามารถเป็นแชมป์รายการใหญ่ของสโมสรยุโรปมาครองได้ครบทั้ง 3 รายการ ได้แก่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก(รวมสมัยที่ใช้ชื่อยูโรเปี้ยน คัพ),ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ(รวมสมัยที่ใช้ชื่อยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ) และยูฟ่า ยูโรป้า ลีก(รวมสมัยที่ใช้ชื่อยูฟ่า คัพ) โดยอีกสี่ทีมที่เหลือนั้นได้แก่ ยูเวนตุสจากอิตาลี,อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัมจากเนเธอร์แลนด์,บาเยิร์น มิวนิคจากเยอรมนี และเชลซีจากอังกฤษ

แชมป์ภายในประเทศ

แชมป์ลีก
-ดิวิชั่น 1 หรือ พรีเมียร์ ลีก (20 สมัย)
1907-08,1910-11,1951-52,1955-56,1956-57,1964-65,1966-67,1992-93,1993-94,1995-96,1996-97,1998-99,1999-2000,2000-01,2002-03,2006-07,2007-08,2008-09,2010-11,2012-13
-ดิวิชั่น 2 (2 สมัย)
1935-36,1974-75
แชมป์รายการถ้วย
-เอฟเอ คัพ (12 สมัย)
1908-09,1947-48,1962-63,1976-77,1982-83,1984-85,1989-90,1993-94,1995-96,1998-99,2003-04,2015-16
-ลีก คัพ หรือ อีเอฟแอล คัพ (5 สมัย)
1991-92,2005-06,2008-09,2009-10,2016-17
-เอฟเอ ชาร์ริตี้ ชิลด์ หรือ เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ (21 สมัย)
1908,1911,1952,1956,1957,1965,1967,1977,1983,1990,1993,1994,1996,1997,2003,2007,2008,2010,2011,2013,2016

แชมป์ระดับยุโรป
ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ ลีก (3 สมัย)
1967-68,1998-99,2007-08
ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ (1 สมัย)
1990-91
ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (1 สมัย)
2016-17
ยูโรเปี้ยนส์ ซูเปอร์ คัพ (1 สมัย)
1991

แชมป์ระดับโลก
อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ (1 สมัย)
1999
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ (1 สมัย)
2008