ซานเชส เริ่มฉายแสงให้เห็นแล้ว

อเล็กซิส ซานเชส

บิ๊กดีลเมื่อตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมา เชื่อว่าไม่มีข่าวไหนใหญ่พอ ๆ กับข่าวการที่ อเล็กซิส ซานเชส ตัดสินใจย้ายออกจากทัพ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล มาอยู่กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งแฟนบอลและสื่อหลาย ๆ สำนักเชื่อว่าการที่เขาตัดสินใจมาอยู่ฝั่งสีแดงแทนที่จะเป็นฝั่งสีฟ้าที่ตามจีบมาอย่างเนิ่นนานเช่นกัน นั่นเพราะเรื่องของเงินแต่จะอย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอีกต่อไปเพราะเมื่อเขาย้ายมายังถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ด ดาวเตะทีมชาติชาวชิลียังควานหาฟอร์มเก่งสมัยอยู่กับ อาร์เซน่อล ไม่เจอ

ทำเอาแฟนบอล ปีศาจแดง หลายคนเซ็งไปตาม ๆ กันกับการทุ่มเงินเพื่อแลกกับนักเตะที่เหลือสัญญาอีกแค่ 6 เดือนของการตัดสินใจอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ แต่ฟอร์มที่เจ้าตัวแสดงออกมามันกลับไม่เปรี้ยงปร้างฉูดฉาดสักเท่าใดนักแถมทีมยังไม่ประสบความสำเร็จใดๆเลยในซีซั่นที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องโดนวิจารณ์ บ้างก็ว่าเขายังปรับตัวไม่ค่อยได้กับสไตล์ของ มูรินโญ่ ที่เน้นรับแล้วสวนกลับมากกว่าการเล่นบอลเท้าต่อเท้าเหมือนสมัย อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมจะอย่างไรก็ตามนั่นคือเรื่องที่เจ้าตัวและนายใหญ่ของ ผีแดง ต้องปรับเข้าหากันให้ได้ ดังนั้นเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าการฝึกซ้อมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่สิ่งที่เห็นได้ในเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นในสหรัฐฯ คือ เหมือน อเล็กซิส ซานเชส คนเดิมจะเริ่มกลับมาฉายแววให้พวกเราได้เห็นกันแล้วอย่างเกมล่าสุดที่สามารถเอาชนะ เรอัล มาดริด ไปได้ด้วย ผลบอล สกอร์รวม 2-1 ซึ่งเจ้าตัวยิงไป 1 ลูกกับอีก 1 แอสซิตส์ ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว อีกทั้งฟอร์มการเล่นในช่วงอุ่นเครื่องแม้ทีมจะทำผลงานได้ไม่ค่อยดี แต่ตัวเขาก็สอบผ่านในหลาย ๆ เกมอาจเป็นไปได้ว่า ซานเชส ได้อิสระในการเล่นมากขึ้นไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องของการพาบอลกระชากขึ้นหน้าอย่างเดียวบวกกับเพื่อนร่วมทีมเริ่มเข้าใจเซนส์ที่เขาต้องการสื่อตั้งแต่ตอนมาใหม่ๆได้มากขึ้นแล้วเลยทำให้ฟอร์มของเขาโดดเด้งกลับมาพาลให้นึกถึงสมัยพลิ้วในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

นี่คือสิ่งที่แฟนบอล ปีศาจแดง ทุกคนต่างก็คิดในทำนองเดียวกันว่าอยากให้เขากลับคืนสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดโดยเร็วเพื่อทีมของพวกเขาจะได้พุ่งกระฉูดขึ้นมาคว้าแชมป์ได้ดังใจหวังเสียทีหลังรอมาหลายปีนับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ลาออกจากตำแหน่งดังนั้นต้องรอคอยกันว่าปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวของดาวเตะชิลี เขาจะพาฝั่งสีแดงไปได้ไกลแค่ไหน น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเชียว