มิสเตอร์เชลซี จอห์น เทอร์รี่ [John George Terry]

มิสเตอร์เชลซี จอห์น เทอร์รี่ [John George Terry]

จอห์น จอร์จ เทอร์รี่ (John George Terry) หรือที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันดีในนาม จอห์น เทอร์รี่ เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1980 ปัจจุบันอายุ 38 ปี เขาเป็นผู้ฝึกสอนและอดีตนักฟุตบอลที่ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ เชลซี, ทีมชาติอังกฤษ และ แอสตัน วิลล่า ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับสโมสรหลังสุด เขาถูกยกย่องว่าเป็นปราการหลังที่แข็งแกร่ง, กัดไม่ปล่อย, สามารถบัญชาเกมรับ และพร้อมจะเข้าปะทะกับคู่แข่งทุกเมื่อ เขายังมีความโดดเด่นในลูกกลางอากาศ, การเข้าสกัดที่ดุดัน, การยืนตำแหน่ง, ความเป็นผู้นำ และความสามารถในการอ่านเกม ทั้งยังถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองหลังตัวกลางที่ดีที่สุดในยุคของเขา เทอร์รี่ สามารถกวาดรางวัลกองหลังยอดเยี่ยมจาก ยูฟ่า ได้ในปี 2005, 2008 และ 2009 และรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากสมาคมนักเตะปี 2005 รวมถึงติดอยู่ในทีม FIFPro World XI 5 ฤดูกาลซ้อนนับตั้งแต่ปี 2005 – 2009 เขายังเป็นผู้เล่นอังกฤษเพียงคนเดียวที่มีรายชื่ออยู่ในทีมออลสตาร์ ฟุตบอลโลก 2006

ดาวเตะเจ้าของนิคเนม “เจที” ยังเป็นกัปตันทีมเชลซีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จากการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง, ลีก คัพ 3 ครั้ง รวมถึง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกอย่างละสมัยโดยนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา เขาคือ 1 ใน 5 ของผู้เล่น เชลซี ที่ลงสนามในเกมลีกเกิน 500 นัดและยังเป็นเจ้าของสถิติกองหลังผู้ทำประตูให้ทีมได้มากที่สุดอีกด้วย ในปี 2007 เขาเป็นกัปตันทีมคนแรกที่ได้ชูถ้วย เอฟเอ คัพ ในสนาม เวมบลีย์ ที่ผ่านการปรับปรุงใหม่หลังเฉือนเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ 1-1 และยังกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตูในเกมทีมชาติได้จากลูกโหม่งตีเสมอ บราซิล 1-1 จากแมตช์กระชับมิตรที่สนามแห่งนี้ในอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ต่อมา จากผลงานในฤดูกาลสุดท้ายกับ เชลซี เมื่อปี 2017 ก็ทำให้เขากลายเป็นกัปตันทีมคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 5 สมัย และภายหลังการอำลาจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เจ้าตัวก็ได้ย้ายไปค้าแข้งอยู่กับ แอสตัน วิลล่า ใน อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ 1 ฤดูกาลก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ด
เส้นทางในระดับสโมสร

เชลซี

จุดเริ่มต้น

เทอร์รี่ ลืมตาดูโลกในย่านบาร์คกิ้ง ทางแถบตะวันออกของกรุงลอนดอน จนมาเข้ารับการศึกษาใน Eastbury Community School และเริ่มลงเตะฟุตบอลใน ซันเดย์ ลีก กับ เซนราบ เอฟซี ทีมระดับสมัครเล่นที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของบรรดาผู้เล่นชื่อดังอย่าง โซล แคมป์เบล, เจอร์เมน เดโฟ, บ็อบบี้ ซาโมร่า, เล็ดลี่ย์ คิง และ เจลอยด์ ซามูเอล เขาเริ่มต้นฝึกฝนอย่างจริงจังในระดับเยาวชนกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยการเข้ามาร่วมทีมในตำแหน่งมิดฟิลด์เมื่อปี 1991 และย้ายมาอยู่กับ เชลซี ในวัย 14 ปี ก่อนจะค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาจนอยู่ในทีมสำรอง จากการขาดแคลนผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค จึงทำให้เขาถูกย้ายมาเล่นในตำแหน่งที่สร้างชื่อให้กับตนเอง โดยหลังจากเรียนจบจากโรงเรียนเขาได้เซ็นสัญญาฝึกหัดกับสโมสรในวัย 16 ปี ก่อนจะได้รับสัญญาระดับอาชีพเป็นครั้งแรกในปีถัดมา เทอร์รี่ ประเดิมสนามให้ เชลซี เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1998 จากการเป็นตัวสำรองในเกม ลีก คัพ ที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ก่อนจะออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกม เอฟเอ คัพ รอบสามที่ทีมเอาชนะ โอลด์แฮม แอธเลติก 2-0 ภายในฤดูกาลนั้น

ในระหว่างปี 2000 เขาถูกส่งตัวให้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยืมตัวไปใช้งานชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนได้รับความสนใจจากทั้ง เดวิด แพล็ตต์ กุนซือของฟอเรสต์ และ สตีฟ บรู๊ซ ผจก.ทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ในปี 2002 เขามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ที่มีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของไนต์คลับในแถบทิศตะวันตกของ กรุงลอนดอน ร่วมกับ โจดี้ มอร์ริส เพื่อนร่วมทีม และ เดส ไบรน์ ผู้เล่นของวิมเบิลดัน จนถูกตั้งข้อหาทะเลาะวิวาทก่อนจะหลุดพ้นจากคดีในเดือนสิงหาคมปีนั้น โดยระหว่างที่ยังเป็นคดีความเขาถูก เอฟเอ สั่งแบนจากทีมชาติชุด U-21 ยังมีวีรกรรมสุดแสบของ เทอร์รี่ ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกันยายน 2001 เมื่อเขาถูกสโมสรสั่งปรับค่าแรงเป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังออกไปดื่มกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด, โจดี้ มอร์ริส, ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น และ แฟรงค์ ซินแคลร์ จนเมามายและไปก่อความวุ่นวายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่กำลังโศกเศร้ากับเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน หรือ 9/11 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น

ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่

เทอร์รี่ เริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงในทีม เชลซี ได้อย่างต่อเนื่อง

เทอร์รี่ เริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงในทีม เชลซี ได้อย่างต่อเนื่องภายในฤดูกาล 2000-01 โดยมีโอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริง 23 นัดและได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นแห่งปีของสโมสร เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นอีกในซีซั่นถัดมาเมื่อสามารถยึดตำแหน่งปราการหลังตัวกลางเคียงข้าง มาร์กแซล เดอไซญี่ กองหลังกัปตันทีมและสตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสได้อย่างสม่ำเสมอ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2001 เขามีโอกาสสวมปลอกแขนให้กับ สิงห์บลูส์ เป็นครั้งแรกจากเกมลีกที่พ่ายคาบ้านให้กับ ชาร์ลตัน แอธเลติก 1-0 ในฤดูกาลนั้น เชลซี ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ จากการผ่านคู่ต่อสู้ร่วมเมืองลอนดอนทั้ง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในรอบที่ 4และ 6 ก่อนที่เขาจะมาทำประตูโทนในรอบรองชนะเลิศที่พบกับ ฟูแล่ม จากการติดเชื้อไวรัสทำให้ เทอร์รี่ พลาดโอกาสออกสตาร์ทในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม แต่เขาก็มีโอกาสลงสนามในช่วงครึ่งหลังก่อนที่ทีมจะพ่ายแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล 2-0 ในฤดูกาล 2003-04 จากฟอร์มการเล่นที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ เคลาดิโอ รานิเอรี่ มอบหมายให้เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมในยามที่ เดอไซญี่ ไม่ได้อยู่ในสนาม ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ในการจับคู่กับ วิลเลี่ยม กัลลาส กองหลังชาวฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี

บทบาทกัปตันทีมและความสำเร็จ

ผจก.ทีมคนใหม่ก็ไม่ลังเลที่จะแต่งตั้ง เทอร์รี่ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่

หลังจาก เดอไซญี่ อำลาทีมไปในช่วงหน้าร้อนปี 2004 โชเซ่ มูรินโญ่ ผจก.ทีมคนใหม่ก็ไม่ลังเลที่จะแต่งตั้ง เทอร์รี่ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่ ซึ่งมันก็เป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง จากการที่ เชลซี สามารถสร้างสถิติในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2004-05 ด้วยผลงานเกมรับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกของประเทศรวมถึงการรักษาคลีนชีตและเก็บแต้มได้มากที่สุดอีกด้วยจากผลงานในเกมรับอันยอดเยี่ยมบวกกับ 8 ประตูที่ทำได้ตลอดทั้งฤดูกาล เทอร์รี่ ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีจากบรรดาผู้เล่นในลีก และยังถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นกองหลังยอดเยี่ยมของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นนั้น นอกจากนี้ในเดือนกันยายน 2005 เขายังมีรายชื่อติดอยู่ในทีม FIFPro World XI ที่ได้รับการโหวตจากบรรดาผู้เล่นในลีกฟุตบอลกว่า 40 ประเทศทั่วโลก เขายังโชว์ฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่องเมื่อมีส่วนสำคัญที่ทำให้ เชลซี สามารถป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ในฤดูกาล 2005-06 จากการโกยไปถึง 91 คะแนน และการันตีการเป็นแชมป์ด้วยการเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่ถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 ในขณะที่ยังเหลืออีก 2 แมตช์ในมือ ระหว่างเกมลีกที่พบกับ เรดดิ้ง ในวันที่ 14 ตุลาคม 2006 เขาต้องกลายเป็นผู้รักษาประตูจำเป็นในช่วงท้ายเกม หลัง ปีเตอร์ เช็ก และ คาร์โล คูดิชินี่ 2 นายทวารของทีมเกิดได้รับบาดเจ็บระหว่างเกมทั้งคู่ และเขาก็สามารถรักษาคลีนชีตเอาไว้ได้เมื่อเกมจบลงด้วยผลลัพธ์ 1-0 โดยที่ยังไม่มีโอกาสเซฟเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เทอร์รี่ มาถูกไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกในเกมที่บุกไปเยือน สเปอร์ส โดยหลังจากได้รับใบเหลืองที่ 2 ในนาทีที่ 72 และทำให้ เดอะ บลูส์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1987 เขายังถูก เอฟเอ ตั้งข้อหาไม่เคารพการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน เกรแฮม โพล จนถูกสั่งปรับเงินเป็นจำนวน 10,000 ปอนด์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2007 ในช่วงกลางฤดูกาล 2006-07 เขาพลาดลงสนามให้กับทีมไปหลายนัดเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่หลัง โดย มูรินโญ่ ได้ออกมาเปิดเผยในวันที่ 26 ธันวาคม 2006 ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับกัปตันทีมของเขาจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด โดยระหว่างโปรแกรมในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ ทีมก็ทำได้เพียงแค่เสมอกับ เรดดิ้ง และ ฟูแล่ม ในบ้าน จนส่งผลกระทบต่อการลุ้นแชมป์ของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 28 ธันวาคม ทางสโมสรได้ออกมาแถลงการณ์ว่า การผ่าตัดของ เทอร์รี่ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และมีกำหนดการว่าเขาจะกลับมาลงสนามได้ในเกมกับ วีแกน ในช่วงกลางเดือนมกราคม แม้สุดท้ายแล้วเขาจะยังลงเล่นในเกมนั้นไม่ได้แต่ก็ต้องขอบคุณ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูจากการเปิดบ้านถล่มผู้มาเยือน 4-0

เขากลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมที่เฉือนเอาชนะ ชาร์ลตัน 1-0 โดยถูกเปลี่ยนลงมาแทน โคล้ด มาเกเลเล่ ในนาทีที่ 88 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2007 ก่อนจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในนัดถัดมาพร้อมกับได้รับเสียงปรบมือจากแฟนๆในสนามเหย้าหลังมีส่วนช่วยให้ทีมไล่ต้อน มิดเดิ้ลสโบรช์ 3-0 ในช่วงต้นเดือนมีนาคม เทอร์รี่ ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจนหมดสิทธิ์ลงสนามในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายที่พบกับ ปอร์โต้ และอาจจะทำให้เขาพลาดโอกาสลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ที่พบกับ อาร์เซน่อล อีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถเรียกความฟิตกลับมาทันลงเตะนัดสำคัญที่ มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม ระหว่างเกมนัดชิงในช่วงครึ่งหลัง จากจังหวะที่ เชลซี ได้โอกาสลุ้นจากลูกเตะมุม ในขณะที่ เทอร์รี่ กำลังตั้งใจจะทิ้งตัวโหม่งเพื่อทำประตูก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ อาบู ดิยาบี้ พยายามจะเคลียร์บอลออกไปเลยหวดเข้าที่ใบหน้าของ เทอร์รี่ อย่างจัง จนทำให้เขาสลบเหมือดคาสนามในสภาพลิ้นจุกปากไปนานหลายนาที หลังได้รับการปฐมพยาบาลเขาถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำเมือง คาร์ดิฟฟ์ อย่างเร่งด่วน โดยหลังจากอาการดีขึ้นเขาก็รีบเดินทางกลับมายังสนามแข่งเพื่อร่วมฉลองแชมป์กับทีมที่เอาชนะคู่แข่งไปได้ 2-1 ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดเผยในภายหลังว่า เขาจำได้เพียงเหตุการณ์ที่ตนเองเดินลงสนามตอนเริ่มต้นครึ่งหลัง แต่จำอะไรไม่ได้เลยในช่วง 10 นาทีที่อยู่ในสนามก่อนจะเกิดเหตุ

เขายังพา เชลซี ผ่านเข้าไปจนถึงรอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล และนี่ก็เป็นหนที่ 3 ในรอบ 4 ปีที่ทีมเดินทางมาไกลจนถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในรายการยุโรป นอกจากนี้เขายังมีโอกาสพาเพื่อนร่วมทีมขึ้นชูถ้วย เอฟเอ คัพ หลังปราบ ปีศาจแดง ได้ด้วยสกอร์ 1-0 ในสนาม เวมบลีย์ โฉมใหม่ แม้การเจรจาต่อสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2006-07 จะไม่ประสบความสำเร็จในคราวแรก แต่ เทอร์รี่ ก็ออกมายืนยันชัดเจนว่าเขาไม่มีความคิดที่จะย้ายไปไหน จนมาถึงช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเขาก็ตกเซ็นสัญญาฉบับใหม่พร้อมค่าเหนื่อยที่มีรายงานไม่ต่ำกว่า 130,000 ปอนด์ / สัปดาห์ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีรายได้สูงที่สุดของ พรีเมียร์ลีก ในเวลานั้น ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2007 ระหว่างเกมลีกที่ออกไปเยือน อาร์เซน่อล ในจังหวะที่จะเคลียร์บอลทิ้งจากกรอบเขตโทษ เท้าของเขาก็ไปบวกกับเท้าของ เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ ที่พยายามแหย่เข้ามาขวางจนส่งผลให้กระดูกที่เท้าของเขาแตก 3 ซี่จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากเกมที่ทีมพ่ายใน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 1-0 เบื้องต้นมีการประเมินกันว่าเขาจะต้องพักยาวไปราว 3 เดือน แต่สุดท้าย เทอร์รี่ ก็หายกลับมาทันนำเพื่อนร่วมทีมลงเตะในนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ 2008 แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ เชลซี รอดพ้นจากความปราชัยต่อ สเปอร์ส ไปด้วยสกอร์ 2-1

ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2008 ระหว่างลงเล่นนัดปิดฤดูกาลกับ โบลตัน เขาดันไปปะทะกันเองกับ ปีเตอร์ เช็ก จนมีอาการข้อศอกเคลื่อนและถูกนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งให้เขาลงสนามเป็นตัวจริงในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงดวงดาวหลังจากที่เขาดันไปลื่นล้มในจังหวะที่กำลังดวลเป้าตัดสินกับ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก่อนที่ เชลซี จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด 6-5 จากการตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ โดยที่เขาถึงกับหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาหลังจบเกม

ในวันที่ 28 สิงหาคม 2008 เทอร์รี่ ได้รับรางวัลกองหลังยอดเยี่ยมแห่งปีจากทาง ยูฟ่า ในขณะที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ปีเตอร์ เช็ก เพื่อนร่วมทีมก็ได้รับรางวัลตามตำแหน่งของตนเองเช่นกัน

ในวันที่ 13 กันยายน 2008 เขามาโดนใบแดงโดยตรงจากเกมที่บุกไปเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-1 จากความพยายามที่จะหยุดยั้ง โช ศูนย์หน้าชาวบราซิล ในจังหวะสวนกลับด้วยการใช้แขนรวบตัวคู่แข่งเหมือนรักบี้ แต่เขากลับรอดพ้นจากโทษแบนหลังยื่นอุทธรณ์ผ่าน แต่สุดท้ายก็มาถูกไล่ออกอีกครั้งในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ในช่วงก่อนวันคริสมาสต์ หลังพุ่งสไลด์เปิดปุ่มเข้าใส่ ลีออน ออสมัน ต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสินจนถูกพักแข้งไป 2 นัด

ดับเบิ้ลแชมป์และครองบัลลังก์ยุโรป

ในเดือนกรกฎาคม 2009 แมนฯซิตี้ พยายามยื่นข้อเสนอเข้ามาถึง 3 ครั้งในการโน้มน้าวให้ เชลซี ยอมปล่อยตัว เทอร์รี่ หากแต่ คาร์โล อันเชล็อตติ ยืนกรานที่จะให้เขายังอยู่กับทีมต่อไป เทอร์รี่ ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการพาทีมเฉือนเอาชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 2-1 เขายังช่วยยิงประตูสำคัญที่ช่วยให้ทีมเฉือนเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ก่อนจะปูทางไปสู่การรักษาสถิติชนะรวดในบ้านเอาไว้ได้ตลอดทั้งซีซั่น

ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2010 เขานำเพื่อนร่วมทีมชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ หลังเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดาหน้าปูพรมใส่ วีแกน 8-0 ก่อนที่อีกสัปดาห์ให้หลังเขาจะกลายเป็นกัปตันทีมที่พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ จากการเอาชนะ พอร์ทสมัธ 1-0 ในนัดชิงที่ เวมบลีย์

ในวันส่งท้ายปี 2011 เทอร์รี่ ฉลองการสวมปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ เชลซี นัดที่ 400 แบบกร่อยๆ หลังทีมแพ้คาบ้านให้กับ แอสตัน วิลล่า 3-1 ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลจากการเก็บสถิติผู้เล่นที่มีการผ่านบอลมากกว่า 1,000 ครั้งว่า เขาคือนักเตะที่ผ่านบอลได้ดีที่สุดในโลกอันดับ 3 ภายในปี 2011 จากอัตราความแม่นยำ 91.6% ตามหลังเพียงแค่ ลีออน บริตตัน (93.3%) จาก สวอนซี และ ชาบี เอร์นานเดซ (93.0%) ของ บาร์เซโลน่า เท่านั้น

ในวันที่ 24 เมษายน 2012 เทอร์รี่ ถูกไล่ออกจากสนามอีกครั้งหลังแอบตุกติกไปตีเข่าใส่ที่หลังของ อเล็กซิส ซานเชซ ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบตัดเชือกเลกสองที่ คัมป์ นู ก่อนที่ เชลซี จะผ่าน บาร์เซโลน่า เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์รวม 3-2 โดยที่เขาออกมากล่าวขอโทษแฟนๆในภายหลังจากการพาตัวเองติดโทษแบนจนอดลงเล่นในนัดชิงที่จะพบกับ บาเยิร์น มิวนิค

เขาทำประตูที่ 6 ใน พรีเมียร์ลีก และรวมเป็น 7 ลูกจากทุกรายการในนัดปิดฤดูกาลที่เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่ตกชั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 2-1 และจากการมีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ดในนัดนี้ก็ทำให้กลายเป็นซีซั่นที่เขายิงประตูได้มากที่สุด แม้ เทอร์รี่ จะหมดสิทธิ์ลงเล่นในนัดชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง รามิเรส, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช และ ราอูล เมยเรเลส แต่เขาก็ยังได้ร่วมฉลองการครองบัลลังก์ยุโรปสมัยแรกของ เชลซี หลังสามารถเฉือนเอาชนะ บาเยิร์น ในการดวลจุดโทษ 4-3

ช่วงโค้งสุดท้ายกับสิงห์บลูส์

ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2012 เทอร์รี่ ถูกปฏิเสธการจับมือจาก แอนทอน เฟอร์ดินานด์ กองหลังชาวอังกฤษ ก่อนเกมฟาดแข้งกับ ควีนส์ พาร์ค เรนเจอร์ส ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกแบนถึง 4 เกมในภายหลังจากข้อหาเหยียดผิวคู่ต่อสู้ จนกระทั่งเขากลับมาลงสนามได้อีกครั้งในวันที่ 11 พฤศจิกายน และทำประตูที่ 50 ให้กับ สิงห์บลูส์ ในเกมที่เปิดบ้านเสมอกับ ลิเวอร์พูล 1-1 ซึ่งเจ้าตัวก็อยู่ในสนามได้เพียง 39 นาทีก่อนจะมีอาการบาดเจ็บที่เข่าขวาโดยคาดการณ์ว่าอาจจะมีปัญหาที่เอ็นไขว้ข้อหัวเข่า แต่จากผลการสแกนในวันถัดมาก็ทำให้เบาใจได้ว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก

ในวันที่ 7 ธันวาคม ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือเชลซีคนใหม่ก็ได้ออกมายืนยันว่า เทอร์รี่ ยังไม่ทันจะได้พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่ติดตัวมาตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2012 และจากปัญหาที่เกิดกับหัวเข่าล่าสุดก็ทำให้เขาพลาดลงสนามให้กับทีมไปทั้งหมด 16 นัด ที่รวมไปถึงความพ่ายแพ้ต่อ โครินเธียนส์ ในนัดชิงถ้วย ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เขาเริ่มกลับมาลงเล่นได้เป็นเวลา 45 นาทีร่วมกับทีม เชลซี ชุด U-21 ในวันที่ 10 มกราคม 2013 จนได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่ออกไปเสมอนอกบ้านกับ เบรนท์ฟอร์ด 2-2 ก่อนจะเวียนกลับมาถล่มในนัดรีเพลย์ที่บ้าน 4-0

ในวันที่ 17 เมษายน 2013 เทอร์รี่ เหมาคนเดียว 2 ประตูเป็นครั้งแรกในเกม ลอนดอน ดาร์บี้ ที่บุกไปตะปบ ฟูแล่ม 3-0 ก่อนที่เขาจะยอมต่อสัญญาเพิ่มอีก 1 ปีในวันที่ 13 พฤษภาคม 2014 เขามาฉลองการสวมปลอกแขนให้กับ เชลซี ครบ 500 นัดในเกมที่บุกไปเฉือนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2014 และมาทำได้ 1 ประตูในนัดถัดมาจากการเปิดบ้านถล่ม มาริบอร์ 6-0 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เขายังมายิงได้อีก 1 ลูกในเกมยุโรปกับ ชาลเก้ 04 ที่บุกไปถล่มคู่แข่งถึงถิ่น 5-0

ในวันที่ 1 มีนาคม 2015 เทอร์รี่ ช่วยทำประตูขึ้นนำในนาทีสุดท้ายของครึ่งเวลาแรก ก่อนจะช่วยให้ เชลซี เอาชนะ สเปอร์ส 2-0 ที่ เวมบลีย์ พร้อมกับคว้าแชมป์ ลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ ในวันที่ 26 มีนาคม เขาตัดสินใจต่อสัญญากับสโมสรเพิ่มออกไปอีก 1 ปี ก่อนที่อีก 1 เดือนถัดมาเจ้าตัวพร้อมเพื่อนร่วมทีมอีก 5 รายจะติดอยู่ในทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล

ในวันที่ 29 เมษายน เขาสามารถสร้างสถิติร่วมของการเป็นกองหลังที่ยิงประตูได้มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ที่ 38 ลูก จากประตูที่ 2 ในชัยชนะ 3-1 เหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะมาแซงหน้า เดวิด อันสเวิร์ธ เจ้าของสถิติเดิมด้วยการยิงประตูที่ 39 ในเกมที่เจ๊ากันไปกับ ลิเวอร์พูล 1-1 จากการลงสนามในเกมลีกนัดที่ 3 ของฤดูกาล 2015-16 เทอร์รี่ ก็มาโดนใบแดงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากการพยายามขัดขวางจังหวะพุ่งเข้าไปทำประตูของ ซาโลมอน รอนดอน ในเกมที่พวกเขายังเก็บ 3 คะแนนออกมาจากบ้านของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ได้ด้วยสกอร์ 3-2

ในวันที่ 15 มกราคม 2016 เขาทำพลาดสกัดบอลเข้าประตูตัวเองและกลายเป็นประตูขึ้นนำของ เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะมาแก้ตัวได้ด้วยการยิงประตูตีเสมอเป็น 3-3 ในนาทีที่ 90+8 จนกระทั่งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เขาก็ออกมาประกาศว่าเตรียมจะอำลาทีมไปในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ โดยกล่าวไว้ว่า “มันคงไม่ใช่ตอนจบเหมือนกับในเทพนิยาย”

แม้ เทอร์รี่ จะเคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่มีการเจรจาเรื่องสัญญาฉบับใหม่ แต่แล้วในวันที่ 18 พฤษภาคม เขากลับตกลงต่อสัญญาเพิ่มไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาล 2016-17 โดย 10 วันหลังจากนั้นเขาก็มาโดนไล่ออกในเกมที่พ่ายให้กับ ซันเดอร์แลนด์ 3-2 ที่ สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ และเกิดเป็นข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วว่านี่คงเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายของเขาในสีเสื้อ เดอะ บลูส์ อย่างไรก็ตามระหว่างงานแถลงการณ์เปิดตัวผจก.ทีม เชลซี คนใหม่ อันโตนิโอ คอนเต้ ยังคงยืนยันว่า เทอร์รี่ จะยังคงอยู่กับสโมสรในฐานะกัปตันทีมต่อไป จนมาถึงวันที่ 11 กันยายน ก่อนสิ้นเสียงนกหวีดในเกมที่เสมอกับ สวอนซี 2-2 เทอร์รี่ ก็เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจนต้องใช้อุปกรณ์ค้ำยันในการเดินออกจากสนาม

เขากลับมาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกม ลีก คัพ รอบ 4 ที่พ่ายให้กับ เวสต์แฮม 2-1 ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ก่อนจะมาถูกใบแดงในเกม เอฟเอ คัพ ที่ เชลซี ยังมีดีพอที่จะถล่ม ปีเตอร์โบโร่ 4-1 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2017 จนกระทั่งวันที่ 17 เมษายน เขาก็ออกมาประกาศอำลาทีมอีกครั้งหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ หลังทีมสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ เทอร์รี่ ได้มีโอกาสลงสนามเป็นนัดที่ 717 ให้กับ เชลซี และยังเป็นนัดส่งท้ายของเขากับทีมในชัยชนะท่วมท้น 5-1 เหนือ ซันเดอร์แลนด์ โดยที่มีสัญญาณเปลี่ยนตัวเขาออกในนาทีที่ 26 ตามหมายเลขเสื้อ พร้อมๆกับที่มีการตั้งซุ้มเกียรติยศจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ

แอสตัน วิลล่า

เทอร์รี่ ตัดสินใจเซ็นสัญญา 1 ปีย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวเพื่อไปลงเล่นกับ แอสตัน วิลล่า

ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2017 เทอร์รี่ ตัดสินใจเซ็นสัญญา 1 ปีย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวเพื่อไปลงเล่นใน อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ ร่วมกับ แอสตัน วิลล่า โดยที่เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมในฤดูกาล 2017-18 และออกสตาร์ทเกมแรกกับต้นสังกัดใหม่ในนัดที่เปิดรัง วิลล่า พาร์ค เสมอกับ ฮัลล์ ซิตี้ 1-1 ก่อนจะมายิงประตูแรกและประตูเดียวให้กับ สิงห์ผยอง ในชัยชนะ 2-1 เหนือ ฟูแล่ม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เขามีลุ้นที่จะได้กลับมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้งเมื่อทีมสามารถผ่านเข้าไปลุ้นในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นนัดชิงชนะเลิศกับ ฟูแล่ม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2018 แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแบบหวุดหวิด 1-0 จนทำให้เขาตัดสินใจอำลาทีมไป ในช่วงเดือนกันยายน เทอร์รี่ ผ่านเข้ารับการตรวจร่างกายกับ สปาร์ตัก มอสโก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับบอกปฏิเสธข้อเสนอที่ตามมาด้วยเหตุผลทางด้านครอบครัว สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ออกมาประกาศยุติอาชีพค้าแข้งในวันที่ 7 ตุลาคม 2018 ก่อนที่อีก 3 วันต่อมาเขาจะเริ่มต้นอาชีพการเป็นโค้ชด้วยการถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของ แดน สมิธ ผจก.ทีมคนใหม่ของ แอสตัน วิลล่า

เส้นทางในระดับทีมชาติ

เทอร์รี่ ประเดิมติดธงนัดแรกในเดือนมิถุนายน

เทอร์รี่ ประเดิมติดธงนัดแรกในเดือนมิถุนายน 2003 ด้วยการถูกเปลี่ยนลงไปเป็นตัวสำรองใน 45 นาทีหลังของเกมอุ่นเครื่องที่เอาชนะ เซอร์เบียและมอนเตเนโกร 2-1 เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้ทีมสิงโตคำรามในแมตช์กระชับมิตรที่เอาชนะ โครเอเชีย 3-1 ที่ พอร์ทแมน โร้ด เขาเริ่มต้นสร้างชื่อด้วยการมักจะถูกจับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ และติดอยู่ในทีมของ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน ที่จะลงทำศึก ยูโร 2004 โดยถูกวางไว้เป็นตัวเลือกในแนวรับอันดับแรกแทนที่ โซล แคมป์เบล ก่อนที่ อังกฤษ จะไปได้ไกลแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับ โปแลนด์ ในปี 2005 เขามีโอกาสได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ หลัง ไมเคิ่ล โอเว่น ที่เป็นหัวหน้าทีมในเวลานั้นถูกเปลี่ยนตัวออก และจากฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาก็ทำให้เขายึดตำแหน่งในทีมได้อย่างเหนียวแน่นจนได้ร่วมเดินทางไปทำศึกใน เวิลด์ คัพ 2006 เทอร์รี่ ทำประตูแรกให้ อังกฤษ ได้ในแมตช์เตรียมความพร้อมที่เอาชนะ ฮังการี 3-1 และแม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อยในเกมอุ่นเครื่องนัดถัดมาที่ถล่ม จาเมก้า 6-0 แต่เขาก็ยังเรียกความฟิตทันที่จะลงเตะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่นัดแรกที่เอาชนะ ปารากวัย ไปได้แบบหวุดหวิด 1-0 ในนัดต่อมากับ ตรินิแดดและโตเบโก มีช็อตสำคัญของเขาจากลูกโอเวอร์เฮดคิกที่ช่วยเคลียร์บอลออกจากเส้นปากประตู ก่อนที่ทีมจะลอยลำเข้ารอบไปอย่างแน่นอนด้วยชัยชนะ 2-0 จนมาถึงเกมรอบน็อคเอาท์ที่ต้องวัดกับ โปรตุเกส เขาอยู่ในสนามจนครบ 120 นาที แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ต้องมีน้ำตาอาบบนใบหน้าเมื่อ อังกฤษ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ ก่อนที่ 6 วันต่อมาเขาจะกลายเป็นผู้เล่นอังกฤษเพียงคนเดียวที่ติดอยู่ในทีมออลสตาร์ของการแข่งขัน

ในวันที่ 10 สิงหาคม 2006 สตีฟ แม็คคลาเรน แต่งตั้งให้ เทอร์รี่ สืบทอดปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก เดวิด เบ็คแฮม โดยได้กล่าวไว้ว่า “การเลือกกัปตันทีมคือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการตัดสินใจของโค้ช ผมแน่ใจว่า จอห์น เทอร์รี่ คือคนที่เหมาะสม ผมเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเขาคือหนึ่งในกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” เทอร์รี่ สามารถใส่สกอร์ในการประเดิมตำแหน่งกัปตันทีมจากเกมกระชับมิตรที่ยำใหญ่ กรีซ 4-0 ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างไรก็ตามภายใต้ยุคการคุมทีมของ แม็คคลาเรน กลับกลายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 1994 ที่ สิงโตคำราม ชวดลงแข่งขันในรายการระดับเมเจอร์รอบสุดท้าย

ในวันที่ 1 มิถุนายน 2007 เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษภายในสนาม เวมบลีย์ ที่มีการปรับโฉมใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องกับ บราซิล ที่เจ้าตัวโขกพังประตูได้จากลูกเตะมุมที่เปิดโดย เบ็คแฮม ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 หลังจากนั้นอีกราวๆ 1 ปีเขาก็มาทำประตูในลักษณะนี้ได้อีก โดยเป็นการขึ้นโหม่งลูกเปิดฟรีคิกจาก เบ็คแฮม เจ้าเก่าที่กลายเป็นประตูขึ้นนำจากชัยชนะ 2-0 เหนือ สหรัฐอเมริกา เทอร์รี่ ยังได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนต่อไปในการลงเตะ ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก หากแต่ในแมตช์แรกหลังการคอนเฟิร์มตำแหน่งกัปตันทีม เขาคงรู้สึกเสียฟอร์มไม่น้อยเมื่อดันพลาดท่าให้กับ มิลาน บารอส ที่หลุดเข้าไปทำประตูขึ้นนำได้อย่างง่ายดาย แต่ อังกฤษ ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ซึ่งก็ต้องขอบคุณประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายของ โจ โคล ที่ช่วยให้เกมจบลงด้วยสกอร์ 2-2 เขามาทำประตูแรกในเกมรอบคัดเลือกได้จากนัดที่เอาชนะ ยูเครน ในบ้าน 2-1 โดยหลังจากที่ทีมออกนำไปก่อนในครึ่งแรกจาก ปีเตอร์ เคร้าช์ ก็มาถูกตีเสมอในช่วง 15 นาทีสุดท้ายจาก อังเดร เชฟเชนโก้ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นฮีโร่โหม่งทำประตูชัยในนาทีที่ 85

แต่แล้วในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2010 ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือทีมชาติอังกฤษ ต้องออกมาประกาศปลด เทอร์รี่ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าทีมเนื่องจากข่าวฉาวโฉ่ที่เขาถูกกล่าวหาว่าแอบไปตีท้ายครัวเพื่อนร่วมทีม พร้อมกับแต่งตั้งให้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ รับหน้าที่แทนเขา ทีมสิงโตคำราม เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ แอฟริกาใต้ ได้แบบฝืดๆจากการเสมอกับ สหรัฐอเมริกา และ แอลจีเรีย ไปใน 2 เกมแรก จนได้รับการโจมตีจากสื่อในประเทศอย่างหนักหน่วง แถม เทอร์รี่ ก็ยังมาจุดประเด็นร้อนด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังจากเสมอกับ แอลจีเรีย ในทำนองไม่เห็นด้วยกับการจัดตัวผู้เล่นของผจก.ทีม นอกจากนี้เขายังบอกว่าบรรดานักเตะรู้สึกเบื่อกับการไม่มีอะไรทำในระหว่างช่วงเย็นๆที่ศูนย์ฝึกของทีม และยังให้ความเห็นว่าควรจะมีการจัดประชุมวางแผนทีมในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งวันถัดมา คาเปลโล่ ก็ออกมาตอบโต้และบอกว่า เทอร์รี่ กำลังทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่ออกมาท้าทายอำนาจหน้าที่ของเขาต่อหน้าสื่อ

อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม 2011 คาเปลโล่ ก็ตัดสินใจคืนปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ เทอร์รี่ หลัง เฟอร์ดินานด์ มีปัญหาบาดเจ็บยาว จนมาถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมาที่ เทอร์รี่ ถูกตั้งข้อหาเหยียดผิวจากพฤติกรรมที่แสดงออกต่อ แอนทอน เฟอร์ดินานด์ ระหว่างเกมฟาดแข้งกับ ควีนส์ พาร์ค เรนเจอร์ส จนทำให้ทาง เอฟเอ มีคำสั่งปลดเขาออกจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง และทำให้ คาเปลโล่ รู้สึกไม่พอใจก่อนจะตัดสินใจลาออก ชื่อของ เทอร์รี่ ยังคงถูกใส่ไว้ในลิสต์นักเตะของ รอย ฮ็อดจ์สัน ที่จะลงทำศึก ยูโร 2012 แต่กลับไม่มีชื่อของ เฟอร์ดินานด์ จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายคนเชื่อว่า เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากข้อขัดแย้งที่ เทอร์รี่ ได้กระทำไว้กับ แอนทอน ผู้เป็นน้องชายของ เฟอร์ดินานด์ หลังจากที่ เทอร์รี่ ได้รับโอกาสลงสนามครบ 90 นาทีตลอดทั้ง 4 เกมที่ อังกฤษ จอดป้ายที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย เขาก็ตัดสินใจเลิกเล่นให้กับทีมชาติในวันที่ 23 กันยายน 2012

ชีวิตส่วนตัว

เทอร์รี่ แต่งงานกับ โทนี่ พูล แฟนสาว เมื่อปี 2009

เทอร์รี่ แต่งงานกับ โทนี่ พูล แฟนสาว เมื่อปี 2009 โดยที่เขาถูกโหวตให้เป็น “คุณพ่อแห่งปี” จากผลสำรวจที่ทำขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตซอสมะเขือเทศเจ้าดังในประเทศ พอล พี่ชายที่อายุมากกว่าเขา 1 ปีก็เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน โดยลงเตะให้กับสโมสรเล็กๆอย่าง ดาเกนแน่ม และ เยโอวิล ทาวน์ ในขณะที่ในวัยเด็ก เทอร์รี่ เติบโตมากับการเป็นแฟนบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด เขายังเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์สูงกว่า 1 ล้านปอนด์สำหรับการตีพิมพ์หนังสืออัตชีวประวัติ ซึ่งเป็นดีลที่เกิดขึ้นในปี 2004 กับ ฮาร์เปอร์คอลลินส์ สำนักพิมพ์ชื่อดังระดับโลก ในปี 2016 เขายอมควักกระเป๋าเป็นจำนวนเงิน 1,600 ปอนด์เพื่อใช้ในพิธีศพของแฟนบอล เชลซี รุ่นเยาว์ที่ป่วยเป็นโรคลูคิเมีย และเสียชีวิตลงด้วยวัยเพียง 8 ขวบหลังทำการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกไม่สำเร็จ เทอร์รี่ ยังเป็นเจ้าของกิจการชุดว่ายน้ำแบรนด์ Thomas Royall ร่วมกับเพื่อนนักเตะ แซม ซอนเดอร์ส และ เลียม ริดจ์เวลล์

ข่าวฉาวเรื่องชู้สาว

ระหว่างเดือนมกราคม 2010 ศาลสูงของอังกฤษได้สั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวของ เทอร์รี่ ว่าแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆกับ วาเนสซ่า เปอร์รอนเซล อดีตแฟนสาวของ เวย์น บริดจ์ เพื่อนร่วมทีมเชลซีและทีมชาติอังกฤษ เป็นระยะเวลานานร่วม 4 เดือนนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2009 แต่แล้วคำสั่งศาลก็ถูกยกเลิกภายในสัปดาห์ต่อมา และทำให้สื่อดังในประเทศโดยเฉพาะพวกนสพ.แท็บลอยด์ต่างพากันพาดหัวข่าวพร้อมรายละเอียดข่าวลือซุบซิบเต็มหน้าในวันรุ่งขึ้น แม้ 2 แท็บลอยด์ชื่อดังจะออกมาแก้ข่าวและตีพิมพ์คำขอโทษต่อ เปอร์รอนเซล นักแบบสาวชาวฝรั่งเศส ในภายหลัง แต่เธอก็ยังคงหนีไม่พ้นจากข้อครหาที่แอบคบชู้อยู่ดี จากข่าวฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ตัดสินใจปลด เทอร์รี่ ออกจากตำแหน่งกัปตันทีม และมอบปลอกแขนให้กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ทำหน้าที่แทน ก่อนที่ เทอร์รี่ จะได้รับตำแหน่งคืนในปีถัดมา

คดีเหยียดผิว

เทอร์รี่ ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการพูดจาเหยียดผิวใส่ แอนทอน เฟอร์ดินานด์

ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2011 เทอร์รี่ ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการพูดจาเหยียดผิวใส่ แอนทอน เฟอร์ดินานด์ ระหว่างเกมพรีเมียร์ลีกที่ เชลซี พบกับ ควีนส์ พาร์ค เรนเจอร์ส โดยที่คลิปวิดีโอเหตุการณ์นั้นได้แพร่กระจายไปในโลกอินเตอร์เน็ตโดยที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคำพูดที่ เทอร์รี่ พูดใส่ เฟอร์ดินานด์ ก็คือ “fuckink black cunt” ในขณะที่ เทอร์รี่ ก็ออกมาตอบโต้เรื่องดังกล่าวว่า เขาเพียงแค่พูดกับกองหลัง QPR ไปว่า “เฮ้ย แอนทอน นายคิดว่าฉันเรียกนายว่า a black cunt หรือ?” จนกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปให้ปากคำ ก่อนจะถึงวันที่ 21 ธันวาคม ที่เขาจะถูกตั้งข้อหาว่ามีการใช้ถ้อยคำเหยียดผิวต่อผู้อื่น และแล้วในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2012 ทาง เอฟเอ ก็มีคำสั่งให้เขาพ้นจากการทำหน้าที่กัปตันทีมชาติอังกฤษไปจนกว่าคดีจะคลี่คลาย

หลังการพิจารณาคดีที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2012 เทอร์รี่ ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดในวันที่ 13 กรกฎาคม โดยมีข้อสรุปคร่าวๆว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าทั้ง เฟอร์ดินานด์ หรือใครก็ตามที่ได้ยินคำพูดที่แน่ชัดจากปากของ เทอร์รี่ แต่ในขณะเดียวกัน เทอร์รี่ ก็เป็นฝ่ายยอมรับว่ามีการเอ่ยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมบางอย่างแต่เป็นการพูดออกไปในลักษณะการตั้งคำถามแบบเสียดสี แต่จากผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ทาง เอฟเอ ยังคงดำเนินการลงโทษ เทอร์รี่ ด้วยการสั่งห้ามลงสนาม 4 นัดพร้อมกับปรับเงินเป็นจำนวน 220,000 ปอนด์จากการใช้คำพูดและแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อเรื่องนี้แถมยังประกาศอำลาทีมชาติในเวลาต่อมา ก่อนจะออกมากล่าวคำขอโทษถึงการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถูกโจมตีอย่างหนักถึงเรื่องที่ไม่เคยยอมเอ่ยคำขอโทษไปถึงคู่กรณีโดยตรง