ค้นประวัติ แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมดังนอกคอกแห่งลีกเยอรมัน

ค้นประวัติ แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมดังนอกคอกแห่งลีกเยอรมัน

ราเซนบอลสปอร์ต ไลป์ซิก (RasenBallsport Leipzig e.V.) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม แอร์เบ ไลป์ซิก คือสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองไลป์ซิก รัฐแซกโซนี ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันพวกเขาลงเตะอยู่ในสนามเหย้า เร้ด บูลล์ อารีน่า ที่รองรับความจุ 42,959 ที่นั่ง สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 จากความริเริ่มของ เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช บริษัทเครื่องดื่มชูกำลังยักษ์ใหญ่สัญชาติอออสเตรีย ที่ซื้อสิทธิ์ทีมฟุตบอลมาจาก เอสเอสเฟา มาร์ครานสเตดท์ สโมสรเล็กๆในระดับดิวิชั่น 5 ด้วยความตั้งใจที่จะปลุกปั้นให้ทีมก้าวขึ้นมาอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศภายในระยะเวลา 8 ปี พวกเขายังใช้ช่องทางของกฎหมายตั้งองค์กรชื่อ RasenballSport Leipzig GmbH เพื่อเข้ามาบริหารทีมฟุตบอลชายโดยตรง

นับตั้งแต่เปิดตัวในฤดูกาล 2009-10 ไลป์ซิก สามารถครองแชมป์ระดับดิวิชั่น 5

นับตั้งแต่เปิดตัวในฤดูกาล 2009-10 ไลป์ซิก สามารถครองแชมป์ระดับดิวิชั่น 5 และโปรโมทขึ้นสู่ดิวิชั่น 4 หลังจากนั้นในฤดูกาล 2012-13 ทีมก็สร้างสถิติไร้พ่ายและขยับขึ้นมายัง ลีกา 3 ก่อนจะกลายเป็นทีมแรกที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา 2 ภายในปีเดียวหลังจากเปิดตัวในระดับดิวิชั่น 3 จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2016 ไลป์ซิก ก็การันตีการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ หลังเป็นฝ่ายเอาชนะ คาร์ลสรูห์ 2-0 โดยหลังจากนั้นอีก 1 ปีพวกเขาก็สามารถคว้าสิทธิ์ลงเตะใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจบจบฤดูกาลด้วยอันดับรองแชมป์

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

ที่มาที่ไป

ก่อนการลงหลักปักฐานที่ ไลป์ซิก บริษัท เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช ที่นำโดย ดีทริช เมเทสซิทซ์ ผู้ก่อตั้งร่วมได้ใช้ระยะเวลาราว 3 ปีครึ่งในการเสาะแสวงหาทำเลเพื่อการลงทุนในวงการลูกหนังเยอรมัน ซึ่งนอกจากที่ ไลป์ซิก แล้วพวกเขายังพิจารณาหลายๆพื้นที่ทางแถบตะวันตกของประเทศและได้ไปสำรวจยังเมืองต่าง เช่น ฮัมบูร์ก, มิวนิค และ ดุสเซลดอร์ฟ และแล้วด้วยคำแนะนำของ ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ตำนานแข้งชาวเยอรมันที่สนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับ เมเทสซิทซ์ ก็ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนใน ไลป์ซิก เมื่อปี 2006 โดยเริ่มต้นจาก เอฟซี ซัคเซน ไลป์ซิก ทีมที่กำลังลงเตะอยู่ใน โอเบอร์ลีกา หรือ ลีกระดับดิวิชั่น 4 ในเวลานั้น โดยมีประวัติถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ตามรอยทางของ เบเอสเก เชมี่ ไลป์ซิก อดีตทีมแชมป์เยอรมันฝั่งตะวันออก ที่ประสบปัญหาทางการเงินจนต้องปิดตัวลงไปในปี 1990 ทางบริษัทได้วางแผนที่จะอัดฉีดเงินลงทุนร่วม 50 ล้านยูโร จัดเตรียมแผนการที่จะเทคโอเวอร์และปรับเปลี่ยนชื่อและสีประจำสโมสร และได้มีการเจรจาร่วมกับ มิชาเอล โคลเมล ผู้ที่เป็นเจ้าของสนาม เซ็นทรัลสตาดิโอน และยังสปอนเซอร์หลักของ ซัคเซน ไลป์ซิก

หลังจากส่งเรื่องให้กับ สมาคมฟุตบอลเยอรมันเข้ามาตรวจสอบ ในขณะที่กระบวนการต่างๆกำลังจะเสร็จสิ้นลงพวกเขาก็ถูก เดเอฟเบ ปฏิเสธการรับรอง เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับวัตถุประสงค์ที่เข้ามาเปลี่ยนชื่อสโมสรรวมทั้งเกรงกลัวว่าบริษัทจะเข้ามามีอำนาจภายในทีมมากเกินไป ต่อเนื่องด้วยการประท้วงที่มีเหตุรุนแรงของแฟนบอล ซัคเซน ไลป์ซิก นานหลายเดือน ในที่สุดทางบริษัทก็ตัดสินใจยกเลิกแผนการนี้ เร้ด บูลล์ บีเอ็มจีเอช เริ่มต้นใหม่ด้วยการออกตระเวนไปทางฝั่งตะวันตกของเยอรมัน พวกเขาตัดสินใจเข้าพบ ซังต์ เพาลี สโมสรสุดพั้งค์ที่ขึ้นชื่อด้วยกลุ่มผู้สนับสนุนฝั่งซ้าย ซึ่งหลังจากการเข้าพบกับกลุ่มตัวแทนสโมสรได้ไม่นานบรรดาแฟนบอลที่รู้ข่าวก็ออกมาประท้วงถึงเรื่องการเข้าเทคโอเวอร์ เอสวี ออสเตรีย ซัลซ์บวร์ก จนพวกเขาต้องถอยทัพกลับไป

จากนั้นบริษัทพยายามติดต่อเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับ ฮัมบูร์ก ก่อนที่การเจรจาจะจบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการยื่นเรื่องเข้าที่ประชุมของทีมบริหารด้วยซ้ำ พวกเขายังเดินหน้าเข้าพบ เทเอสเฟา 1860 มิวนิค ที่มีการเจรจาแบบปิดห้องประชุมแต่สุดท้ายข้อเสนอก็ถูกบอกปัดไป ในปี 2017 เร้ด บูลล์ หันไปให้ความสนใจกับ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ สโมสรที่มีประวัติเก่าแก่กว่า 100 ปี ซึ่งแผนการที่ต้องการเข้ามาถือครองหุ้นกว่า 50% ก็ถูกแพร่กระจายออกสู่สาธารณะ รวมถึงข่าวลือที่พวกเขาต้องการจะเปลี่ยนชื่อทีมใหม่เป็น “เร้ด บูลล์ ดุสเซลดอร์ฟ” หรืออะไรในทำนองนี้ และแล้วบทสรุปก็ไม่แตกต่างจากที่ ซัคเซน ไลป์ซิก เมื่อเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงจากแฟนบอลเจ้าถิ่น อีกทั้งแผนการของพวกเขาก็ยากที่จะผ่านข้อกำหนดจาก เดเอฟเบ ที่ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรเพื่อผลปะโยชน์ในการโฆษณาต่างๆ รวมถึงการป้องกันนักลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาถือครองสิทธิ์ส่วนใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเก็บพับโครงการและหันหัวเรือกลับสู่ เยอรมันฝั่งตะวันออก

ไลป์ซิก กลับมาเป็นยุทธศาสตร์หลักในการลงทุนของพวกเขาจากโอกาสและความเป็นไปได้ที่ค่อนข้างสูง นี่ยังเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ของเกมลูกหนัง เป็นทั้งสถานที่จัดการประชุมของ เดเอฟเบ และยังเป็นถิ่นฐานของทีมแชมป์ระดับประเทศรายแรกสุดอย่าง เฟาเอฟแอล ไลป์ซิก ระหว่างยุคการปกครองของรัฐบาลเยอรมันตะวันออก บรรดาสโมสรบิ๊กเนมในพื้นที่ทั้ง โลโคโมทีฟ ไลป์ซิก และ เชมี่ ไลป์ซิก ต่างลงประชันฝีเท้ากันอยู่ใน เดเดแอร์-โอเบอร์ลีกา หรือลีกสูงสุดของฝั่งตะวันออกและแม้แต่ในเกมระดับทวีป แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อไม่เคยมีทีมใดที่ได้ลงเตะใน บุนเดสลีกา อีกเลยนับตั้งแต่ปี 1994 และที่หนักกว่านั้นคือไม่มีทีมใดที่ได้ลงแข่งขันในรายการระดับอาชีพตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา

ในขณะที่ปัจจุบัน 2 ทีมดังในอดีตก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ใน โอเบอร์ลีกา ที่อุดมไปด้วยความรุนแรงของเกมลูกหนังในระดับท้องถิ่น ประชากรในเมืองราว 500,000 คนต่างก็กระหายเกมฟุตบอลในระดับสูงสุด อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจภายในเมืองที่ค่อนข้างมั่นคง รวมถึงไม่มีสโมสรอื่นๆใน บุนเดสลีกา ที่มีถิ่นฐานอยู่ในละแวกใกล้เคียงเลย จึงทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับการก่อสร้างรากฐานทีมขึ้นมาเพื่อดึงดูดแฟนบอลและเหล่าผู้สนับสนุนภายในพื้นที่ ตัวเมืองไลป์ซิกยังมีสาธารณูปโภคต่างๆครบครัน ทั้งสนามบินขนาดใหญ่ เส้นทางมอเตอร์เวย์ และที่สำคัญคือสนามฟุตบอลร่วมสมัยที่โอ่โถง เซ็นทรัลสตาดิโอน คือสถานที่ที่เคยใช้ในศึก ฟุตบอลโลก 2006 และยังเป็นสังเวียนฟาดแข้งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของฝั่งตะวันออกรองจาก โอลิมเปียสตาดิโอน ที่ กรุงเบอร์ลิน

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้พวกเขารู้ว่า การดำเนินงานกับสโมสรเก่าแก่กลับกลายเป็นข้อเสียจากการถูกต่อต้านได้ง่ายๆ และยังเข้าใจดีว่าการลงทุนกับทีมที่ลงเตะอยู่ในดิวิชั่นระดับบนๆก็เสี่ยงที่จะขัดกับข้อกฎหมาย ดังนั้นแทนที่จะดึงดันเดินหน้าในรูปแบบเดิมๆพวกเขากลับเลือกที่จะก่อตั้งสโมสรขึ้นมาใหม่ที่สามารถออกแบบให้รองรับกับแนวทางการบริหารของบริษัท และแล้วในปี 2009 เร้ด บูลล์ บีเอ็มจีเอช ก็ติดต่อขอเข้าเจรจากับ สมาคมฟุตบอลรัฐแซกโซนี เพื่อหาหนทางในการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมาใหม่ในพื้นที่ ซึ่งสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นก็คือตัวนักเตะและสิทธิ์ที่จะได้ลงแข่งขัน ซึ่งถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับการเห็นชอบที่จะลงเตะร่วมกับทีมอื่นๆ ก็คงต้องไปเริ่มต้นกับ ไครส์ลีกา หรือลีกระดับตำบล

บริษัทเริ่มต้นแผนงานด้วยการมองหาสโมสรที่ลงเตะอยู่ใน โอเบอร์ลีกา เนื่องจากหลังปี 2008 เป็นต้นมาเกมฟุตบอลในระดับดิวิชั่น 5 ลงมาไม่ได้ขึ้นตรงกับสารบบของ เดเอฟเบ และแล้วจากการช่วยเหลือของ มิชาเอล โคลเมล พวกเขาก็ได้ค้นพบ เอสเอสเฟา มาร์ครานสเตดท์ ทีมเล็กๆในหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากตัวเมือง ไลป์ซิก ไปทางตะวันตก 13 กม. ทางสโมสรเองก็มีความกระตือรือร้นที่จะได้มีส่วนร่วมกับกิจการใหญ่ระดับนานาชาติ โดย โฮลเกอร์ นูสส์บอม ประธานสโมสร ก็ต้องการที่จะเสริมสร้างความมั่งคงให้กับสถานะทางบัญชีและมีแผนการที่จะรองรับการบริหารของ เร้ด บูลล์ บีเอ็มจีเอช โดยนำเสนอแผนการนี้ให้กับ โคลเมล ที่เล็งเห็นช่องทางและพร้อมจะเข้ามาร่วมวงด้วย ด้วยการจุดประกายของ โคลเมล ก็ทำให้บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงกับ มาร์ครานสเตดท์ และหลังจากนั้นอีก 5 สัปดาห์ต่อมาทีมก็ตกลงขายสิทธิ์การลงเตะใน โอเบอร์ลีกา ให้กับ เร้ด บูลล์ บีเอ็มจีเอช ด้วยตัวเลขที่คาดว่าจะมีมูลค่าราว 350,000 ยูโร

จุดเริ่มต้น

ราเซนบอลสปอร์ต ไลป์ซิก ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม

ราเซนบอลสปอร์ต ไลป์ซิก ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2009 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งทั้งหมด 7 คนที่เป็นบุคลากรหรือตัวแทนของบริษัททั้งสิ้น โดยที่ อันเดรียส ซาดโล ถูกโหวตให้ขึ้นมาเป็นประธาน และได้ทำการว่าจ้าง โยอาคิม ครู้ก เข้ามาช่วยในตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา ซาดโล เคยมีชื่อเสียงจากการเป็นเอเย่นต์นักเตะและทำงานให้กับบริษัทนายหน้า “สตาร์ส แอนด์ เฟรนด์ส” และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตกับ เดเอฟเบ ก็ทำให้เขาลาออกจากการเป็นเอเย่นต์ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง เนื่องจากมีกฎข้อห้ามไม่ให้พวกนายหน้าเข้ามามีส่วนในการทำงานของสโมสร ในขณะที่ ครู้ก ก็เคยทำหน้าที่เป็นเฮดโค้ชให้กับ ร็อต-ไวส์ อาห์เลน

สโมสรฟุตบอลที่พึ่งเปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1996

จากวันนั้นก็ทำให้ ไลป์ซิก กลายเป็นทีมฟุตบอลันดับที่ 5 ภายใต้อาณาจักรการลงทุนของ เร้ด บูลล์ ถัดจาก เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ใน ออสเตรีย, นิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส ใน สหรัฐอเมริกา, เร้ด บูลล์ บราซิล ใน บราซิล และ เร้ด บูลล์ กาน่า ใน กาน่า แต่สิ่งที่แตกต่างจากทีมอื่นๆก็คือ พวกเขาไม่เคยเปิดเผยชื่อบริษัทออกมาแบบตรงๆ จากข้อกำหนดของ เดเอฟเบ ที่ไม่อนุญาตให้มีชื่อขององค์กรรวมอยู่ในชื่อของสโมสร จึงทำให้พวกเขาคิดค้นชื่อ ราเซนบอลสปอร์ต ที่มีความหมายประมาณว่า “กีฬาลูกบอลบนสนามหญ้า” เพื่อที่จะได้ใช้ชื่อย่อ “RB” ที่สอดคล้องกับชื่อย่อของบริษัทและกลายเป็นที่จดจำในที่สุด ในการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ทำให้ มาร์ครานสเตดท์ จัดเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้กับ ไลป์ซิก เพื่อที่จะผ่านกฎข้อบังคับด้วยการมีทีมฟุตบอลชายในระดับสูงสุด 3 ขั้นเพื่อมีสิทธิ์ลงเตะในดิวิชั่น 5 ซึ่งนอกจากการเทคโอเวอร์ทีมชุดใหญ่ทั้งหมดของ มาร์ครานสเตดท์ แล้วก็ยังครอบคลุมไปถึงบรรดาสตาฟฟ์โค้ชและ ติโน่ โฟเกิ้ล เฮดโค้ชของทีมที่เป็นลูกชายของ เอเบอร์ฮาร์ด โฟเกิ้ล ตำนานแข้งชาวเยอรมันตะวันออก

ในที่สุดสิทธิ์การลงเตะใน โอเบอร์ลีกา ก็ถูกรับรองโดย สมาคมฟุตบอลเยอรมันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NOFV) หากแต่สโมสรยังต้องการทีมระดับเยาวชนอีกอย่างน้อย 4 ขั้นเพื่อได้รับสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ มาร์ครานสเตดท์ ก็ค่อนข้างมีปัญหากับทีมระดับเยาวชนจึงทำให้ ไลป์ซิก ขาดแคลนกลุ่มผู้เล่นรุ่นเยาว เพื่อจะแก้ปัญหานี้ เร้ด บูลล์ ก็ได้หันกลับไปเจรจากับ ซัคเซน ไลป์ซิก ที่กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินและไม่สามารถพัฒนาทีมระดับเยาวชนได้อีก ในขณะที่ NOFV อนุมัติสิทธิ์การลงเตะให้กับพวกเขาในวันที่ 13 มิถุนายน 2009 และเปิดโอกาสให้สามารถสร้างทีมเยาวชนให้ครบถ้วนได้ภายในเวลา 1 ปี พวกเขาจึงร้องขอผู้เล่นเยาวชนจาก ซัคเซน ไลป์ซิก 4 คน เข้ามาร่วมทีม ไลป์ซิก มีแผนที่จะเปิดตัวใน โอเบอร์ลีกา ด้วยการลงเตะในสนามเหย้าเดิมของ มาร์ครานสเตดท์ ที่รองรับความจุ 5,000 ที่นั่ง แต่แผนการดั้งเดิมของพวกเขาก็คือการได้เห็นทีมชุดใหญ่ย้ายไปเล่นอยู่ใน เซ็นทรัลสตาดิโอน โดยเร็วที่สุด ตามความคาดหมายภายในปี 2010 หลังผ่านขึ้นไปสู่ เรกิโอนาลลีกา หรือดิวิชั่น 4 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเจ้าของสนามแห่งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจาก มิชาเอล โคลเมล ผู้ที่เข้ามามีบทบาทในการก่อตั้งสโมสรตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จากความต้องการที่อยากจะเห็นทีมที่แข็งแกร่งลงเตะอยู่ในสนามของตนเอง หลังจากหนสุดท้ายที่มีเพียง ซัคเซน ไลป์ซิก ที่ได้ใช้สนามแห่งนี้ในเกม เรกิโอนาลลีกา และการเจรจาระหว่าง เร้ด บูลล์ และ โคลเมล ก็เป็นไปอย่างเปิดเผยนับตั้งแต่การก่อตั้งสโมสร ก่อนที่ เร้ด บูลล์ จะได้ถือครองสิทธิ์ชื่อของสนามในปี 2009 จากแผนการเริ่มต้นของ ไลป์ซิก ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลงแข่งขันใน บุนเดสลีกา ภายในระยะเวลา 8 ปี ซึ่งเป็นแนวทางที่ตามรอยมาจากสโมสรรุ่นพี่ใน ออสเตรีย และ สหรัฐอเมริกา มีการคาดการณ์กันว่า เร้ด บูลล์ เตรียมเงินลงทุนกว่า 100 ล้านยูโรสำหรับทีมภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี ในขณะที่ ดีทริช เมเทสซิทซ์ ก็ออกมาเปิดเผยถึงโอกาสการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดภายในระยะยาว หลังจากที่ เฟาเอสแอล ไลป์ซิก คือทีมสุดท้ายของเมืองที่เคยทำได้เมื่อปี 1903

โอเบอร์ลีกา

ฤดูกาล 2009-10

หลังมีการยกเลิกโปรแกรมเตะไปหลายนัดเนื่องจากปัญหาเรื่องของความปลอดภัย ในที่สุด ทีมกระทิงแดง ก็ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องในบ้านกับ เอสเฟา บานเนวิทซ์ ทีมระดับดิวิชั่น 6 ที่จบลงด้วยชัยชนะ 5-0 ของพวกเขา ก่อนจะมาลงเตะแมตช์แรกอย่างเป็นทางการในรายการ แซกโซนี คัพ กับ เบลา-ไวซ์ ไลป์ซิก ซึ่งหลังจากกลับมาเตะกันในเลกที่สองภายในถิ่นของตนเอง ไลป์ซิก ก็เป็นฝ่ายไล่ต้อนคู่แข่งยับเยิน 5-0 ไลป์ซิก มาลงเตะในเกมลีกนัดแรกกับ คาร์ล ไซส์ เยน่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2009 ที่จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ในระหว่างฤดูกาลทีมพบกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกให้กับ บูดิสซ่า เบาท์เซ่น เมื่อวันที่ 13 กันยายน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังสามารถพาตัวเองจบครึ่งฤดูกาลแรกด้วยการรั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง

ระหว่างนั้นในช่วงเดือนมกราคม 2010 อันเดรียส ซาดโล ก็ตัดสินใจอำลาตำแหน่งประธานสโมสร ก่อนที่ ดีทมาร์ ไบเออร์สดอร์เฟอร์ อดีตผอ.กีฬาของ ฮัมบูร์ก ที่ผันตัวเองมาเป็นผอ.กีฬาฝ่ายฟุตบอลของ เร้ด บูลล์ จะขยับเข้ามาทำหน้าที่แทน ทีมออกสตาร์ทครึ่งซีซั่นหลังได้อย่างดุดันยิ่งกว่าหลังเซ็นสัญญากับ ติโม่ รอสต์ มิดฟิลด์ผู้มีประสบการณ์จาก เอเนอร์กี้ ค็อตบุส ใน บุนเดสลีกา 2 ระหว่างเดือนมกราคม 2010 จนกระทั่งเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 ของ โอเบอร์ลีกา ทางตอนใต้ ตั้งแต่เกมนัดที่ 25 ด้วยผลต่างประตู 74-17 และแพ้ไปเพียงแค่ 2 นัด จนได้สิทธิ์เลื่อนขึ้นไปเตะใน เรกิโอนาลลีกา ทางตอนเหนือ ในซีซั่นหน้าจากการรับรองของ เดเอฟเบ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2010 เพียง 1 วันหลังลงเตะนัดปิดฤดูกาล ไบเออร์สดอร์เฟอร์ ก็จัดการปลด ติโม่ โฟเกิ้ล ผจก.ทีมและผู้ช่วยของเขา รวมถึง โยอาคิม ครู้ก ผอ.กีฬาออกจากตำแหน่ง ซึ่งมีที่มาจากการปรับเปลี่ยนแผนการบริหารจาก เมเทสซิทซ์ ที่หมายมั่นปั้นมือจะให้ ไลป์ซิก กลายเป็นโปรเจ็คท์หลักของกลุ่มธุรกิจลูกหนังแทนที่ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก และได้ทำการทาบทาม โทมัส ออรัล เข้ามาคุมทีมแทนในวันที่ 18 มิถุนายน 2010 นอกจากนี้ยังมีเหล่าผู้เล่นตัวหลัก 5 คนที่ไม่ได้รับการต่อสัญญาให้ไปต่อในฤดูกาลหน้า ในขณะที่มีนักเตะอีก 2 รายประกาศอำลาสนาม

เรกิโอนาลลีกา

ฤดูกาล 2010-11

ก่อนเปิดฉากการฟาดแข้งในระดับดิวิชั่น 4 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2 อย่างกับสโมสร ทีมได้ดำเนินการส่งคืนนักเตะชุด 2, 3 และ 4 ให้กับ มาร์ครานสเตดท์ และใช้วิธีดึงตัวนักเตะตัวหลักทั้งหมดของ เอเอสเฟา เดลิทซช์ เข้ามาเป็นทีมสำรองชุดใหม่ และซื้อสิทธิ์การลงเตะในดิวิชั่นสมัครเล่นให้กับพวกเขา ไลป์ซิก ยังจัดการย้ายทีมชุดใหญ่ทั้งหมดไปลงเตะอยู่ใน เซ็นทรัลสตาดิโอน ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อรังเหย้าเสียใหม่เป็น เร้ด บูลล์ อารีน่า และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2010 ด้วยเกมอุ่นเครื่องกับ ชาลเก้ 04 ต่อหน้าฝูงชน 21,566 คน ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเจ้าถิ่น 2-1 ก่อนจะลงเตะนัดสั่งลาในสนามเหย้าเดิมอีก 6 วันต่อมาด้วยเกมอุ่นเครื่องที่สามารถเอาชนะ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 2-1

ฤดูกาล 2010-11 เปิดฉากขึ้นด้วยผลเสมออย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเจ๊ากับ ทูร์กิเยมสปอร์ เบอร์ลิน ต่อหน้าแฟนบอลในบ้านเพียง 4,028 คน ก่อนจะสามารถเก็บ 3 คะแนนแรกได้จากการบุกไปเฉือนเอาชนะ โฮลสไตน์ คีล 2-1 ในนัดที่ 4 และต่อเนื่องด้วยชัยชนะในบ้านนัดแรกเหนือ มักเดบูร์ก 2-1 หลังออกสตาร์ทซีซั่นได้ไม่เลวนักพวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในทีมเต็งที่จะได้เลื่อนชั้น จนกระทั่งช่วงปลายปี 2010 ไลป์ซิก ก็ยิ่งตอกย้ำความทะเยอทะยานด้วยการเซ็นสัญญากับ ธิอาโก้ โรคเคนบัค กองกลางชาวบราซิล โดยก่อนหน้านั้นก็มีการดึงตัว คาร์สเท่น คามม์ลอตต์ หัวหอกดาวรุ่ง และ ทิม เซบาสเตียน กองหลังตัวเก๋าจาก ฮันซ่า รอสต๊อค มาตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ ทีมกระทิงแดง จบฤดูกาลแรกในดิวิชั่น 4 ด้วยการได้อันดับที่ 4 และพลาดโอกาสเลื่อนชั้น อย่างไรก็ตามผลงานของ ออรัล ก็คือการพาทีมชนะเลิศในรายการ แซกโซนี คัพ จากการเอาชนะ เคมนิทเซอร์ เอฟซี 1-0 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2011 ท่ามกลางแฟนบอล 13,958 คนในสนาม เร้ด บูลล์ อารีน่า และจากการครองถ้วยแชมป์ใบแรกนี้ก็ทำให้ทีมมีสิทธิ์ลงแข่งขัน
ใน เดเอฟเบ โพคาล 2011-12

แต่เนื่องจากที่ทีมหมดลุ้นโอกาสเลื่อนชั้นมาตั้งแต่ช่วงท้ายซีซั่น ก็เลยมีการประกาศแต่งตั้ง ปีเตอร์ พาคูลท์ ที่จะย้ายมาจาก ราปิด เวียนนา เพื่อเข้ามาทำหน้าที่คุมทีมแทน ออรัล ในฤดูกาลหน้าตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2011 ในขณะเดียวกันทางสโมสรก็มีประกาศปลด โธมัส ลิงเค่ อดีตปราการหลังทีมชาติเยอรมัน หลังพึ่งเข้ามารับหน้าที่ผอ.กีฬาได้เพียง 10 สัปดาห์ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ 2011 จนทำให้บรรดาสื่อต่างพากันตั้งข้อสงสัยถึงการเข้ามาของ พาคูลท์ ว่าน่าจะมีผลต่อการจากไปของ ลิงเค่ หลังจบฤดูกาลยังมีการปล่อยผู้เล่นที่มีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ แซกโซนี คัพ ออกไปหลายคน จนทำให้เหลือนักเตะที่เคยอยู่ในทีมที่เลื่อนชั้นมาจาก โอเบอร์ลีกา เพียงแค่ 3 คน ในขณะที่ อิงโก้ แฮร์ทช์ อดีตกองหลังดีกรีทีมชาติเยอรมัน ก็คือผู้เล่นคนที่ 4 ที่เหลืออยู่ แต่เขาเลือกที่จะยุติอาชีพค้าแข้งและย้ายไปทำงานร่วมกับทีมสำรองแทน

ฤดูกาล 2011-12

ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2011 ไลป์ซิก มีโอกาสลงเล่นในเกม เดเอฟเบ โพคาล เป็นนัดแรกในบ้านตนเอง และเอาชนะใจแฟนๆที่แห่เข้ามาเชียร์ถึง 31,212 คนด้วยการปราบ โวล์ฟสบวร์ก คู่แข่งจาก บุนเดสลีกา ได้ด้วยการทำแฮตทริกของ ดาเนี่ยล ฟราห์น ที่ช่วยให้ทีมเอาชนะไป 3-2 แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปจอดอยู่แค่รอบถัดไปจากการพ่ายแพ้ต่อ เอาก์สบวร์ก 1-0 ระหว่างซีซั่นที่สองใน เรกิโอนาลลีกา ทีมสร้างสถิติเอาชนะคู่แข่งด้วยสกอร์สูงสุดจากการสอนบอล เอสเฟา วิลเฮล์มชาเฟน 8-2 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012 จนกระทั่งผลเสมอกับ ทีมสำรองโวล์ฟสบวร์ก 2-2 ในนัดที่ 33 ก็ทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ที่จะได้เลื่อนชั้นหลังจบฤดูกาลด้วยการรั้งอยู่ในอันดับที่ 3

ฤดูกาล 2012-13

เมื่อ ราล์ฟ รังนิก อดีตเฮดโค้ช ชาลเก้ 04 ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งผอ.

ในการออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ราล์ฟ รังนิก อดีตเฮดโค้ช ชาลเก้ 04 ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งผอ.กีฬาคนใหม่ ก่อนที่เขาจะทำการปลด พาคูลท์ และดึงตัว อเล็กซานเดอร์ ซอร์นิเกอร์ มาจาก เอสเก ซอนเนนโฮฟ โกรสส์อัสพัค เพื่อทำหน้าที่กุนซือแทน จากนั้น ไลป์ซิก ก็สามารถสร้างผลงานได้ร้อนแรงกว่าใน 2 ซีซั่นที่ผ่านมา และสามารถรั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงได้หลังจบครึ่งฤดูกาลแรก จนกระทั่งการพ่ายแพ้ของ คาร์ล ไซส์ เยน่า ทีมอันดับสองเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2013 ก็ทำให้พวกเขาทำแต้มทิ้งขาดคู่แข่งไปในที่สุด นอกจากนี้ทีมยังสามารถคว้าแชมป์ แซกโซนี คัพ ได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน หลังเอาชนะ เคมนิทเซอร์ คู่ต่อสู้ในนัดชิงเมื่อปีที่แล้วไปด้วยสกอร์ 4-2 พร้อมตีตั๋วไปลงเล่นใน เยอรมัน คัพ ฤดูกาลหน้า ในขณะที่ยอดคนดูใน เร้ด บูลล์ อารีน่า สังเวียนนัดชิงที่สูงถึง 16,864 คน ก็ยังเป็นการทำลายสถิติจำนวนผู้ชมในนัดชิงชนะเลิศที่สนามแห่งนี้เมื่อปีก่อนอีกด้วย

จากการเป็นทีมแชมป์ของ เรกิโอนาลลีกา ตะวันออกเฉียงเหนือ (หลังการปรับเปลี่ยนเมื่อช่วงต้นซีซั่น) ก็ทำให้ทีมได้สิทธิ์ลงเตะเกมเพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลีกา 3 กับ สปอร์ตฟรอยน์เดอ ลอตเต้ ผู้ชนะจากโซนตะวันตก โดยที่เกมแรกเตะกันใน เร้ด บูลล์ อารีน่า ท่ามกลางผู้ชม 30,104 คน ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของเกมในระดับดิวิชั่น 4 ก่อนที่เจ้าถิ่นจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปก่อน 2-0 เลกที่สองเตะกันเมื่อ 2 มิถุนายน 2013 ก่อนจะจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 โดยที่ ทีมกระทิงแดง ได้ 2 ประตูจากในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งจากผลรวม 4-2 ก็ทำให้พวกเขาขยับขึ้นสู่ ลีกา 3 ได้สมดั่งใจ

ลีกา 3

ไลป์ซิก ได้มีโอกาสลงเตะในเกมระดับดิวิชั่น 3 เป็นครั้งแรก

ในฤดูกาล 2013-14 ไลป์ซิก ได้มีโอกาสลงเตะในเกมระดับดิวิชั่น 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พวกเขาเสริมทัพด้วยการดึงตัว อันโตนี่ ยุง จาก เอสเอฟเฟา แฟร้งค์เฟิร์ต, โทเบียส วิลเลอร์ส จาก สปอร์ตฟรอยน์เดอ ลอตเต้, โจชัว คิมมิช จาก สตุ๊ตการ์ท ทีมชุด U-19, อันเดร ลูเก้ จาก เอสเอฟเฟา ซวิกเคา, คริสตอส ปาปาดิมิทริอู จาก เออีเค เอเธนส์, ยุสซุฟ โพลเซ่น จาก ลิงบี้ บีเค และ เดนิส โธมัลล่า จาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในช่วงซัมเมอร์ พวกเขาถูก เอาก์สบวร์ก เขี่ยตกรอบ เดเอฟเบ โพคาล อีกครั้งตั้งแต่รอบแรกจากการพ่ายคาบ้าน 2-0 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2013 และยังเป็นการสิ้นสุดสถิติไร้พ่ายในรังเหย้าที่นานนับปี อย่างไรก็ตามทีมก็สามารถออกสตาร์ทในลีกได้อย่างน่าประทับใจ เปิดหัวด้วยการบุกไปเอาชนะ ฮัลเลสเชอร์ เอฟซี 1-0 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม และเดินหน้าเก็บสถิติไร้พ่ายไปจนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคมที่พวกเขาเพลี่ยงพล้ำให้กับทีมจ่าฝูง วีเฮน วีสบาเดิน 2-1

ในวันที่ 5 ตุลาคม ไลป์ซิก ลงเตะแมตช์เยือนกับทีมจ่าฝูงอีกครั้ง โดยที่ตำแหน่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนมาเป็น ไฮเดนไฮม์ ที่แย่งอันดับที่ 1 มาจาก วีเฮน วีสบาเดิน ได้เพียงสัปดาห์เดียวหลังจากเอาชนะ ไลป์ซิก ในบ้านได้ และในคราวนี้ ไลป์ซิก ก็สามารถบุกไปเอาชนะจ่าฝูงได้ 2-0 จนขยับขึ้นมาสู่อันดับที่ 3 ระหว่างช่วงพักเบรกหนีหนาวทีมปล่อยตัวผู้เล่นออกไป 4 คน และทดแทนด้วยการเซ็นสัญญากับ ดีเอโก้ เดมเม่ จาก พาเดอร์บอร์น 07, เฟเดริโก้ ปาลาซิออส มาร์ติเนซ จาก โวล์ฟสบวร์ก, มิกโก้ ซูมูซาโล่ จาก เอชเจเค เฮลซิงกิ และ ยอร์ก ไทเกิ้ล จาก เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก หลังจากพ่ายแพ้ในการออกไปเยือน ดุ๊ยส์บวร์ก 2-1 ก็ทำให้ทีมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะแพ้ได้อีกแล้ว เนื่องจากมี ดาร์มสตัดท์ อีกหนึ่งทีมที่กำลังตามขับเคี่ยวเพื่อลุ้นอันดับที่ 2 อยู่เช่นกัน จนกระทั่งทั้งคู่โคจรมาพบกันในนัดที่ 35 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2014 ที่ ไลป์ซิก เปิดรัง เร้ด บูลล์ อารีน่า สยบผู้มาเยือน 1-0 ต่อหน้ากองเชียร์ 39,147 คน จากชัยชนะในนัดนี้ก็ทำให้ ทีมกระทิงแดง สามารถรักษาอันดับที่ 2 และคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา 2 ได้แบบอัตโนมัติ ก่อนที่ 2 สัปดาห์ต่อมาพวกเขาจะเปิดบ้านไล่ถล่ม ซาร์บรุคเค่น ทีมบ๊วยของตาราง 5-1 พร้อมสร้างสถิติยอดผู้ชมขึ้นมาใหม่ที่ 42,713 ที่นั่ง และจากการจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ก็ทำให้ ไลป์ซิก กลายเป็นทีมแรกที่เริ่มเปิดตัวใน ลีกา 3 และสามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปได้ภายในปีเดียว

บุนเดสลีกา 2

ฤดูกาล 2014-15

ผู้รับผิดชอบในการอนุมัติทีมที่ลงแข่งขันใน บุนเดสลีกา 2 ได้เปลี่ยนจาก เดเอฟเบ มาเป็น บริษัทฟุตบอลลีกเยอรมัน (Deutsche Fußball Liga) หรือ เดเอฟแอล โดยมีประกาศแรกออกมาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2014 ว่าจะยอมอนุญาตให้ ไลป์ซิก ลงแข่งขันใน บุนเดสลีกา 2 ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เนื่องจากในช่วงเวลานั้นพวกเขากำลังถูกโจมตีอย่างหนักจากประเด็นที่มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆที่มีสิทธิ์บริหารจัดการภายในองค์กร อีกทั้งสโมสรยังไม่มีความเป็นเอกเทศเพียงพอจาก เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช และเพื่อปรับปรุงข้อครหาต่างๆให้สอดคล้องกับข้อกำหนด เดเอฟแอล ได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 เรื่องให้สโมสรปฏิบัติตามเพื่อที่จะมีสิทธิ์ลงเล่นใน บุนเดสลีกา 2 ข้อแรก ต้องมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของตราสโมสรเนื่องจากมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับ เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช มากจนเกินไป ข้อสอง ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของทีมบริหาร และข้อสุดท้าย คือการลดค่าธรรมเนียมสมาชิกเพื่อเปิดรับสมาชิกผู้สนับสนุนทีมหน้าใหม่เข้ามาเพิ่ม สโมสรยื่นอุทธรณ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน ก่อนที่ ราล์ฟ รังนิก จะออกมาแถลงกับสื่อมวลชนถึงความตั้งใจของพวกเขาที่จะยอมทำตามข้อเรียกร้องของ เดเอฟแอล โดยย้ำว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่ว่ามีอะไรที่เขียนอยู่บนชุดทีมแต่มันคือสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

อย่างไรก็ตามคำอุทธรณ์ได้ถูกปฏิเสธไปในวันที่ 8 พฤษภาคม ก่อนที่ ดีทริช เมเทสซิทซ์ เจ้าของร่วม เร้ด บูลล์ จะออกมาวิจารณ์การตัดสินของ เดเอฟแอล อย่างเผ็ดร้อน และเปรียบเทียบข้อเรียกร้องดังกล่าวว่าเหมือนการถูกลากไปตัดหัว ทั้งยังปฏิเสธที่จะลงแข่งขันใน ลีกา 3 ต่อไป รวมถึงยังมีการข่มขู่ทิ้งท้ายว่าอาจจะยกเลิกโปรเจ็คท์ทั้งหมดใน ไลป์ซิก ทันทีหากไม่ได้รับการอนุมัติ ในที่สุดสโมสรก็ยอมยื่นข้ออุทธรณ์เป็นครั้งที่สองในวันที่ 12 พฤษภาคม โดยที่คณะกรรมการของ เดเอฟแอล ได้ร่วมกันลงมติอีกครั้งในวันที่ 15 พฤษภาคม ก่อนจะมีข้อสรุปสุดท้ายออกมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งในระหว่างนั้น รังนิก ก็ออกมายืนยันว่า สโมสรยังคงติดต่อพูดคุยกับ เดเอฟแอล เพื่อหาทางออกที่ลงตัว จนกระทั่งการประนีประนอมบรรลุผลและประกาศออกมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งก็ความหมายว่า พวกเขาต้องยอมปรับเปลี่ยนดีไซน์ตราสโมสรและต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่าการบริหารทีมต้องอยู่คนละส่วนกับ เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช

ในส่วนของทีมก็มีการเซ็นนักเตะเข้ามาใหม่ทั้ง รานี่ เคดิร่า จาก สตุ๊ตการ์ท, ลูคัส คลอสเตอร์มันน์ จาก โบคุ่ม, มาร์เซล ซาบิตเซอร์ จาก เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก, เทอร์เรนซ์ บอยด์ จาก ราปิด เวียนนา และ มัสซิโม บรูโน่ จาก อันเดอร์เลชท์ โดยที่มีการโละนักเตะออกไปหลายคนเช่นกัน ในขณะที่ ซาบิตเซอร์ และ บรูโน่ ที่พึ่งย้ายเข้ามาก็ถูกส่งออกไปให้ เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ยืมใช้งานในทันที ไลป์ซิก ลงทุนไปกับการซื้อนักเตะในช่วงหน้าร้อนปีนั้นถึง 12 ล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 8 จากทั้งสองลีกสูงสุดของประเทศ ทั้งยังเป็นจำนวนที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการเสริมทัพจากบรรดาทีมครึ่งหนึ่งใน บุนเดสลีกา เสียอีก พวกเขาจัดโปรแกรมอุ่นเครื่องในช่วงปรีซีซั่นยาวเป็นหางว่าว หนึ่งในแมตช์สำคัญคือการเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 4-2 ต่อหน้าแฟนบอล 35,796 คนและผู้สื่อข่าวราว 150 ชีวิตในบ้านของตนเอง เทอร์เรนซ์ บอยด์ ยิงประตูแรกให้กับทีมและยังเป็นประตูที่สองของเขานับตั้งแต่ย้ายเข้ามา หลังเกมเขายังได้รับเสื้อจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อีกด้วย ก่อนที่ทีมจะเอาชนะ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส 2-0 ได้อีกในอีก 8 วันต่อมาจาก 2 ประตูของ ยุสซุฟ โพลเซ่น

ทีมกระทิงแดง ออกสตาร์ทในลีกด้วยการเสมอแบบไร้สกอร์กับ เฟาเอฟแอร์ อาเล่น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2014 ก่อนจะเก็บชัยชนะได้ 3 จาก 4 เกมต่อมาจนมาพ่ายเป็นนัดแรกในการออกไปเยือน ยูเนี่ยน เบอร์ลิน 2-1 และกลับมารั้งอันดับที่ 2 ได้อีกครั้งในเกมถัดมาที่เปิดบ้านเอาชนะ คาร์ลสรูห์ 3-1 พวกเขาถูกประกบคู่ให้พบกับ พาเดอร์บอร์น ใน เดเอฟเบ โพคาล รอบแรก ก่อนจะเฉือนชนะคู่แข่งในถิ่นตนเองไปได้ 2-1 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม จากนั้นก็ได้ไปเผชิญหน้ากับ แอร์ซเกเบียร์เก้ เอา และเอาชนะไปได้หลังการต่อเวลาพิเศษ 3-1 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม จนผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่หลังจากทำผลงานได้ขึ้นๆลงๆทีมก็จบช่วงพักครึ่งฤดูกาลด้วยการอยู่ในอันดับที่ 7 และมีการเสริมทัพเข้ามาอีกในช่วงหน้าหนาวทั้ง โอเมอร์ ดามารี่ จาก ออสเตรีย เวียนนา, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก จาก มัลโม่ รวมถึง รอดเนย์ และ ยอร์ดี้ เรย์น่า มาจาก เร้ด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ทั้งคู่ ก็ทำให้ยอดรวมของการช็อปนักเตะระหว่างเดือนมกราคมของพวกเขาอยู่ที่ 10.7 ล้านยูโร ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกือบจะเท่ากับยอดใช้จ่ายทั้งหมดของทีมที่เหลือใน บุนเดสลีกา 2 ภายในช่วงเวลานั้น

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2015 ทีมพ่ายแพ้ให้กับ แอร์ซเกเบียร์เก้ เอา และกลายเป็นเกมที่ 4 ติดต่อกันที่พวกเขาควานหาชัยชนะไม่เจอจนถูกทิ้งห่างจากโซนเลื่อนชั้นไปไกล และแล้วช่วงเย็นวันถัดมาทางสโมสรก็ได้เรียกตัว อเล็กซานเดอร์ ซอร์นิเกอร์ เข้ามาพูดคุยเพื่อแจ้งว่าสโมสรต้องการจะแยกทางกับเขาหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้ทางทีมบริหารได้ผ่านการปรึกษากับ เมเทสซิทซ์ เจ้าของทีมเป็นที่เรียบร้อยอย่างไรก็ตามเช้าวันรุ่งขึ้น ซอร์นิเกอร์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในทันที ท่ามกลางเสียงโจมตีที่ถาโถมเข้าใส่สโมสรจากสื่อหลายๆแห่งที่มองว่า ภายใต้การคุมทีมของ ซอร์นิเกอร์ ได้ช่วยทำให้พวกเขาทะยานจาก เรกิโอนาลลีกา ขึ้นสู่ บุนเดสลีกา 2 ได้อย่างรวดเร็ว มันจึงดูเป็นการตัดสินใจที่โหดร้ายไปหน่อย หลังจากนั้น อาคิม ไบเออร์ลอร์เซอร์ โค้ชทีมชุด U-17 ก็ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการณ์ไปจนจบฤดูกาล

ในวันที่ 5 มีนาคม ไลป์ซิก ถูกประกบคู่ให้มาเจอกับ โวล์ฟสบวร์ก ในเกม เดเอฟเบ โพคาล รอบที่ 3 ก่อนจะกระเด็นตกรอบด้วยการพ่ายคารัง เร้ด บูลล์ อารีน่า 2-0 ในแมตช์ที่พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์การขายตั๋วให้กับแฟนบอลที่เข้ามานั่งชมเกม 43,348 ที่นั่งจนหมดเกลี้ยง ตัวเลือกกุนซือคนใหม่ที่อยู่ในใจของ ราล์ฟ รังนิก ก็คือ โธมัส ทูเคิ่ล อดีตเฮดโค้ช ไมนซ์ 05 หากแต่การเจรจากลับล้มเหลว ก่อนจะพยายามติดต่อไปยังตัวเลือกถัดไปอย่าง ซาช่า เลวานดอฟสกี้ ผู้ที่เคยรับตำแหน่งกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แต่ก็ถูกปฏิเสธไปเช่นกัน จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2015 รังนิก ก็ออกมาประกาศว่าเขาจะรับหน้าที่เป็นเฮดโค้ชคนใหม่ควบคู่ไปกับตำแหน่งผอ.กีฬาที่ทำอยู่ภายในฤดูกาลหน้า โดยมี อาคิม ไบเออร์ลอร์เซอร์ คอยเป็นผู้ช่วย ท้ายที่สุด ไลป์ซิก ก็จบฤดูกาลแรกใน บุนเดสลีกา 2 ด้วยการอยู่ในอันดับที่ 5

ฤดูกาล 2015-16

ก่อนออกสตาร์ทซีซั่นใหม่ ทีมทุ่มเงินเสริมทัพอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับ ดาวี่ เซลเก้ จาก แวร์เดอร์ เบรเมน, อาทินช์ นูคาน จาก เบซิคตัส, มาร์เซล ฮัลสเทนแบร์ก จาก ซังต์ เพาลี และ วิลลี่ ออร์บาน จาก ไกเซอร์สเลาเทิร์น ในขณะที่มีการปล่อยตัว โจชัว คิมมิช ให้กับ บาเยิร์น และ รอดเนย์ ก็หมดสัญญาและย้ายไปอยู่กับ 1860 มิวนิค แบบไม่มีค่าตัว ไลป์ซิก ยังทำการดึงนักเตะมาจาก ซัลซ์บวร์ก สโมสรในเครือ เร้ด บูลล์ ซึ่งก็เหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านสำหรับการได้ตัว สเตฟาน อิลซังเกอร์ ดาวเตะทีมชาติออสเตรีย ที่พึ่งหมดสัญญามาแบบฟรีๆ และยังเข้ามาพร้อมๆกับ มัสซิโม่ บรูโน่ และ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ที่กลับมาจากสัญญายืมตัว

การย้ายทีมในครั้งนี้ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับแฟนบอลของ ซัลซ์บวร์ก หลังต้องเสียนักเตะฝีเท้าดีออกไปให้กับ ไลป์ซิก หลายคน จนทำให้บรรดากองเชียร์ของ ซัลซ์บวร์ก ตะโกนร้องเพลงต่อต้านทีมกระทิงแดงรุ่นน้องระหว่างเกม ออสเตรีย คัพ หลังสื่อในประเทศพากันประโคมข่าวเรื่องที่ อิลซังเกอร์ เตรียมตัวจะย้ายไปอยู่กับ ไลป์ซิก ในช่วงซัมเมอร์ ด้วยค่าตัวในการย้ายทีมของ เซลเก้ ที่อยู่ราวๆ 8 ล้านยูโร ก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของ บุนเดสลีกา 2 สรุปยอดการใช้เงินของพวกเขาในช่วงเปิดตลาดซัมเมอร์ 2015 ก็อยู่ที่ประมาณ 18.5 ล้านยูโร ซึ่งมากกว่ายอดรวมค่าใช้จ่ายของทีมอื่นๆใน บุนเดสลีกา 2 ทั้งหมดรวมกัน

ระหว่างช่วงปรีซีซั่นพวกเขาเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 5-4 ในเกมอุ่นเครื่องที่ ออสเตรีย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2015 และมาชนะ รูบิน คาซาน 1-0 ได้อีกใน 4 วันถัดมา ก่อนจะมาเปิดบ้านถล่ม ฮาโปเอล เทล อาวีฟ 3-0 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ทีมกระทิงแดง ถูกจับฉลากให้ต้องออกไปเยือน เฟาเอฟแอล ออสนาบรุ๊ค ในเกม เยอรมัน คัพ รอบแรก เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม หลังจากเกมเริ่มไปได้เพียงนาทีเดียวเจ้าบ้านก็เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนท่ามกลางการฉลองประตูกันอย่างบ้าคลั่งของกองเชียร์เจ้าถิ่นที่ทำให้รั้วและตาข่ายกั้นในสนามบางส่วนพังลงมาจนทำให้เกมต้องยุติลงชั่วคราว

จนกระทั่งเกมดำเนินต่อไปจนถึงช่วงครึ่งหลังที่ ออสนาบรุ๊ค ยังเป็นฝ่ายนำอยู่ จนกระทั่งนาทีที่ 71 ผู้ตัดสิน มาร์ติน ปีเตอร์เซ่น ก็ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะจากการถูกไฟแช็คที่ปาลงมาจากอัฒจันทร์ฝั่งเจ้าถิ่น เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ผู้ตัดสินพยายามเข้าไปเคลียร์การโต้เถียงกันระหว่าง ดาวี่ เซลเก้ และ มิชาเอล ฮอห์นสเตดท์ ผู้เล่นสำรองของเจ้าบ้านจากเหตุความวุ่นวายในบริเวณกรอบเขตโทษฝั่ง ออสนาบรุ๊ค จนทำให้เกมต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งก่อนจะถูกยกเลิกไปในที่สุด แม้ทางฝั่ง ไลป์ซิก จะเรียกร้องให้มีการรีแมตช์ แต่ทาง เดเอฟเบ กลับตัดสินให้ ออสนาบรุ๊ค เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเลยด้วยสกอร์ 2-0 ในขณะที่ ไลป์ซิก ยังต้องได้รับเงินชดใช้จากคู่แข่งเพิ่มอีก 50,500 ยูโร ก่อนที่พวกเขาจะใจดียอมลดให้และขอรับเงินก้อนนั้นเพียงแค่ 30,500 ยูโร และอนุญาตให้ ออสนาบรุ๊ค มีเวลาชำระเงินจนถึงปีหน้า

ระหว่างเหตุการณ์ผู้ลี้ภัยในยุโรปช่วงปี 2015 ทั้งสโมสร, ทีมงาน, นักเตะ และกองเชียร์ของ ไลป์ซิก ต่างพากันสนับสนุนกลุ่มผู้อพยพ โดยที่สโมสรตัดสินใจมอบเงินช่วยเหลือ 50,000 ยูโรให้กับสภาเมืองในการช่วยจัดหางานให้กับคนกลุ่มนั้น พวกเขายังยอมเซ้งต่อตู้คอนเทนเนอร์ 60 ใบจากศูนย์ฝึกของทีมที่ติดตั้งเครื่องสุขภัณฑ์ไว้พร้อมสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย หลังจากที่ลงทุนไปกับตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ในตอนแรกราว 500,000 ยูโร บรรดาสตาฟฟ์และนักเตะยังช่วยกันบริจาคอุปกรณ์กีฬาและเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่ ราล์ฟ รังนิก ก็ยอมบริจาคเงินส่วนตัวจากเหตุฝังใจในวัยเด็กที่เขาก็เคยเป็นเด็กที่เติบโตมาในค่ายผู้อพยพหลังพ่อและแม่ของเขาพบรักกันในค่ายแห่งหนึ่งที่ แซกโซนี นอกจากนี้ทีมยังได้เชิญผู้อพยพ 450 คนเข้ามาชมเกมลีกในบ้านที่พบกับ พาเดอร์บอร์น เมื่อวันที่ 11 กันยายนอีกด้วย

หลังถูกตัดสินให้ชนะผ่านคู่แข่งใน เดเอฟเบ โพคาล รอบแรกเข้ามา สุดท้ายทีมก็ไปจอดป้ายในรอบ 2 หลังบุกไปพ่ายแพ้ อุนเตอร์ฮัคกิ้ง ทีมจาก เรกิโอนาลลีกา ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม 3-0 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม แต่หลังจากตกรอบบอลถ้วยและกลับมาลงเตะในเกมลีกนัดถัดมา ไลป์ซิก ก็สามารถยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้เป็นครั้งแรก จากการบุกไปชนะ เอสเฟา แซนด์เฮาเซ่น 2-1 เมื่อวันที่ 1 พฤศติกายน แต่ก็ร่วงลงจากบัลลังก์ในสัปดาห์ต่อมาเมื่อพ่ายคาบ้านให้กับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น 2-0 จนกระทั่งกลับมาทวงตำแหน่งคืนได้ก่อนปิดพักเบรกฤดูหนาวหลังสามารถสยบ เอฟเอสเฟา แฟร้งค์เฟิร์ต 3-1 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พวกเขามีการเคลื่อนไหวในตลาดเดือนมกราคมเล็กน้อย โดยมีเพียง ทิม เซบาสเตียน กองหลังจอมเก๋าที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2010 ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ พาเดอร์บอร์น และ โซลท์ คัลมาร์ แข้งชาวฮังการี ที่จากไปร่วมทีม เอฟเอสเฟา แฟร้งค์เฟิร์ต ด้วยสัญญายืมตัว

ไลป์ซิก รั้งตำแหน่งจ่าฝูงยาวไปจนถึงเกมนัดที่ 27 โดยหลังจากพ่ายแพ้ให้กับ เนิร์นแบร์ก 3-1 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2016 พวกเขาก็ตกลงไปเป็นที่ 2 และมีอยู่ 3 คะแนนเหนือ เนิร์นแบร์ก ทีมอันดับที่ 3 แต่ทีมก็มาหายใจได้สะดวกขึ้นเมื่อชนะรวดในอีก 2 เกมถัดมาจนทำแต้มทิ้งห่างไปเป็น 6 คะแนนและลดลงเหลือ 4 คะแนนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 เกม สุดท้ายทีมก็สามารถการันตีตำแหน่งรองแชมป์ได้ในเกมที่ 33 หลังเอาชนะ คาร์ลสรูห์ 2-0 ในถิ่น เร้ด บูลล์ อารีน่า ต่อหน้าแฟนๆ 42559 คนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ก่อนที่พิธีฉลองการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา จะถูกจัดขึ้นในย่านการค้าด้านหน้าศาลากลางเมือง ไลป์ซิก พร้อมกับแฟนๆร่วม 20,000 คนในวันที่ 16 พฤษภาคม

มีประกาศแต่งตั้ง ราล์ฟ ฮาเซนฮุตเติล เข้ามาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่

หลังจบฤดูกาล รังนิก ประกาศลาออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชและกลับมาโฟกัสที่งานผอ.กีฬาเพียงอย่างเดียว ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาสื่อภายในประเทศต่างพากันเก็งผู้ที่จะเข้ามารับหน้าที่คมทีมต่อ ทั้ง มาร์คุส กิสดอล ของ ฮัมบูร์ก, ซานโดร ชวาร์ซ ของ ไมนซ์ 05, โฌซแล็ง กูร์กเวนเน็ก ของ แก็งก็อง, เรเน่ ไวเลอร์ ของ เนิร์นแบร์ก และ มาร์คุส ไวน์ซีเริ่ล ของ เอาก์สบวร์ก ในที่สุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2016 ก็มีประกาศแต่งตั้ง ราล์ฟ ฮาเซนฮุตเติล เข้ามาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ หลังจากเคยฝากผลงานอันน่าประทับใจเอาไว้กับ อิงโกลสตัดท์ นับตั้งแต่ปี 2013 ด้วยการพาทีมที่อยู่ท้ายตาราง บุนเดสลีกา 2 ผงาดขึ้นสู่ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จ และยังช่วยให้ทีมอยู่รอดในลีกสูงสุดได้ต่อในซีซั่นที่ผ่านมา

บุนเดสลีกา

ฤดูกาล 2016-17

ทีมกระทิงแดง เสริมทัพในช่วงก่อนออกสตาร์ทซีซั่นด้วยการคว้าตัว เบนโน่ ชมิตซ์, นาบี เกอิต้า และ ดาโย่ต์ อูปาเมกาโน่ จาก ซัลซ์บวร์ก, ติโม แวร์เนอร์ จาก สตุ๊ตการ์ท, มาริอุส มุลเลอร์ จาก ไกเซอร์สเลาเทิร์น และ โอลิเวอร์ เบิร์ก จาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ รวมถึง โซลท์ คัลมาร์ ที่กลับมาจากการยืมตัว ทีมเปิดตัวใน บุนเดสลีกา ได้อย่างน่าตื่นตะลึงเมื่อสามารถสร้างสถิติไร้พ่ายได้ใน 13 เกมแรกโดยเป็นการเสมอเพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น และยังเป็นการทำลายสถิติไร้พ่ายของทีมที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอีกด้วย หลังจบนัดที่ 11 พวกเขาก็ผงาดขึ้นไปเป็นจ่าฝูงและกลายเป็นทีมแรกจากฝั่งตะวันออกต่อจาก ฮันซ่า รอสต๊อค ที่เคยทำได้ระหว่างฤดูกาล 1991-92 พวกเขาขึ้นแท่นอยู่ได้อีก 3 นัดก่อนจะเสียตำแหน่งผู้นำหลังพ่ายให้กับ อิงโกลสตัดท์ 1-0 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2016

จนกระทั่ง ไลป์ซิก ก็กลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่การรวมประเทศที่ได้เปิดตัวใน บุนเดสลีกา และสามารถคว้าโควต้าไปลงเตะในเวทียุโรป หลังเปิดบ้านไล่ถล่ม ไฟร์บวร์ก 4-0 เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2017 พวกเขายังเป็นทีมแรกจากฝั่งตะวันออกที่ได้ไปลงเตะในเกมยุโรปนับตั้งแต่ที่ ยูเนี่ยน เบอร์ลิน เคยตีตั๋วเข้าไปเล่นใน ยูฟ่า คัพ 2001-02 สุดท้ายแล้วทีมก็ได้สิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังบุกไปถล่ม แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 4-1 ที่ โอลิมเปียสตาดิโอน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม และจบฤดูกาลแรกในลีกสูงสุดของประเทศด้วยการได้อันดับที่ 2 รองจาก บาเยิร์น มิวนิค ในขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ ผู้ที่ช่วยกระหน่ำไปถึง 21 ประตูก็กลายเป็นนักเตะชาวเยอรมันที่ยิงประตูได้มากที่สุดในซีซั่นนั้น พร้อมๆกับที่ นาบี เกอิต้า และ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ก็พากันติดอยู่ในทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกาประจำฤดูกาล

ฤดูกาล 2017-18

ไลป์ซิก เสริมตัวผู้เล่นครั้งใหญ่เพื่อเตรียมตัวลงฟาดแข้งในเวทียุโรปที่นำโดย เควิน คัมเพิ่ล จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 20 ล้านยูโร, ฌอง-เกวิน ออกุสแต็ง จาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 13 ล้านยูโร, บรูม่า จาก กาลาตาซาราย 12.5 ล้านยูโร, คอนราด ไลเมอร์ จาก ซัลซ์บวร์ก 7 ล้านยูโร และ อีฟง เอ็มโวโก้ จาก ยัง บอยส์ 5 ล้านยูโร พวกเขายังไปได้ไม่ไกลใน เดเอฟเบ โพคาล เช่นเคยหลังจับสลากไปพบกับ บาเยิร์น ตั้งแต่รอบที่ 2 ก่อนจะพ่ายคารังด้วยการดวลจุดโทษตัดสินหลังต่อเวลาพิเศษเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2017 ทีมกระทิงแดง เปิดตัวนัดแรกในลีกด้วยการบุกไปพ่ายให้กับ ชาลเก้ 2-0 ก่อนจะกลับมาเอาชนะได้ในอีก 2 นัดถัดมา และขึ้นไปรั้งในอันดับที่ 2 ได้หลังเอาชนะ ฮันโนเวอร์ 2-1 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน แต่กลับจบครึ่งซีซั่นแรกด้วยการตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 5 หลังพ่ายคาบ้านให้กับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน 3-2 ในนัดสุดท้ายของปี

ทีมอยู่ในกลุ่ม G ของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ เบซิคตัส, ปอร์โต้ และ โมนาโก แต่หลังจากเก็บชัยชนะในบ้านได้เพียงแค่นัดเดียวก็เลยหมดสิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ แต่ก็ยังได้โอกาสไปต่อใน ยูฟ่า ยูโรปา ลีก หลังได้อันดับที่ 3 ของกลุ่ม ก่อนจะเดินหน้าไปจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศและพ่ายให้กับ โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยสกอร์รวม 5-3 แม้จะกลับมาอยู่ในอันดับที่ 2 ในลีกได้อีกครั้งหลังเกมที่เอาชนะ เอาก์สบวร์ก 2-0 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2018 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำผลงานได้ขึ้นๆลงๆโดยที่เอาชนะใครไม่ได้เลยตลอดทั้งเดือนเมษายน จนกระทั่งพาตัวเองจบฤดูกาลที่สองใน บุนเดสลีกา ด้วยอันดับที่ 6

เสียงวิพากษ์วิจารณ์

การถือกำเนิดของ แอร์เบ ไลป์ซิก ได้กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดภายใน เยอรมัน ข้อโต้แย้งหลักๆก็มาจากบทบาทของ เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช และนโยบายกีดกันสมาชิกผู้สนับสนุน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปของบรรดาสโมสรภายใน เยอรมัน เมื่อโดยปกติแล้วทีมฟุตบอลในประเทศจะต้องขึ้นอยู่กับกลุ่มอาสาสมัครที่เข้ามาลงทะเบียนอย่างเป็นทางการและบางครั้งกลุ่มคนเหล่านั้นก็มักจะมีจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังมีกฎ 50+1 ที่ช่วยวางรากฐานการบริหารที่มั่นคงให้กับทีมต่างๆใน เยอรมัน แต่สิ่งที่ ไลป์ซิก ถูกมุ่งเป้าโจมตีก็คือการที่ถูกมองว่าเป็นแค่เพียงเครื่องมือทางการตลาดและอาจจะชักนำวงการลูกหนังเยอรมันเข้าสู่วงเวียนธุรกิจในรูปแบบใหม่

ในการเปิดตัวของ ไลป์ซิก ยังก่อให้เกิดการประท้วงจากเหล่าแฟนบอลของสโมสรอื่นๆในละแวกใกล้เคียง โดยเฉพาะจาก โลโคโมทีฟ ไลป์ซิก และ ซัคเซน ไลป์ซิก ที่มองว่าพวกเขากำลังจะทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มแฟนบอล โดยการมุ่งเน้นที่จะนำพาแต่เรื่องธุรกิจเข้ามา ทั้งสโมสรและ เร้ด บูลล์ จีเอ็มบีเอช ยังต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากแฟนบอลทีมอื่นๆทั่วทั้งประเทศ หลายๆคนตราหน้าพวกเขาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของเงินตราที่อยู่เหนือวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงการปฏิเสธพวกเขาและมองว่าเป็นเพียงแค่ “ทีมพลาสติก” บรรดาฝูงชนยังประท้วงเรื่องโมเดลธุรกิจที่ เร้ด บูลล์ เข้ามามีส่วนล้วงลูกในการบริหารทีมมากจนเกินไปภายหลังจากที่ทีมสามารถเลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา 2 ได้ในปี 2014 กลุ่มผู้สนับสนุนจาก 10 สโมสรใน บุนเดสลีกา 2 ต่างรวมตัวกันสร้างแคมเปญต่อต้านพวกเขาภายใต้ชื่อ “Nein zu RB” (“No to RB”) หรือ “ไม่เอาแอร์เบ” และนับจากวันนั้นกลุ่มผู้สนับสนุนจากหลากหลายทีมทั่วประเทศก็พากันมาเข้าร่วมแคมเปญนี้ จนกระทั่งวันที่ 15 มีนาคม 2015 ในหน้าเว็บเพจของแคมเปญก็ได้มีการประกาศรายชื่อกลุ่มผู้สนับสนุนว่ามีจำนวนที่มากถึง 182 กลุ่มจากทั้งหมด 29 สโมสร

นอกเหนือจากการประท้วงระหว่างเกมด้วยป้ายแบนเนอร์และสัญลักษณ์ในรูปแบบต่างๆแล้ว ยังมีวิธีการแสดงออกอย่างอื่นอีกเช่น ในนัดที่ทีมเปิดบ้านต้อนรับ ฮันซ่า รอสต๊อค เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 บรรดากองเชียร์ฝั่งทีมเยือนเลือกวิธีประท้วงด้วยการไม่ยอมเข้ามาในสนามแข่งตลอด 7 นาทีแรกของเกม ในขณะที่ผู้สนับสนุนบางทีมถึงกับเลือกที่จะไม่เดินทางไปยัง เร้ด บูลล์ อารีน่า ในเกมนัดเยือนกันเลยทีเดียว ในบางครั้งการต่อต้านก็ทวีความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลัง ย้อนไปในปี 2009 ไลป์ซิก ต้องยกเลิกเกมอุ่นเครื่องหลายนัดด้วยเหตุผลของความปลอดภัย โดยเริ่มจากแพลนที่จะพบกับ คาร์ล ไซส์ เยน่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2009 ก็ปรากฏกลุ่มผู้ประท้วงที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยเปิดทางให้รถบัสของทีมเคลื่อนตัวเข้าสู่สนามแข่งขัน โดยระหว่างทางรถบัสก็ถูกขว้างปาด้วยขวดและฝั่งตำรวจก็ต้องใช้สเปรย์พริกไทยเพื่อช่วยในการรับมือกับเหล่าฝูงชน ส่วนบรรดานักเตะก็ถูกตะโกนด่าทอและถูกขว้างปาด้วยแก้วพลาสติกระหว่างในช่วงวอร์มอัพ ก่อนจะต้องใช้กำลังอารักขาจากเจ้าหน้าที่ในการเดินทางออกจากสนามหลังเกม