กอลกลางเลือดแซมบ้า คาร์ลอส เฮนริเกว้ คาซิมิโร่ (Carlos Henrique Casemiro)

กอลกลางเลือดแซมบ้า คาร์ลอส

คาร์ลอส เฮนริเกว้ คาซิมิโร่ คือชื่อเต็มๆของนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง คาเซมิโร่ ผู้ซึ่งเกิดในวันที่ 23 ก.พ. 1992 คาเซมิโร่ สามารถออกเสียงตามภาษาบราซิเลี่ยนโปรตุกีสเป็นอักษรโฟเนติกได้ว่า [kaziˈmiɾu] ปัจจุบัน คาเซมิโร่ เป็นนักเตะสัญชาติบราซิเลี่ยนที่ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ให้กับสโมสรชั้นนำของลาลีก้าสเปน อย่าง “ราชันย์ชุดขาว” เรอัล มาดริด และยังติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่อยู่อีกด้วย

ฟอร์มของ คาเซมิโร่ นั้น ฉายแววรุ่งโรจน์ตั้งแต่ยังเด็ก โดยเริ่มที่สโมสรดังของบราซิลอย่าง เซา เปาโล ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาจัดการกดไป 11 ประตูในการลงแข่งนัดที่เป็นทางการ 112 เกมด้วยกัน ทั้งที่เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ และจากนั้นดวงของเขาก็พุ่งทะยานขึ้น ด้วยการที่ฟอร์มไปเข้าตาทีมดังอย่าง เรอัล มาดริด จนทีมราชันย์ทนไม่ไหว ต้องยื่นค่าสินสอดเพื่อลักพาตัวเข้าซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ถิ่นของ เรอัล มาดริด ในปี 2013 ในที่สุด แต่ถึงกระนั้น คาเซมิโร่ ก็ยังไม่ได้ลงเล่นกับทีม เพราะต้องถูก เอฟซี ปอร์โต้ ยืมตัวไปลงเล่น 1 ฤดูกาลเป็นการเตรียมความพร้อม ก่อนจะกลับมาเข้าทีมมาดริด และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 4 สมัย คือในช่วงปี 2013 – 14 , 2015 – 16 , 2016 – 17 และ 2017 – 18 ได้ในที่สุด

ทางด้านการลงเล่นในนามทีมชาตินั้น คาเซมิโร่ ติดทีมชาติบราซิลมาตั้งแต่ปี 2011 และ คาเซมิโร่ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของขุนพลทีมแซมบ้าร่วมทัพลุยศึกโคปา อเมริกา ในปี 2015 และ 2016 รวมถึงรายการสำคัญระดับโลกอย่าง ฟีฟ่าเวิร์ลคัพ 2018 หรือชื่อที่คุ้นหูคือ ฟุตบอลโลก 2018 นั่นเอง

ประวัติการค้าแข้งระดับสโมสร

ประวัติการค้าแข้งระดับสโมสร

เซาเปาโล

เนื่องจากตัว คาเซมิโร่ นั้นเกิดที่เซา โจเซ่ ดอส คัมโปส เมือง เซา เปาโล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ คาเซมิโร่ จะเติบโตในโลกของฟุตบอล ด้วยการเป็นผลผลิตจากทีมอะคาเดมี่ของสโมสร เซา เปาโล เอฟซี โดยตั้งแต่ คาเซมิโร่ อายุ 11 ปีเป็นต้นมา เขาก็ได้นับบทบาทกัปตันทีมเยาวชน ซึ่งก็สมกับฉายาของเขา “คาร์เลา” ซึ่งแผลงมาจากคาร์ลอส ชื่อหน้าของเขา โดยมีความหมายในภาษาโปรตุกีสว่า การพัฒนาอย่างโดดเด่นและรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ คาเซมิโร่ จะถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิลในชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2009 รุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี

คาเซมิโร่ ได้รับโอกาสในการลงเล่นลีกเซเรียเอของบราซิลเป็นครั้งแรกในวันที่ 25 ก.ค. 2010 แต่นัดดังกล่าว สโมสร เซา เปาโล ของ คาเซมิโร่ ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ โดยต้องปราชัยให้กับทีม ซานโตส เอฟซี แต่นั่นไม่สามารถหยุดความร้อนแรงของเขาได้ คาเซมิโร่ เริ่มซัดประตูแรกในเกมทางการได้เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2010 โดยประตูของเขามีส่วนช่วยให้ทีม เซา เปาโล ยันเสมอทีมดังอย่าง ครูไซโร่ เอสปอร์เต้ คลูเบ้

ในวันที่ 7 เม.ษ. 2012 คาเซมิโร่ ยิงประเดิมเกมพบกับ โมกิ มิริม เอสปอร์เต้ ที่สนามอารีน่า บารูเอรี่ ก่อนที่จะจบเกมไปด้วยชัยชนะของ เซา เปาโล 2 – 0 ในเกมคัมเปโอนาโต้ เปาลิสต้า หลังจากลงเป็นตัวสำรองแทน ฟาบริซิโอ้ ที่ได้รับบาดเจ็บ ฤดูกาลดังกล่าวจบลงด้วยการที่ เซา เปาโล คว้าแชมป์โคปา ซูดาเมริกาน่า โดยที่ คาเซมิโร่ นั้นลงมาเป็นตัวสำรอง 1 นัด ในนัดเอาชนะทีมอย่าง คลับ ยูนิเวอร์ซิดัด เดอ ชิลี ไปอย่างมโหฬาร 5 – 0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศเลกสอง เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2012

ฟอร์มการเล่นของ คาเซมิโร่ ในปี 2012 สร้างชื่อให้กับตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง จนไปเข้าตาทีม เรอัล มาดริด จนในที่สุด ในช่วงปลายเดือน ม.ค. ปี 2013 เรอัล มาดริด ก็ขอยืมตัวมาที่สโมสร โดยได้รับมอบหมายให้ลงเล่นในทีมบี ซึ่งอยู่ในเซกุนด้า ดิวิชั่น และลงเล่นเกมแรกในวันที่ 16 ก.พ. โดยลงเล่นเป็น 1 ใน 11 ตัวจริง ซึ่งนัดดังกล่าว ทีมบีของมาดริดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับทีม ซีอี ซาบาเดลล์ เอฟซี

คาเซมิโร่ ได้รับโอกาสในการลงเล่น

คาเซมิโร่ ได้รับโอกาสในการลงเล่นในเกมลา ลีกา เป็นครั้งแรกในวันที่ 20 เม.ษ. 2013 ซึ่งเขาลงเล่นเต็มเวลา 90 นาที ในนัดที่พบกับสโมสร เรอัล เบติส และเป็นทีมของ คาเซมิโร่ ที่เอาชนะไปได้ 3 – 1 และต่อมาในวันที่ 2 มิ.ย. เขาก็ทำประตูแรกในนามสโมสร เรอัล มาดริด ได้ ซึ่งถือเป็นประตูแรกในยุโรปของเขาด้วย ด้วยการยิงเบิกร่องก่อนทีมมาดริดจะเอาชนะ เอดี อัลคอร์ค่อน ไปได้ 4 – 0 ที่สนามอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ สเตเดี้ยม และในอีก 8 วันต่อมา เรอัล มาดริด ก็ยื่นค่าสินสอดขอซื้อตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยราคา 18.738 ล้านเรียล (สกุลเงินบราซิล) และเซ็นสัญญาทั้งหมด 4 ปี

แต่หลังจากซื้อตัวถาวร เรอัล มาดริด ก็ปล่อย คาเซมิโร่ ให้ทีม เอฟซี ปอร์โต้ ยืมตัวก่อน 1 ฤดูกาลเต็มๆ ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. 2014 และที่ ปอร์โต้ คาเซมิโร่ ได้ลงเล่นทั้งหมด 40 เกมด้วยกัน ซัดไปได้ 4 ตุง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลูกฟรีคิกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2015 ในนัดที่เอาชนะ เอฟซี บาเซิล ไปได้ 4 – 0 (ผลรวม 5 – 1) ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

อย่างไรก็ตาม วันที่ 5 มิ.ย. 2015 คาเซมิโร่ ก็กลับมายัง เรอัล มาดริด และเขาก็ได้รับการขยายสัญญาออกไปอีกจนถึงปี 2021 และในวันที่ 31 มี.ค. ของปีต่อมา เขาจะจัดการซัดประตูแรกรับการกลับมาของเขาได้ในนาทีที่ 89 จากลูกเปิดมุมของ เจเซ่ ทำให้ เรอัล มาดริด เอาชนะ ยูดี ลาส พัลมาส ไปได้ 2-1

หลังจากรับบทบาทนักเตะสำรองภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอส เบนิเตซ มาหลายช่วงหลายตอน จนกระทั่งเปลี่ยนผ่านมาเป็น ซีเนอดีน ซีดาน ที่เข้ามาคุมทัพแทน ในสายตา ซีดาน คาเซมิโร่ คือตัวเลือกอันดับ 1 ของเขา ซึ่ง คาเซมิโร่ ได้ลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปทั้งหมด 11 นัดตลอดการแข่งขัน และในนัดชิงชนะเลิศ คาเซมิโร่ ได้ลงเล่นเต็มเวลา 120 นาที ซึ่งเป็นการเสมอกับทีมดังร่วมเมืองอย่าง แอตเลติโก้ มาดริด ก่อนจะดวลจุดโทษเอาชนะคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด

ในช่วงฤดูกาล 2016 – 17 เขาซัดไปทั้งหมด 4 ประตูจาก 25 นัด ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้หลังจากห่างหายไปนานถึง 5 ปี โดยเขาซัดระยะไกลทำประตูให้ทีมในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เอาชนะทีมดังจากอิตาลีอย่าง ยูเวนตุส ไปได้ 4 – 1 รวมถึงทำประตูในเอาดวลกับทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ทีมมาดริดขึ้นนำ ก่อนจะพ่ายไป 2 – 1 ในที่สุด ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ

ระหว่างฤดูกาล 2017 – 18 ในรายการแชมเปี้ยนส์ลีก คาเซมิโร่ ลงเล่นไปทั้งหมด 13 นัด ทำประตูได้ 1 ลูก ซึ่งทีมมาดริด ก็คว้าแชมป์รายการนี้ได้อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 13

การลงเล่นในนามทีมชาติ

การลงเล่นในนามทีมชาติ

หลังจากลงเล่นในชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี ในรายการ 20122 เซาท์ อเมริกัน แชมเปี้ยนชิพ คาเซมิโร่ ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ในวันที่ 14 ก.ย. 2011 ซึ่งนัดดังกล่าว เสมอกับทีมดังร่วมทวีปอย่าง ฟ้าขาว อาร์เจนติน่า ไปอย่างไร้สกอร์ 0 – 0 ซึ่งขณะนั้น คาเซมิโร่ มีอายุแค่ 19 ปี คาเซมิโร่ ยังมีชื่อติดชุดลุยศึกโคปา อเมริกา 2015 แต่ไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเลย จนกระทั่งถูกชิลี เขี่ยตกรอบไปในรอบก่อนรองชนะเลิศ และในเดือน พ.ค. 2018 คาเซมิโร่ ก็ถูก ผจก. ติเต้ เรียกติดชุดขุนพลลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เขาลงสนามนัดแรก ในวันที่ 17 มิ.ย. โดยลงเล่นไปทั้งหมด 60 นาที ในรอบแบ่งกลุ่ม นัดดังกล่าวยันเสมอกับ สวิตเซอร์แลนด์ ไปได้ 1 – 1 ในที่สุด