ใครจะเป็นตัวแทนของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในทัพ เรือใบสีฟ้า

ใครจะเป็นตัวแทนของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในทัพ เรือใบสีฟ้า

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมชาวสเปนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พบว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ไม่คุ้นเคย หลังจากที่ทีมของเขามีคะแนนตามหลัง ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงถึง 11 แต้ม โดยนายใหญ่ “เรือใบสีฟ้า” รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับทีมของเขา และสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

ข่าวลือเกี่ยวกับอนาคตของ กวาร์ดิโอล่า มีมากมาย ดังนั้นความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขาคืออะไร แผนการของเขาสำหรับอนาคต และอะไรผิดพลาด? นี่เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของ โค้ชวัย 48 ปี ที่ แมนฯซิตี้ หรือไม่? ตรงกันข้ามกับข่าวลือ ความเข้าใจก็คือ ความปรารถนาของเขาที่จะประสบความสำเร็จกับ “เรือใบสีฟ้า” ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดที่เขาหมกมุ่น และตั้งใจมากกว่านี้อีกแล้ว

ขณะเดียวกัน แมนฯซิตี้ เชื่อว่าผู้จัดการทีมของพวกเขาจะอยู่ที่สโมสรจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาลหน้าเมื่อสัญญาของเขาสิ้นสุดลง และพวกเขากำลังทำงานอย่างหนักในการวางแผนสำหรับการแข่งขันในปี 2020-21 ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มองว่า โค้ชชาวสเปน เหนื่อยกับการทำงาน แต่ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเขาปฏิเสธว่า มันไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

นอกจากนี้ กวาร์ดิโอล่า ยังมีการพูดคุยกับทีมงานของเขาอย่างสร้างสรรค์ ความกระหายของเขายังเต็มเปี่ยม และเขาต้องการที่จะพลิกสถานการณ์นี้ให้ได้ แต่นั่นยังเป็นหนทางที่ยาวไกลจากการบอกว่า เขาจะต่อสัญญาของตัวเองออกไป ซึ่งอดีตโค้ช บาร์เซโลน่า เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า เขาจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

ในเรื่องความเป็นส่วนตัวนั้น ลูกสาวของ กวาร์ดิโอล่า และ คริสติน่า ภรรยาของเขา ใช้ชีวิตใน 2 เมืองภายใน 1 สัปดาห์ โดยเดินทางไปมาระหว่าง แมนเชสเตอร์ กับ บาร์เซโลน่า ซึ่งภรรยาของเขามีความสนใจในธุรกิจอย่างจริงจัง

ขณะที่ลูกชายสองคนของ กวาร์ดิโอล่า กำลังเรียนจบที่อังกฤษ ระยะเวลาที่ห่างกัน 3-4 วันนั้นถูกมองว่า เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัว แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นการดีกว่าที่ นายใหญ่ แมนฯซิตี้ จะรอคอยที่จะได้เห็นครอบครัวของเขาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตามากกว่าคิดแต่เรื่องการแข่งขันในนัดต่อไป

ขณะเดียวกัน มีความกังวลที่เพิ่มขึ้นในทันทีโดยรอบสโมสร แมนฯซิตี้ เมื่อ มิเคล อาร์เตต้า ผู้ช่วยของ กวาร์ดิโอล่า นั้น ตัดสินใจย้ายไปเป็นกุนซือ อาร์เซน่อล ซึ่งทุกๆคนในทัพ “เรือใบสีฟ้า” ก็เข้าใจดีว่า อาร์เตต้า พร้อมแล้วที่จะคุมหนึ่งในสโมสรระดับท็อป และคงไม่มีเวลาที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

แม้ กวาร์ดิโอล่า อยากให้ อาร์เตเต้ อยู่ต่อจนจบฤดูกาล แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะรั้งอดีตผู้ช่วยรายนี้ไว้ในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม เพราะข้อเสนอที่มาจากทีมใหญ่อย่าง อาร์เซน่อล นั้น ไม่ว่าใครก็ยากจะปฏิเสธลง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ใครจะมาแทนที่ อาร์เตต้า โดยชื่อของโค้ชทั้ง 3 รายต่อไปนี้ปรากฏขึ้นมาทันที คนแรก ชาบี อลองโซ่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติสเปน ซึ่งมีประวัติคล้ายกับ อาร์เตต้า และกำลังเป็นกุนซือ ทีม B ของ เรอัล โซเซียดาด

รายต่อมาที่น่าสนใจคือ ชาบี เอร์นานเดซ อดีตกองกลางตัวเก่งของ บาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นอดีตลูกทีมของ กวาร์ดิโอล่า ในทัพ “เจ้าบุญทุ่ม” อยู่หลายปี แต่ปัจจุบันเขากำลังเป็นเทรนเนอร์ให้กับ อัล ซาดด์ ในประเทศกาตาร์

สุดท้ายคือ โจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท์ อดีตแบ็คซ้ายทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งเคยเล่นให้กับทั้ง อาร์เซน่อล และ บาร์เซโลน่า และมีดีกรีเคยเป็นกุนซือพา เฟเยนูร์ด ทีมดังในศึกเอริวิซี่ลีก คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองดัตช์มาแล้ว

เมื่อ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจที่จะย้ายออกจาก แมนฯซิตี้ ก้าวต่อไปของเขาจะน่าสนใจอย่างยิ่ง เขาเคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในสเปน, เยอรมัน และอังกฤษ มาแล้ว และ อิตาลี ล่ะ? ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อันโตนิโอ คอนเต้ กำลังทำผลงานได้ดีกับ อินเตอร์ มิลาน ส่วน ยูเวนตุส เพิ่งได้ตัว เมาริซิโอ ซาร์รี่ ไปคุมทีม และยังไม่ต้องการเปลี่ยนสไตล์การเล่นในเร็วๆนี้

ขณะเดียวกัน การคุมทีมชาติก็น่าสนใจ อิตาลี และ บราซิล เคยแสดงความสนใจในตัว กวาร์ดิโอล่า เมื่อไม่นานมานี้ หรือทีมชาติอังกฤษในอนาคตที่มีนักเตะอย่าง ฟิล โฟเด้น กองกลางดาวรุ่งของ แมนฯซิตี้ ซึ่งเขาปั้นขึ้นมากับมือก็น่าสนใจอย่างยิ่ง

นอกจาก โฟเด้น แล้ว การพัฒนา ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ปีกทีมชาติอังกฤษ ให้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวรุกที่เก่งที่สุดในโลกนั้น มันก็เป็นเครดิตของ กวาร์ดิโอล่า อย่างไม่ต้องสงสัยเลย มันคงเหมาะสมไม่น้อยหาก แกเร็ธ เซาธ์เกต ประกาศอำลา “สิงโตคำราม” ในอนาคต

แต่ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุด คือ แมนฯซิตี้ กำลังตั้งเป้าที่จะเป็นทีมแรกใน 10 สิบปีที่จะคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยติด โดยพลพรรค “เรือสีฟ้า” เก็บคะแนนรวม 2 ซีซั่น ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก นั่นคือ 100 และ 98 คะแนน จากการคว้าแชมป์ลีกในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การแพ้ 4 จาก 16 เกมลีกในการแข่งขันซีซั่นนี้ ทำให้พวกเขามีแต้มตามหลัง ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงถึง 11 คะแนน และแม้ว่า แมนฯซิตี้ จะชนะทั้งหมด 22 เกมที่เหลือ พวกเขาก็จะเก็บแต้มได้ 98 คะแนน ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์

กวาร์ดิโอล่า รู้สึกว่าเขารู้ดีว่าเขาต้องทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาที่ทีมของเขากำลังประสบอยู่ เขาเป็นคนที่เคยค้นหาวิธีแก้ปัญหาได้อยู่เสมอ ไม่มีใครวิเคราะห์ และแยกแยะทุกแง่มุมของทุกๆเกมด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เขาทำ

ความเป็นจริงหนึ่งเดียวเกี่ยวกับทีม กวาร์ดิโอล่า ก็คือมีโอกาสน้อยมากในการเตรียมตัว มันเป็นเรื่องยากสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถ้ามันทำได้ และสามารถเห็นได้ว่าเป็นประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นกับทีมของเขานั้น มันก็จะทำงานและสมบูรณ์แบบ

ในระหว่างเกมล่าสุด เทรนเนอร์ชาวสเปน สังเกตเห็นปฏิกิริยาจากคู่แข่ง และทีมของเขาเองกับสถานการณ์บางอย่างในตำแหน่งกองกลาง จากนั้นเขาก็ดูเกมก่อนหน้านี้ และตระหนักว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กวาร์ดิโอล่า

ดังนั้น สำหรับการแข่งขันเกมลีกนัดที่ แมนฯซิตี้ บุกไปถล่ม เบิร์นลี่ย์ ที่สนามเทิร์ฟ มัวร์ 4-1 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น กลยุทธ์ใหม่ในตำแหน่งกองกลางถูกนำไปใช้จริง ซึ่งทำให้ เบิร์นลีย์ เผชิญหน้ากับแนวทางที่แตกต่างจากที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเจอ ซึ่งเกมดังกล่าวเป็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดนัดหนึ่งของ “เรือใบสีฟ้า” ในฤดูกาลนี้

การค้นหาคำตอบใหม่เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ กวาร์ดิโอล่า และเมื่องานประเภทนั้นถูกแจกจ่ายออกไป มันเป็นสิ่งที่เติมเขาด้วยความปิติยินดี และมันเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า มันเป็นความสามารถของเขาในการค้นหาสิ่งใหม่ที่ทำให้ทีมของเขาคาดเดาได้ยากมากขึ้น และในที่สุดสิ่งนี้สร้างความแตกต่างบนสนาม

ข่าวดีสำหรับ แมนฯซิตี้ คือพวกเขาเปิดโอกาสให้คู่แข่งน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก แต่เมื่อคู่แข่งบุกเข้าไปในกรอบเขตโทษของพวกเขาได้ “เรือใบสีฟ้า” กลับเป็นทีมที่มีการป้องกันแย่ที่สุด โดยบรรดาคู่แข่งมักจะไม่ได้เข้าใกล้ เอแอแดร์สัน นายทวารชาวบราซิล มากนัก แต่เมื่อทำได้ พวกเขาก็จะได้ประตูเกือบทุกครั้ง

ข่าวดีเพิ่มเติมคือ ไม่มีทีมใดในลีกสร้างโอกาสได้มากกว่า แมนฯซิตี้ อีกแล้ว และในความเป็นจริงพวกเขากำลังสร้างโอกาสทำประตูมากกว่าในฤดูกาลที่ผ่านมา แต่มันก็เป็นสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการสร้างโอกาส และการทำประตู

สเตอร์ลิ่ง ที่มีประสิทธิภาพในการจบสกอร์มากในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ต้องการโอกาส 4 ครั้งในการเปลี่ยนเป็น 1 ประตู และคุณสามารถพูดได้ว่าทุกคนรวมถึง เฆซุส, แบร์นาโด ซิลวา ปีกชาวโปรตุเกส และ ดาบิด ซิลบา จอมทัพชาวสเปน ด้วยเช่นเดียวกัน

เมื่อเทียบในเกมกับ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ซึ่ง แมนฯซิตี้ แพ้ไป 3-1 นั้น พวกเขามีโอกาสยิง 7 ครั้ง และได้ 1 ประตู ในขณะที่ “หงส์แดง” ยิงได้ 3 ประตู จากโอกาส 5 ครั้ง และย้อนไปในที่เสมอกับ นิวคาสเซิล 2-2 นั้น “เรือใบสีฟ้า” มีโอกาสที่ชัดเจนถึง 3 ครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้เลย

ในหลายๆโอกาสของ แมนฯซิตี้ ในฤดูกาลนี้ จังหวะสุดท้ายมักเป็นปัญหา และการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผู้เล่นก็ดูจะไม่เด็ดขาดเท่าที่ควร ซึ่งมันทำให้เห็นว่าพวกเขาใช้โอกาสเปลืองมากในต่ละเกม และมันรุกลามไปถึงปัญหาอื่นๆด้วยเช่นกัน

หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ กวาร์ดิโอล่า ได้เรียนรู้จากอาชีพผู้จัดการทีมของเขาคือ บทเรียนที่อาจารย์อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ยอดกุนซือชาวดัตช์ เคยสอนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆซึ่งจะเตือนให้เขาระลึกเสมอว่า การได้รับชัยชนะอย่างยอดเยี่ยมนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดในการทำทีมฟุตบอล

ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาบ้าน 1-2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา หลายคนมีความคิดว่า นี่เป็นเกมที่ง่ายสำหรับ แมนฯซิตี้ ในการเอาชนะ “ปีศาจแดง” แต่ทุกอย่างมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้จะมีเครื่องเตือนใจทุกคนว่า ยังมีอีก 66 คะแนนที่ แมนฯซิตี้ สามารถเก็บได้อีกในช่วงที่เหลือของซีซั่น แต่ กวาร์ดิโอล่า ต้องรู้สึกในใจของเขาอย่างแน่นอนว่า เส้นทางสู่ตำแหน่งแชมป์ไม่เคยยากลำบากอย่างนี้มาก่อน

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องนักเตะบาดเจ็บก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับ แมนฯซิตี้ อย่างต่อเนื่อง ผู้เล่นอย่าง เบนฌาแม็ง เมนดี้ แบ็คซ้ายชาวฝรั่งเศส ที่เคยถูกคาดหวังว่า จะเข้ามาเป็นกำลังหลักในแนวรับ กลับได้รับบาดเจ็บหนักถึง 2 ครั้ง และดูเหมือนว่าเขากำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุดของอาชีพกับ “เรือใบสีฟ้า” แล้ว

กวาร์ดิโอล่า พยายามแก้ปัญหาในแนวรับฝั่งซ้ายด้วยการให้ อันเจลิโน่ ดาวเตะชาวสเปน และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ดาวรุ่งชาวยูเครน สลับกันทำหน้าที่ในตำแหน่งแบ็คซ้าย และบางที ไคลน์ วอล์คเกอร์ แบ็คขวาทีมชาติอังกฤษ ก็โดนสลับมาเล่นด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน อาการบาดเจ็บของ ซาเน่ ก็สร้างความเสียหายให้กับแนวรุกของ แมนฯซิตี้ เช่นกัน แต่ความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการที่ อายเมริค ลาปอร์เต้ กองหลังตัวหลักชาวฝรั่งเศส ได้รับบาดเจ็บยาว จนทำให้ แฟร์นานดินโญ่ ห้องเครื่องชาวบราซิล ต้องถอยมายืนเป็นปราการหลังเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ นักเตะใหม่อย่าง โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปน ที่ย้ายมาจาก แอตเลติโก้ มาดริด เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมานั้น ปรับตัวกับทีมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยดาวเตะวัย 23 ปี มีร่างกายสุดยอด มีวิสัยทัศน์ที่ดี และเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครสงสัยว่า โรดรี้ มีความสำคัญสำหรับทีมของ กวาร์ดิโอล่า ซึ่งนักเตะใหม่หลายคนในยุคของโค้ชชาวสเปนนั้น อาจไม่เข้าใจถึงลักษณะของสิ่งที่เขาต้องการ หรือต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นผู้เล่นที่เขากำลังมองหา

นั่นคือเหตุผลที่ กวาร์ดิโอล่า ชอบคว้าตัวนักเตะอายุน้อยมาร่วมทีม เพราะผู้เล่นที่อายุมากสามารถย้ายเข้ามาพร้อมกับความคิดที่ตัวเองเป็นใหญ่ และไม่เต็มใจที่จะก้าวออกจากเขตความสะดวกสบายของพวกเขาเอง ซึ่งการก้าวไปสู่การเล่นด้วยตัวคุณเองที่สโมสรแห่งหนึ่งเพื่อไปเล่นในกลุ่มที่มีความต้องการสูงเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่

ในฤดูกาลหน้า มีนักเตะเก่าของ แมนฯซิตี้ หลายคนที่จะไม่ได้อยู่กับสโมสรต่อไป 1 ในนั้นที่แน่นอนคือ ซิลบา ส่วน ซาเน่ และ นิโคลัส โอตาเมนดี กองหลังชาวอาร์เจนตินา นั้น ก็อยู่ในข่ายที่น่าย้ายออกไปทั้งคู่ โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ต้องการมากกว่าสิ่งใดก็คือ นักเตะแกนหลัก 4 ราย และนักเตะที่มีฝีเท้าสามารถหมุนเวียนกับตัวจริงได้อย่างน้อย 3 ราย

ในกรณีของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ ที่ย้ายไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น มีความเข้าใจว่า ดีลเกือบจะเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย และเขาต้องการย้ายมาเล่นกับ แมนฯซิตี้ แต่การเจรจาล้มเหลวเพราะ “เรือใบสีฟ้า” เมืองไม่สามารถจ่ายเงินมากกว่า 70 ล้านปอนด์ ที่พวกเขาเสนอให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้

ความสามารถของ กวาร์ดิโอล่า ในการเซ็นสัญญากับนักเตะที่เหมาะสมนั้น จะถูกแนะนำ และเลือกรายชื่อผู้เล่นที่เสนอโดย ซิกิ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการฟุตบอลของ แมนฯซิตี้ ซึ่งจะช่วยให้ทีมของเขากลับมาแข็งแกร่งในทุกด้าน

การถ่ายเลือดใหม่เป็นสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ไม่จำเป็นต้องทำ หรือเขาอาจเลือกที่จะไม่ทำเหมือนที่ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ดังนั้น สิ่งที่กำลังจะมาถึงถ้าเขาตัดสินใจที่จะอยู่จนกว่าสัญญาจะหมด แมนฯซิตี้ ก็จะเป็นดินแดนใหม่สำหรับเขา

การถ่ายเลือดใหม่เป็นสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ไม่จำเป็นต้องทำ