พูลิซิซ กับการเข้ามาอุดช่องโหว่ของ อาซาร์ ที่ เชลซี

คริสเตียน พูลิซิส กับการเข้ามาอุดช่องโหว่ของ อาซาร์ ที่ เชลซี

การเซ็นสัญญามูลค่า 58 ล้านปอนด์ กับ คริสเตียน พูลิซิซ ปีกทีมชาติสหรัฐอเมริกา ของ เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้น ดูเหมือนว่าจะเริ่มได้ผลการตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว หลังดาวเตะวัย 21 ปี ซัดแฮตทริคในเกมที่ “สิงโตน้ำเงินคราม” บุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 4-2 ที่สนามเทิร์ฟ มัวร์ ในเกมลีกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

ชีวิตของ พูลิซิซ มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขามีอายุเพียง 21 ปี แต่แล้ว เชลซี ทุ่มเงิน 58 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน นั่นทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลอเมริกันที่แพงที่สุดตลอดกาล

พูลิซิซ เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำยิงประตูได้ และเป็นกัปตันทีมประเทศของเขา และเขายังเป็นผู้เล่นชาวต่างชาติที่อายุน้อยที่สุดทำประตูได้ในบุนเดสลีกา และในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับ ดอร์ทมุนด์

ทัศนคตินี้ได้ช่วยให้ พูลิซิซ มาถึงวันนี้ได้ เขาไม่ได้กลัวที่จะเล่นกับเด็กผู้ชายตัวใหญ่กว่า ในขณะที่ยังเขาเป็นเด็ก และเขาต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆ จนเขาไม่ได้เรียนมัธยม และเคยทำงานภายใต้ผู้จัดการทีม 6 คน ในรอบ 5 ปี มาแล้ว

การเล่นต่อหน้าแฟนบอลที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดของกว่า 81,000 คน และการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญในเกมต่างๆสำหรับเด็กอายุระดับนี้ถือได้ว่ายากที่จะรับมือ น่าผิดหวัง หรือมันเป็นบางอย่างของโลกฟุตบอลที่ต้องเรียนรู้

ที่ ดอร์ทมุนด์ พูลิซิซ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มนักเตะดาวรุ่ง และในวัย 19 ปี เขาเล่นในทีมชุดแรกของทัพ “เสือเหลือง” รวมทุกรายการไปถึง 60 เกม โดยในวัยเดียวกัน ลิโอเนล เมสซี่ จอมทัพชาวอาร์เจนตินา ได้เล่นเพียง 34 นัด ให้กับ บาร์เซโลน่า ส่วน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ได้เล่น 53 เกม ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

พูลิซิซ เก็บทุกอย่างไว้ในใจของเขาจนกระทั่งได้พบกับ เมสซี่ ครั้งแรก ในปี 2016 หลังจากที่ทั้งคู่ได้รับการสุ่มตรวจสารกระตุ้นในสนาม NRG Stadium อันกว้างใหญ่ของเมืองฮุสตัน หลังเกมรอบรองชนะเลิศ Copa America Centenario ระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับ อาร์เจนตินา

เมสซี่ เป็นผู้แนวรุกที่เลี้ยงลูกฟุตบอลได้สุดยอด เพราะเขามีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งในช่วงดาวรุ่งเขามักถูกจับไปเล่นเป็นปีกอยู่เสมอ และชอบที่จะเลี้ยงบอลจี้แนวรับคู่แข่ง ส่วน พูลิซิซ มักจะได้รับบทบาทกองกลางหมายเลข 10 เป็นส่วนใหญ่

พูลิซิซ เริ่มกล่าวว่า “ผมต้องเอาโทรศัพท์ของผมไปถ่ายรูปกับ เมสซี่ เราไม่สามารถพูดคุยกันได้มากนัก แต่เขาก็ดีมากเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด”เขายอมรับในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ FourFourTwo ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมในชิคาโกก่อนที่จะถึงคิวทำศึกโกลด์ คัพ ของทีมชาติสหรัฐอเมริกา

เมสซี่ เหมือนนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายคน เขาเป็นนักฟุตบอลข้างถนนจากพื้นหลังของชนชั้นแรงงาน แต่ พูลิซิซ นั้นแตกต่าง โดยความฝันของแข้งชาวอเมริกัน ก็คือต้องการเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก

ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดของโลกยังไม่ได้ผลิตนักฟุตบอลระดับโลกอย่างแท้จริง โดย แลนดอน โดโนแวน อดีตกองหน้าทีมชาติสหรัฐฯ เป็นที่ยกย่องมากที่สุด แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่า พูลิซิซ จะก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดเดียวกันได้แล้ว

เมื่อต้นปีนี้ อดีตปีก ดอร์ทมุนด์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศนักเตะอายุต่ำกว่า 21 ปี ยอดเยี่ยมต่อจาก คีเลียน เอ็มบัปเป้ หัวหอกดาวรุ่ง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ส่วนที่ 3 ได้แก่ จัสติน ไคล์เวิร์ต กองหน้าชาวฮอลแลนด์ของ โรม่า

เรื่องราวของ พูลิซิซ เหมือนหนังสือแฟนตาซีในวัยเด็ก โดยเขาเล่าว่า “ผมอาศัยอยู่ถัดจากสวนสนุกใกล้กับโรงงานช็อคโกแลต ผมจะอยู่ที่นั่นทุกวันในฤดูร้อน ผมเปรียบเทียบตัวเองกับตัวละครชื่อที่คุ้นเคยเพื่อดูว่า คุณตัวสูงพอที่จะออกไปขี่จักรยานเล่นได้หรือไม่ ผมอยากสูงเหมือนตัวละคร มันเป็นความปรารถนาของผมเสมอ”

“เฮอร์ชีย์ เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเติบโต มันคือเมืองเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดี มันไม่ใช่เมืองของฟุตบอล ดังนั้นผมจึงถูกมองแปลกๆเพียงเพราะผมเล่นฟุตบอล และพ่อแม่ของผมทั้งคู่ต่างก็ชอบฟุตบอลด้วยเช่นกัน”

มาร์ค พ่อของเขาเป็นผู้ทำประตูได้อย่างมากมาย ซึ่งเล่นกับ แฮร์ริสเบิร์กฮีท สโมสรอาชีพของฟุตบอลในร่ม และ เคลลี่ แม่ของเขาเล่นฟุตบอลในมหาวิทยาลัยด้วย แต่ในเฮอร์ชีย์ มีประชากรเพียง 14,800 คน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่เล่นฟุตบอล

ตัวรุก เชลซี เล่าต่อว่า “เพื่อนของผมจะเล่นอเมริกันฟุตบอล เบสบอล หรือบาสเก็ตบอล เมื่อเรียนเสร็จแล้วผมจะกลับบ้าน และเล่นฟุตบอลกับแม่และพ่อโดยใช้โรงรถเป็นประตู ไม่มีใครเล่นฟุตบอลในละแวกบ้านของผมเลย เพื่อนของผมคิดว่ามันแปลก แต่ผมไม่สนใจ ผมเล่นกีฬาอื่นด้วย ผมเป็นนักบาสเกตบอลที่ดี”

มาร์ค พูลิซิซ ผู้ซึ่งเรียกลูกชายของตัวเองว่า หลุยส์ ฟิโก้ อดีตปีกชาวโปรตุเกสผู้ยิ่งใหญ่ โดย อดีตเด็กปั้น ดอร์ทมุนด์ เล่าต่อว่า “พ่อต้องการปลูกฝังให้ผมเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย มันเป็นฉายาสำคัญสำหรับผม”

“ผมต้องการมัน เพราะผมมักจะเล่นกับเด็กผู้ชายที่มีอายุมากกว่า ผมต้องการความมั่นใจ ผมไม่กลัวใครเลยแม้จะเล่นกับเด็กผู้ชายที่อายุมากกว่าก็ตาม พวกเขามีร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าผม ผมต้องคิดให้เร็ว ผมต้องมีเทคนิคมากกว่านี้ นั่นช่วยผมได้อย่างแน่นอน”

ในแง่มุมที่น่าประหลาดใจของ พูลิซิซ ที่สูงกว่าระดับอายุของเขาคือ ขนาดร่างกายของเขา ซึ่งในการแข่งขันฟุตบอลรายการหนึ่ง ผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆมักจะถามแม่ของเขาว่า เขาเป็นน้องชายของใครบางคนหรือไม่

“ผมตัวเล็กที่สุดแม้ตอนที่ผมเล่นในกลุ่มอายุของผมเอง แต่ผมเริ่มเติบโตมากขึ้นเมื่ออายุ 15 และ 16 ปี แต่การเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่ใช่ข้อเสีย ผมไม่ได้มีความสามารถเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่คุณสามารถเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมได้ ผมต้องคิดอย่างชาญฉลาด และเร็วขึ้นกว่าเดิม ความฉลาดในวัยนั้นจะเป็นข้อได้เปรียบในที่สุด” ปีก เชลซี กล่าว

พูลิซิซ ผู้มีอายุ 21 ปี ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ช็อคโกแลตที่บ้านเกิดของเขา และได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่าของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าคนอื่นๆ

มิดฟิลด์ เชลซี กล่าวว่า “เมื่อคืนก่อนที่ผมจะยิงประตูแรกให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกาในเกมกับโบลิเวียในแคนซัส ผมไปที่โรงเรียนของผม ผมใช้เวลามากไปกับเด็กๆ ที่เล่นฟุตบอลที่นั่น ซึ่งผมไม่ได้ไปเรียนมัธยม ผมอยู่ที่อังกฤษในฐานะเด็กอายุน้อย ผมเคยอยู่ที่ฟลอริด้า และผมย้ายมาอยู่ที่เยอรมนี เมื่ออายุ 15 ปี”

“ผมคิดถึงสิ่งที่ผมพลาดไปมาก ผมพูดกับ เจอร์เก้น คลิ้นสมันน์ โค้ชของผม และถามเขาว่าผมจะไปงานได้ไหม เขาเป็นคนดีมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และบอกให้ผมไป และเมื่อเสร็จงานผมก็กลับไปซ้อมกับทีมทันที”

สำหรับการย้ายมาอยู่ในประเทศอังกฤษ นั้น เคลลี่ แม่ของเขา ได้รับทุนฟูลไบรท์สำหรับการแลกเปลี่ยนการสอน จึงทำให้ครอบครัว พูลิซิซ ย้ายมาอยู่ที่แบร็กลี่ย์ใกล้อ็อกซ์ฟอร์ด เมื่อเขาอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น

พูลิซิซ รู้สึกว่าในตอนแรกผู้เล่นคนอื่นมองเขา

พูลิซิซ เล่าต่อว่า “ผมไม่ต้องการย้ายออกจากอเมริกา และอยู่ห่างจากเพื่อนของผม การไปอังกฤษเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับผม แต่ในที่สุดมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น ผมสามารถเล่นฟุตบอลได้ทุกวันหลังเลิกเรียน มันเป็นสิ่งที่ผมฝันอยากทำที่บ้าน”

“ผมเล่นที่สนามฟุตบอลซีเมนต์ของโรงเรียนแล้วไปฝึกซ้อมกับ Brackley Town ผมรักสิ่งนั้น ผมรู้สึกว่าทั้งประเทศถูกครอบงำด้วยฟุตบอล มันเป็นบางอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อน โรบิน วอล์คเกอร์ โค้ช Brackley Town เคยมาหาผมในช่วงที่ผมเล่นกับ ดอร์ทมุนด์ ด้วย”

“ผมไปดูเกมฟุตบอลอังกฤษเป็นครั้งแรก พ่อพาผมไปที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และมีรูปของผมที่อยู่บนไหล่ของพ่อที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วย ผมรู้สึกทึ่งกับประสบการณ์ทั้งหมด และระดับทางเทคนิคของผู้เล่นที่ได้รับการจับตามองจากผู้คนมากมาย มันบ้ามากที่เกมแรกของผมที่ได้ดูในอังกฤษคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ เชลซี”

ครอบครัว พูลิซิซ ย้ายกลับมาที่สหรัฐอเมริกาอีกครั้ง หลังจาก มาร์ค พ่อของเขามาเป็นโค้ชให้กับ ดีทรอยต์ ทีมฟุตบอลในร่วม และการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ รวมถึงอิทธิพลในสนามของปีก เชลซี ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

พูลิซิซ กล่าวว่า “จากนั้นหลังจากเรียนมัธยมปีแรก ผมก็ได้เข้าเรียนที่สถาบัน IMG สำหรับโครงการ US Soccer Residency ในฟลอริดา เราจะฝึกซ้อมทุกเช้า และไปโรงเรียนในตอนบ่าย ฟลอริดาร้อนตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมและผมรักมัน ผมฝึกซ้อมกับผู้เล่นที่เก่งที่สุดของประเทศในกลุ่มอายุของผม และผมรู้สึกว่ามันพาผมไปสู่อีกระดับหนึ่ง”

“ส่วนในเรื่องของการเรียนนั้น จริงๆแล้วผมทำเกรดได้ดีมาก ผมได้เกรดที่ดี ปัญหาของผมคือว่า ผมได้ใช้เวลาไปมากกับฟุตบอลในปีแรกของโรงเรียนมัธยม”

ในปี 2013 พูลิซิซ ในวัย 15 ปี ได้ลงเล่นให้กับสหรัฐอเมริกาในเกมกระชับมิตรที่จัดโดย Nike โดยเขาเล่าว่า “พวกเขาเปลี่ยนชีวิตผม มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า ผมสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผมเล่นกับผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกสำหรับอายุของผมจากทีมชาติโปรตุเกส อังกฤษ และบราซิล ที่เราเอาชนะได้ 4-1”

พูลิซิซ ยิงได้ 20 ประตูใน 34 เกม ให้กับสหรัฐอเมริกา ชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี และความสนใจก็เริ่มเข้ามาจากสโมสรในยุโรป และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอร์ทมุนด์ ซึ่งจับตาดูเขามาสักพักใหญ่แล้ว รวมถึง เชลซี ทีมปัจจุบันของเขาด้วยเช่นกัน

“มันแปลกจริงๆ ผมเคยฝึกซ้อมกับ เชลซี มาแล้วตอนที่ผมยังเด็ก ผมไปลอนดอน และใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ กับสถาบันเยาวชนที่นั่น” พูลิซิซ กล่าว

นอกจากนี้ ปีกชาวอเมริกัน ยังได้รับการฝึกซ้อมกับ บาร์เซโลน่า มาแล้วตอนอายุ 10 ขวบ หลังจากสร้างความประทับใจในถ้วย MIC ซึ่งเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์เยาวชนชั้นยอด ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในคาตาโลเนีย

“ผมมีเกมที่ยอดเยี่ยมกับ บาร์เซโลน่า และผมก็ได้รับเชิญให้ฝึกซ้อมกับพวกเขาอย่างไม่เป็นทางการ มันเป็นอีกประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม” พูลิซิซ กล่าว

ครอบครัวของ พูลิซิซ รู้สึกว่าลูกของเขาควรจะอยู่ในสหรัฐอเมริกา เพราะจะพัฒนาได้ดีขึ้นท่ามกลางมาตรฐานที่เหนือกว่าจากประเทศอื่นๆ โดยปีก เชลซี เล่าว่า “พ่อแม่ของผมระมัดระวังเกี่ยวกับเวลา พวกเขาไม่ต้องการให้ผมไปเล่นที่ยุโรปเร็วเกินไป และมันจะหนักมากเกินไปสำหรับผม”

มีข้อเสนอสัญญาจากทีมในศึก MLS แต่ พูลิซิซ ต้องการย้ายไปยัง ดอร์ทมุนด์ ด้วยประวัติของ “เสือเหลือง” ในการพัฒนาเยาวชน และเล่นผู้เล่นอายุน้อยในทีมชุกแรก อย่างไรก็ตาม มันมีปัญหา เพราะสโมสรยุโรปไม่ได้รับอนุญาตให้เซ็นสัญญากับผู้เล่นที่ไม่ใช่ชาวยุโรปจนกระทั่งพวกเขามีอายุ 18 ปี

ในเวลานั้น พูลิซิซ อายุ 15 ปี และไม่มีหนังสือเดินทางยุโรป ซึ่งหมายความว่า เขาไม่สามารถเล่นให้กับ ดอร์มุนด์ ได้ และ 6 เดือนแรกในเยอรมัน เขาก็ต้องรอหนังสือเดินทางของโครเอเชียที่จะออกใบรับรองให้

แข้ง เชลซี เล่าว่า “นั่นทำให้ผมแทบใจสลาย แต่คุณปู่ของผมเป็นชาวโครเอเชีย ดังนั้นเราจึงได้อนุญาตในการใช้พาสปอร์ต การเล่นในยุโรปตอนอายุ 16 ปี ทำให้ผมได้เปรียบอย่างมาก เพราะมันทำให้ผมได้เล่นให้กับทีมเยาวชนของ ดอร์ทมุนด์ ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้ผมสามารถเปิดตัวในบุนเดสลีกาก่อนที่ผมจะอายุ 18 ปี”

“ถ้าผมไม่มีหนังสือเดินทางยุโรป ผมจะยังคงอยู่ในสหรัฐอเมริกาแทนที่จะเล่นในลีกชั้นนำของโลก ตอนอายุ 17 ปี ผมฝึกซ้อมกับบรรดานักฟุตบอลมืออาชีพ และนั่นทำให้เกมของผมแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก”

“พ่อของผมอาศัยอยู่กับผมในช่วง 2-3 ปีแรกจนกระทั่งผมอายุ 18 ปี พ่อผมไม่ได้ทำอาหารเก่งมากนัก ดังนั้นเราจะมีไก่ที่ซื้อกลับบ้านจำนวนมากจากที่เดียวกัน ซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกจากอพาร์ทเมนท์ของเรา แต่อาหารก็โอเค แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือโรงเรียน”

“มันเป็น 2 ปีที่ยากที่สุดในชีวิตของผม ผมคิดถึงบ้านมาก ผมไม่ได้พูดภาษาเยอรมัน แต่ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาเยอรมันเต็มเวลา เพราะผมไม่สามารถเข้าใจตารางเวลาได้ ผมจึงไม่รู้ว่าผมควรจะอยู่ที่ไหน ผมหวังว่าครูจะรู้ว่าผมไม่สามารถพูดภาษาของเขาได้”

“แต่ผมมีสถานการณ์ที่ครูถามผมเป็นภาษาเยอรมัน ผมไม่รู้ว่าเธอถามอะไรผมดังนั้นผมจึงตอบว่า “ผมขอโทษ ผมไม่เข้าใจ” เป็นภาษาอังกฤษ เธอมองมาที่ผมราวกับจะพูดว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’ เด็กคนอื่นๆ อธิบายให้เธอฟังว่า ผมไม่ได้พูดภาษาเยอรมัน ผมหวังว่าครูจะรู้ว่าผมเป็นนักเรียนใหม่จากอเมริกาที่ย้ายมาเพื่อเล่นฟุตบอล แต่ครูคนนี้ไม่ได้คิดแบบนั้น”

“มันแปลกมาก ไม่มีทางที่ผมจะสามารถเรียนภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วใน 2-3 สัปดาห์ ดังนั้นผมจึงต้องเปลี่ยนห้องเรียน ผมทำได้ดีในภาษาอังกฤษและศิลปะ แต่ในชั้นเรียนอื่นผมใช้การพยักหน้าในเวลาเรียนส่วนใหญ่” พูลิซิซ กล่าว

อดีตเด็กปั้น “เสือเหลือง” เล่าต่ออีกว่า “ภาษาไม่ใช่อุปสรรคอย่างเดียว ผมมีชั้นเรียนภาษาเยอรมันทุกวัน และผมก็ต้องไปที่โรงยิมเพื่อฝึกซ้อม ผมเหนื่อยมาก ผมกลับบ้านแล้วนอนหลับ ผมต้องมองภาพใหญ่ขึ้น และพยายามมากขึ้น ผมมีความสุขผมได้ทำทุกอย่าง และผมสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ ดังนั้นมันจึงคุ้มค่า”

ในสนาม พูลิซิซ รู้สึกว่าในตอนแรกผู้เล่นคนอื่นมองเขา และคิดว่านักเตะอเมริกันคนนี้จะเข้ามาแทนที่เรา และเขาเริ่มต้นกับทีมชุดใหญ่ ดอร์ทมุนด์ ในวัย 17 ปี และคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้ในฤดูกาลแรกของตัวเอง

“เรามีทีมที่ดีมากและโค้ชที่ยอดเยี่ยม เจอร์เก้น คล็อปป์ เรียกผมมาอยู่กับพวกนักเตะทีมชุดแรก ผมมองไปรอบๆ และเห็นผู้เล่นอย่าง มัตส์ ฮุมเมิลส์, เฮนริค มคิทาร์ยาน, ปิแอร์ เอมเมอริค โอบาเมยัง และ มาร์โก รอยส์”

“ผมเคยเห็นพวกเขาแต่ทางทีวี ดูเหมือนว่ามันจะบ้ามากๆ แต่พวกเขาก็ถ่อมตัวในการฝึกซ้อม คุณติดตามพฤติกรรมของพวกเขา คล็อปป์ จะยิ้มอยู่เสมอ เขาเป็นมิตรกับทุกคน ผมขอบคุณที่เขาให้โอกาสผม นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง” พูลิซิซ กล่าว

คล็อปป์ ย้ายไปที่ ลิเวอร์พูล และ โทมัส ทูเคิ่ล ถูกดึงมาคุมทีมแทน โดย พูลิซิซ กล่าวว่า “ทูเคิ่ล ถามผมว่าผมรู้สึกอย่างไรกับการเล่นให้กับทีมชุดแรกเต็มเวลา ผมตกตะลึงส่วนหนึ่งเพราะนั่นหมายถึง การหยุดเรียนอย่างสิ้นเชิง ความคิดในการซ้อม และการมีเวลาที่เหลือให้กับตัวเองเป็นความฝัน”

ทูเคิ่ล มองเห็นศักยภาพของ พูลิซิซ เขาเห็นว่า ปีกอเมริกัน มีความเร็ว แข็งแกร่ง และมีการตัดสินใจที่เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ขณะที่ เยนส์ เลห์มันน์ อดีตโกลด์ ดอร์ทมุนด์ ก็ชื่นชม พูลิซิซ เช่นกันว่า “เขาทำให้สิ่งที่ดูยากเป็นเรื่องง่าย ดังนั้นเขาจึงเป็นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยม”

อย่างไรก็ตาม ทูเคิ่ล กับ พูลิซิซ มีปัญหากันเล็กน้อย เนื่องจากอดีตโค้ช ดอร์ทมุนด์ ต้องการให้ พูลิซิซ เล่นในตำแหน่งวิงแบ็ค โดยปีก เชลซี เล่าว่า “ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่นี่คือสิ่งที่ผู้เล่นเยาวชนทุกคนต้องผ่าน จากมุมมองของเขา เขามีทีมที่มีความสามารถ และเขากำลังมองหาพื้นที่ที่เขารู้สึกว่าผมสามารถช่วยทีมได้”

“นั่นคือสิ่งที่โค้ชควรทำ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผมอยู่ในทีมที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

ขณะเดียวกัน นูริ ซาฮิน อดีตกองกลางทีมชาติตุรกี ของ ดอร์ทมุนด์ เล่าถึงการร่วมงานกับ พูลิซิซ ว่า “เขาไม่กลัวเลย เขามีความเร็วมาก แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือสัมผัสบอลแรกของเขา เมื่อเขาได้รับลูกบอลการสัมผัสครั้งแรกของเขาจะเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ให้กับเขา แม้ว่าจะไม่มีที่ว่างก็ตาม”

ในเวลานั้น พูลิซิซ ยังเด็กเกินกว่าจะขับรถได้ ดังนั้น มาร์คพ่อของเขาจึงต้องขับรถเพื่อพาเขาไปฝึกซ้อมทุกเช้า หลังจากที่เขาขับรถเองได้นั้น มาร์ค ก็กลับไปที่อเมริกาเพื่อทำงานโค้ชอีกครั้ง ในขณะที่ คริสเตียน อาศัยอยู่กับ วิลล์ ลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งเป็นในทีมเยาวชนของ ดอร์ทมุนด์

“ผมดูซีรีส์ Netflix และผมเล่นเกมกับเพื่อนๆ จากที่บ้านเช่นกัน นั่นคือวิธีที่เราติดต่อกัน ในตอนนั้นผมเล่นเกม PlayStations เกือบทุกวัน และผมดูกีฬาอื่นๆด้วย โดยเฉพาะเอ็นบีเอ ผมชอบ Sixers Philadelphia แต่ผมก็เป็นแฟนตัวยงของ เลบรอน เจมส์ ด้วยเช่นกัน ผมติดตามผู้เล่นมากกว่าทีม” พูลิซิซ กล่าว

ในวัยปี 18 พูลิซิซ ใช้ชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งมันมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่ เมื่อวันที่ 11 เมษายน ปี 2017 เขานั่งถัดจาก โรมัน บูร์กี ผู้รักษาประตูบนรถบัสของทีม ดอร์ทมนุด์ ในการไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ในรอบรองชนะเลิศกับ โมนาโก ก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

“เรามีตารางเวลาปกติ และผมต้องใช้หูฟังของผมในขณะที่เราขับรถไปที่เกมอย่างที่ผมทำสำหรับทุกๆเกม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปดูเหมือนจะเกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ก่อนอื่นหน้าต่างบนรถบัสแตกแล้วทุกอย่างก็เริ่มสั่นคลอน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมสับสนมาก โรมันจับผม และผลักผมลงไปที่พื้นใต้เบาะบนรถบัส เสียงระเบิดหยุดลง แต่จากนั้นเราได้ยิน มาร์ก บาร์ตา ตะโกน” พูลิซิซ เล่า

บาร์ตา กองหลังชาวสเปน ของ ดอร์ทมุนด์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการข้อมือขาด ในขณะที่ตำรวจได้นำรถบัส และผู้ได้รับบาดเจ็บออกจากพื้นที่ ซึ่งคนร้ายเป็นชาวรัสเซียรัสเซีย อายุ 28 ปี ซึ่งเรียนรู้วิธีการใช้ระเบิดจาก Google และเขาต้องการลดมูลค่าหุ้นของ ดอร์ทมุนด์

พูลิซิส เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำยิงประตูได้

พูลิซิซ เล่าต่อว่า ““เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต เราได้เตรียมการสำหรับเกมนี้ และผมสงสัยว่าเราจะยังคงเล่นต่อไปหรือไม่ ในที่สุดเราก็ถูกบอกว่า เราจะต้องเล่นในวันถัดไป”

“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อถูกดักทำร้าย ผมรู้สึกกังวลในหลายเดือนต่อมา เราไม่ได้พักที่โรงแรมเดียวกัน 2-3 เดือน แต่เรายังต้องการนั่งรถบัสไปเล่นเกม และเรายังต้องผ่านสถานที่ที่มันเกิดขึ้น มันยากเป็นพิเศษเมื่อเราขึ้นรถบัสทีม และนั่งในที่นั่งเดียวกัน มันจะเป็นส่วนหนึ่งของผมเสมอ มันทำให้ผมใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมทีม”

ขณะเดียวกัน ทูเคิ่ล ที่คุม ดอร์ทมุนด์ ได้เพียง 1 ปีนั้น ออกจากสโมสรหลัง 6 สัปดาห์ หลังจากเหตุระเบิด เขาถูกแทนที่โดย ปีเตอร์ บอสซ์ เทรนเนอร์ชาวดัตช์ ซึ่งเพิ่งจะนำ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม อดีตทีมเก่า ไปสู่ศึกยูโรป้า ลีก รอบชิงชนะเลิศ ปี 2017 ก่อนจะแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

พูลิซิซ กล่าวว่า “เขามีความเชื่อมั่นในตัวผมมาก และอนุญาตให้ผมเล่นสไตล์ที่เป็นอิสระ และบุกได้มากกว่าเดิม ผมเคารพเขาอย่างแท้จริงในฐานะโค้ช และมันก็เป็นเรื่องยากเมื่อเขาถูกไล่ออก เขาทำงานได้ดีมาก จากนั้นเราก็พลาดผลลัพธ์บางอย่าง ผมยังเด็ก แต่ผมมีโค้ชหลายคน และคุณต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่และเล่นระบบใหม่”

จากนั้น พูลิซิซ ได้ทำงานกับ ปีเตอร์ สโตเกอร์ โค้ชชาวออสเตรียคนใหม่ของ ดอร์ทมุนด์ เป็นเวลา 6 เดือน และในปี 2018 มีการคาดเดาเพิ่มขึ้นว่า เขาจะออกจากสโมสรไม่ว่าจะเป็นที่ อังกฤษ หรือ บาเยิร์น มิวนิค นอกจากนี้ คล็อปป์ ก็ได้ติดตามอาชีพของเขามาตลอด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีความวุ่นวายที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ เชลซี เป็นผู้ที่กระตือรือร้นอย่างมากในการเซ็นสัญญา พูลิซิซ โดยหลังจากเสีย อุสมาน เดมเบเล่ ปีกชาวฝรั่งเศส ให้กับ บาร์เซโลน่า ในช่วงฤดูร้อนปี 2017 และเสีย โอบาเมยอง ให้กับ อาร์เซน่อล ในอีก 6 เดือนต่อมา แต่ ดอร์ทมุนด์ ก็คว้าตัว จาดอน ซานโช่ ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษ มาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สำเร็จ

พูลิซิซ ชื่นชม ซานโช่ ว่า “เขาความสามารถด้านเทคนิคอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมการเคลื่อนไหวที่เฉียบแหลม” ส่วน ซานโช่ ก็ชื่นชม พูลิซิซ ว่า “เมื่อเขาเล่นทุกอย่างดูเรียบง่ายไปหมด และเป็นธรรมชาติ ผมต้องการที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน เขาแก่กว่าผมเพียง 2 ปี แต่จากสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จกับทั้งสโมสร และสหรัฐอเมริกานั้น แม้ว่าจะมีแรงกดดันอย่างมากต่อเขา เขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผม”

ในปี 2018/19 ภายใต้การคุมทีมของ ลูเซียง ฟาร์ โค้ชคนใหม่ชาวสืวตเซอร์แลนด์ ดอร์ทมุนด์ กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง โดยเก็บชัยชนะได้ถึง 12 เกม และเสมอ 3 เกม ใน 15 เกมแรก แต่ผลสุดท้ายพวกเขาก็พลาดแชมป์ให้กับ บาเยิร์น

พูลิซิซ เล่าว่า “ผมเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หลังจากนั้นมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และมันทำให้ผมหงุดหงิด” ซึ่งเขาเล่นครบ 90 นาที เพียงครั้งเดียวเท่านั้นระหว่างเกมลีกนัดที่ 6 ถึงเกมที่ 26 และ 26 ให้ ดอร์ทมุนด์

ขณะเดียวกันความพ่ายแพ้ 5-0 ต่อ บาเยิร์น ในเกมลีกในเดือนเมษายน ปี 2019 นั้น ก็ทำให้ พูลิซิซ บาดเจ็บอีกครั้ง แต่เขากลับมาเล่นเต็มเกมได้ในช่วง 3 นัดสุดท้ายของซีซั่น และโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการซัดไป 2 ประตู กับทำ 2 แอสซิสต์

มิดฟิลด์ เชลซี เล่าต่อว่า “ในซีซั่นที่ผ่านมา บาเยิร์น ทำได้ดีมากในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลเช่นเดียวกับเราที่ทำได้ดีในช่วงแรกของซีซั่น มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราไม่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ได้ แต่เมื่อผมพูดกับแฟน ๆ ก่อนเกมในบ้านนัดสุดท้าย ผมบอกพวกเขาว่า ผมได้มอบทุกอย่างให้สโมสรแล้ว ผมบอกพวกเขาด้วยว่า หลังจาก 5 ปี ในเมืองดอร์ทมุนด์ ที่นี่จะเป็นบ้านของผมเสมอ”

พูลิซิซ กล่าวอำลาโดยใช้ไมโครโฟนขณะที่เขาพูดคุยกับแฟนบอล “ เสือเหลือง” กว่า 26,000 คน บนอัฒจันทร์ โดยเล่าว่า “ผมยืนอยู่ตรงหน้าของแฟนบอลหลายหมื่นคน และพูดกับพวกเขาเป็นภาษาเยอรมันก่อนเกม จากนั้นผมก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองพูดออกมาได้ เพราะผมร้องไห้ในอุโมงค์เมื่อผมกลับไปที่ห้องแต่งตัว พวกเขาร้องเพลงชื่อของผมเป็นครั้งสุดท้าย มันไม่ง่ายเลยที่จะย้ายออกจาก ดอร์ทมุนด์”

“มันเป็นความฝันที่ยาวนานในการเล่นที่อังกฤษ และ เชลซี เป็นหนึ่งในสโมสรที่ผมรู้จักเมื่อผมโตมาในสหรัฐอเมริกา ผมดูผู้เล่นอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ผมมีความรู้สึกว่า เชลซี เป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง มันค่อนข้างดีที่ แฟรงค์ คือโค้ชของผม และ เชลซี มีทีมที่ยอดเยี่ยม”

การถูกแบนห้ามซื้อนักเตะใหม่ของ เชลซี เป็นเวลา 2 ปี นั้น มันหมายความว่า ปีกชาวอเมริกัน เป็นผู้เล่นใหม่เพียงคนเดียวของ “สิงโตน้ำเงินคราม” บางคนมองว่า เขาเป็นตัวตายตัวแทนของ เอเดน อาซาร์ จอมทัพชาวเบลเยียม ที่ย้ายไปยัง เรอัล มาดริด แต่สไตล์ของพวกเขานั้น แตกต่างกันมาก

ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับพรีซีซั่นของ เชลซี ที่ประเทศญี่ปุ่น พูลิซิซ ได้หยุดพักร้อนเพื่อเข้าร่วมทีมเร็วกว่ากำหนด เขาลงเล่นให้กับทีมชาติสหรัฐอเมริกาในศึกโกลด์ คัพ ซึ่งเป็นการพาทีมไปถึงรอบชิงชนะเลิศระดับนานาชาติครั้งแรกของเขา และอดีตดาวเตะ ดอร์ทมุนด์ ยิง 2 ประตู ในรอบรองชนะเลิศกับ จาเมกา

“เรามีผู้เล่นอายุน้อยบางคน และผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้พวกเขาปรับตัวได้ ผมจำได้ว่า ผู้เล่นอย่างเจฟฟ์ คาเมรอน ช่วยผมปรับตัวด้วยการเชิญผมออกไปทานอาหารค่ำ และทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม” พูลิซิซ กล่าว

สิ่งที่น่าเสียดาย คือ สหรัฐอเมริกา พลาดโอกาสไปร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โดยจบที่ 5 ในรอบคัดเลือกโซนคอนคาเคฟ โดย พูลิซิซ กล่าวว่า “ผมหลั่งน้ำตาหลังจากรู้ว่าเราจะไม่ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มันทำใจยากมาก มันยังคงเป็นความฝันของผมที่จะได้เล่นในฟุตบอลโลก ผมต้องการมันมาก”

อย่างไรก็ตาม อนาคตของ พูลิซิซ นั้นสดใสสำหรับสโมสร เชลซี และทีมชาติสหรัฐอเมริก บ้ายเกิดของเขา โดยเขาเล่นไปแล้ว 34 เกมให้สหรัฐอเมริกา และซัดไป 14 ประตู และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ฟอร์มของเขากับ เชลซี ก็ร้อนแรงอย่างฉุดไม่อยู่ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประวัติศาสตร์ของเขาอย่างแน่นอน

อนาคตของ พูลิซิซ นั้นสดใสสำหรับสโมสร เชลซี